กัณฑ์ ๑ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
สตฺถา เทวมนุสฺสานํ แปลว่า พระองค์เป็นบรมครูแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ข้อนี้สาธกได้ด้วยพุทธกิจ ๕ ประการ ซึ่งว่า
๑ เวลาเช้าบิณฑบาต
๒ เย็นทรงแสดงธรรมให้โอวาทภิกษุ
๓ พลบค่ำ ให้โอวาทพระภิกษุ
๔ เที่ยงคืน แก้ปัญหาเทวดา
๕ ย่ำรุ่ง พิจารณาดูเวไนยสัตว์ที่พึงจะโปรด
จะเห็นได้ว่าในข้อ ๒ – ๓ นั้นทรงเป็นครูมนุษย์ ข้อ ๔ นั้นทรงเป็นครูเทวดาและยังมีมงคลสูตรเป็นข้อยืนยันอีก เพราะเหตุที่พระองค์จะทรงแสดงมงคลสูตรนั้นก็เนื่องจากเหตุว่า เทวดาลงมาเฝ้าและยกปัญหาขึ้นทูลถามว่า อะไรเป็นมงคล พระองค์จึงทรงประทานเทศนามงคลสูตร ซึ่งเริ่มต้นด้วยบทพระคาถาว่า อเสวนา จ พาลานํ เป็นอาทิ ซึ่งแปลว่า อย่าคบคนพาล เป็นต้น ตลอดจนถึง นิพฺพานสจฺฉิกิริยา การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ซึ่งพระองค์ตรัสว่า สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นมงคลทั้งสิ้น ดังนี้จึงได้พระนามว่า สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พระองค์เป็นบรมครูทั้งเทวดาและมนุษย์
พุทฺโธ
พุทฺโธ คำว่า พุทฺโธ แปลได้หลายนัย แต่ในที่นี้จะขอแปลไปในทางที่ว่า เป็นผู้บานแล้ว หรือเบิกบานแล้ว ที่ว่าบานนั้น เปรียบด้วยดอกประทุมชาติ คือบานเหมือนดอกบัวที่บานแล้วเต็มที่ การที่พระองค์ทรงประกอบความเพียรอยู่ด้วยประการต่างๆ เมื่อยังไม่ได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังตูมอยู่ ต่อรุ่งอรุณแห่งวันวิสาขปุรณมี พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จึงเปรียบเสมือนดอกบัวที่บานแล้ว บาน ในเวลารุ่งอรุณแห่งวันวิสาขปุรณมีนั้นเอง
นัยว่าที่เบิกบานนั้น หมายความว่า เมื่อพระองค์ได้ทรงตรากตรำเป็นเวลาล่วงถึง ๖ พรรษาแล้ว จึงได้มาตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้รับผลเป็นองค์อรหัง และสัมมาสัมพุทโธดังบรรยายมาข้างต้น แล้วพระกมลหฤทัยของพระองค์ ก็ย่อมผ่องแผ้ว เบิกบานเต็มที่ เหตุว่าได้ผลสมปรารถนา ที่พระองค์ทรงตั้งปณิธาน เพียรบำเพ็ญมาฉะนี้จึงได้พระนามว่า พุทฺโธ
ขอย้ำอีกหน่อยว่า การที่นำเอาดอกบัวบาน มาเทียบความหมายแห่งคำว่า พุทฺโธ นั้นก็เพราะเหตุว่า เมื่อปฐมกัลป์ เริ่มตั้งศีรษะแผ่นดินขึ้นใหม่ๆ มีกอบัวเกิดขึ้น พร้อมทั้งมีดอก ๕ ดอก ท้าวสุทธาวาสหยั่งรู้ว่า นี้เป็นนิมิตว่า ในกัลป์นี้จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสโปรดเวไนยสัตว์ ๕ พระองค์ จึงปกาสิตคำว่า นะ โม พุท ธา ยะ ไว้ ซึ่งมีความหมายว่า
นะ คือพระกกุสันโธ
โม คือพระโกนาคมนะ
พุท คือพระพุทธกัสสปะ
ธา คือพระสมณโคดม
ยะ คือพระศรีอาริยเมตไตรย์
ซึ่งได้ปรากฏเป็นที่นับถือกันมาจนบัดนี้
ภควา
คำว่า ภควา แปลได้หลายนัย แปลว่า หัก ก็ได้ แจก ก็ได้ ที่ว่า หัก นั้นหมายความว่า พระองค์หักเสียได้ ซึ่งสังสารจักร กล่าวคือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
กรรม อันเป็นเสมือนตัวจักร อันพัดผันส่งต่อไปยังกันและกัน เป็นกำลังดันให้หมุนเวียนวนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร มิให้ออกจากภพ ๓ พระองค์หักเสียได้แล้ว พระองค์จึงพ้นไปจากภพทั้ง ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เสด็จออกสู่นิพพานไป
ที่ว่าแจกนั้น มีความหมายว่า เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์เป็นสัพพัญญู ทรงรู้แจ้งธาตุธรรมทั้งปวงหมดจึงทรงสามารถจำแนกแยกแยะ ธรรมส่วนที่ละเอียดๆให้เห็น เช่น ทรงจำแนก ขันธ์ ธาตุ อายตนะ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ดังนี้ เป็นต้น ตลอดจนหลักธรรมอื่นๆ ทั้งมวล ให้สาวกได้รู้เห็นรับปฏิบัติสืบๆกันมา
โอวาท พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
อ้างอิงเนื้อหา หนังสือ รวมพระธรรมเทศนาพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
เพื่อการศึกษาและดำรงไว้ซึ่งคำสอน