หลวงปู่สอนตัวเองได้ตั้งแต่เป็นทารก

เรียบเรียงโอวาท (37.04)

มาไม่ทันหลวงปู่ แต่ว่าอยากทราบเรื่องราวหลวงปู่บ้างพอเป็นแนวทาง ที่จะยึดเป็นเนติแบบแผนในการประพฤติปฎิบัติธรรม ขอให้หลวงปู่ดลบันดาลให้ใครก็ได้ ที่เขารู้เรื่องราวจริงๆ มีประสบการณ์จริงๆมาเล่าให้ฟัง และความรู้อะไรที่หลวงปู่บรรลุธรรม ถ่ายทอดให้ใครเอาไว้ ตรงไหนละก็ ขอให้ได้รู้ซึ้งถึงธรรมนั้นด้วย ก็อธิษฐานอยู่เรื่อยๆ ตอนอยู่กับยายนะ

น่าอัศจรรย์ทีเดียว ผู้ที่คุ้นเคยกับยาย เป็นศิษย์ยายก็มี ที่คุ้นเคยกันมาก็มี ก็มาเล่าเรื่องราวของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำให้ฟัง ตั้งแต่ท่านยังเล็กๆ เรื่อยมาเลย ก็เกรงว่าเรื่องราวมันจะเลือนหายไป ก็ถือโอกาสมาเล่าเท่าที่จะจำได้ นึกได้ ผู้ที่เล่าคนแรกก็คือโยมแผ้วนะ ท่านก็เป็นอุบาสิกาแม่ชี อยู่ในวัดนั่นแหละ ท่านเข้าวัดก่อนคุณยายของเรา และอายุจะมากกว่า รูปร่างท่านตัวเล็กๆ กลมๆ ป้อมๆ สูงขนาด 150 เซนต์ เวลาท่านยืนตัวท่านไม่สูงเท่าไร เวลานั่งแล้วตัวโต แปลกดีเหมือนกัน แล้วก็ชอบท่านั่นท่าน คือสง่างามไปคนละแบบกับยายของเรา ยายของเราท่านั่งสมาธินี่สวยที่สุด ตัวตั้งหลังพิงอากาศ แต่โยมแผ้วนี่ ตัวกลมหลังพิงอากาศ เหมือนกัน นั่งตัวตรง แต่ตัวกลม ของยายเราบางๆ ดูสง่าดีเหมือนกัน ลูกในตาท่านจะคมวับเลย ขณะที่เจอกันอายุท่านก็คง 60 มั๊ง ก็ถามว่าเจอหลวงพ่อวัดปากน้ำเมื่อไร ก็บอกว่าตอนนั้นยังสาวอยู่ อายุ 25 เข้าวัด เข้ามา 2 คนกับพ่อบ้าน แต่ว่าต่างคนก็อยู่วัดแยกกัน ฝ่ายหญิงก็มาบวชเป็นอุบาสิกา ฝ่ายชายไม่ได้บวชแต่ช่วยเหลือกิจการงานของวัด ถางหญ้าปัดกวาด ล้างวัดอะไรต่างๆ หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านบอก เออ เข้ามาทั้งผัวทั้งเลยฮึ อยู่รับบุญกันมาตั้งแต่โรงงานทำวิชชายังไม่เป็นเรื่องเป็นราว(เกิดขึ้น)

คำว่าโรงงานทำวิชชาคือสถานที่ที่รโหฐาน คือที่ลับ ที่เงียบ เป็นที่ประชุมรวมของผู้ที่เข้าถึงธรรมกายแล้ว และได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย ทำวิชชาธรรมกายเป็น โดยการถ่ายทอดความรู้ จากพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเราโดยตรง ซึ่งย้ายมาหลายที่ โยมแผ้วก็ได้เห็นเหตุการณ์นั้นทุกที่ ตั้งแต่คณะเนกขัมมะ ยังเป็นป่าช้า คือที่เก็บศพที่ยังไม่ได้เผา เห็นตั้งแต่พระเดชพระคุณหลวงปู่นั่งอยูบนแคร่ บนกระดานฝาโลง ก็เห็นเรื่อยมา จนมาอยู่สถานที่ปัจจุบันข้างโบสถ์ เป็นที่ทำวิชชา แล้วท่านก็มีหน้าที่ช่วยเหลือ ท่านทำวิชชาไม่เป็นนะ แต่เห็นดวงใสๆ โยมแผ้วนี่ (ท่าน)บอกโยมไม่รู้มีกรรมเวรอะไร เห็นแต่ดวงใสๆ ติดอยู่ในกลางกาย เข้าไม่ถึงธรรมกายซักที แต่ตอนหลวงพ่อย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว (วัดพระธรรมกาย) ก็ไม่ทราบเหมือนกันตอนท้ายบั้นปลายชีวิตท่านจะเข้าถึงว่าอย่างไร

ท่านเล่าให้ฟังอย่างนี้ว่าได้คุยกับย่าดา ซึ่งเป็นพี่สาวของหลวงปู่ของเรา พี่สาวแท้ๆ ฟังเรื่องราวอะไรต่างๆ ตรงนี้หลวงพ่อไม่มั่นใจ มันเลือนไปแล้ว ว่าจะพบ ได้พบโยมแม่ของหลวงปู่หรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะเรื่องราวมันเป็นอย่างนี้ว่า ตอนที่หลวงปู่เราเกิดเป็นทารกนะ ท่านสอนตัวเองได้ ดูเหมือนหลวงปู่จะเล่าให้ฟังเองมั๊ง ใช่ ตอนนี้นึกออกแล้ว ภาพมันขึ้นมา ว่าท่านสอนตัวเองได้ตั้งแต่ยังเด็กๆ นอนอยู่ในเปล ยังไม่อดนมหรอก แต่โยมแม่ต้องไปทำมาค้าขาย ก็เอาข้าวเย็นเนี่ะมาจุกปากท่าน ให้นอนดูดเล่น ท่านก็นอนดูดเล่นไม่ร้อง ไม่เรียก ไม่กวน แล้วก็สอนตัวเองได้ว่า ตอนนี้แม่ไม่อยู่ ไปทำงาน เราอย่าไปร้องกวนเลย ถึงแม้ข้าวเย็นมันไม่อร่อยเหมือนนมแม่ แต่มันก็ยังชื่นใจ แล้วพ่อแม่มาก็ ได้ดื่มนม มันชื่นอกชื่นใจ ดีกว่าไอ้ข้าวเย็นเยอะแยะเลย นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ดีนะจ๊ะว่า ตั้งแต่ยังเยาว์วัยอย่างนี้น่ะ สอนตัวเองได้ นอนดูดข้าวเย็นนะ ท่านดูดกันทุกวัน เนี่ยสอนตัวเองได้ แล้วก็ท่านบอกท่านสอนตัวเองมาได้เรื่อยๆ จนกระทั่งท่านเดินได้

เดินได้ก็จะมีเด็กสาวข้างบ้าน เขาก็จะใส่เสื้อคอกระเช้า เด็กสาวก็สัก 14 15 เจอกันทีไรก็ยกท่าน ชูท่าน ก็จุ๊บ จุ๊บ ท่านบอก จุ๊บทีมันเสียวไปถึงหัวใจ ไม่ชอบเลย บอกไม่ชอบเลย พอเห็นคนนี้มาทีไร ก็จะพยายามหลบหลีก แต่หลบไม่พ้นสักที แย่เลย วันหลังก็เลยคิดได้ เออ เขาชอบใส่คอกระเช้าแล้วก็ชั้นเดียว ท่านบอกตอนนี้ตั้งหลักได้ มาสู้กัน เขาจับยกท่าน ท่านจับชายเสื้อเด็กสาว ข้างล่างใช้สองมือจับ แล้วมือเด็กนี่เหนียวนะ แกะไม่ค่อยจะออกเลย พอจับ ผู้หญิงก็ไม่ทันรู้ตัว ยกชูขึ้น จะจุ๊บอย่างเดิม ผ้าก็เลิกขึ้นด้วย ร้องว๊าย ปล่อยเลย คราวนี้ท่านบอกไม่กลัวละคราวนี้มาเลย ..มันไม่กล้ามาอีก ท่านบอก เข็ดไปเลย และเราจะทำ ตอนคนเยอะๆด้วย

เพราะต่อมาท่านมีความคิดคำนึงว่ามนุษย์เนี่ยมันโกหกกันอย่างไร ก็ทำเป็นร้องไห้ แกล้งร้องไปอย่างนั้นเอง พี่เลี้ยงมาอุ้ม ท่านก็ มันกลางคืนพระจันทร์เต็มดวง ท่านก็ชี้ ร้อง ฮือ ฮือ อ๋อ จะเอาพระจันทร์เหรอ เดี๋ยวจะเอามาให้ ท่านก็รู้ อ๋อ มนุษย์เขาโกหกกันอย่างนี้เอง ใครนะเขาจะเอาพระจันทร์มาให้ได้ ท่านอยากรู้ นี่แหละที่ท่านเล่าให้โยมแผ้วฟัง ตอนเด็กๆ

โตขึ้นท่านก็มีความคิดเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ 16 มั๊งต้องรับผิดชอบครอบครัว ดูแลครอบครัว ทำมาหากิน ค้าข้าวล่องเรือ ล่องเรือค้าข้าว ท่านบอก การทำมาหากินมันลำบากจังเลย มนุษย์มันเป็นอย่างนี้เองเนี่ย ลำบากมาก ค้ากันอยู่ 3 – 4 ปี จนกระทั่งอายุ 19 ปี 19 นี่มีอยู่ในประวัติของท่าน ท่านเขียนไว้เองเลย คิดเบื่อหน่ายในเพศของฆราวาส ว่าปู่ย่าตายายก็ทำมาหากิน ตายแล้วก็ไม่เห็นเอาอะไรไปได้ ก็ทิ้งให้รุ่นลูกหลานเหลนทำกันมาต่อมา ก็อย่างนี้ ชีวิตมนุษย์มีเพียงแค่นี้หรือ เกิดความสลดสังเวชใจในชีวิตของมนุษย์ แล้วก็คิดว่า นี่ถ้าเรานอนตรงหัวเรือตรงนี้ ถ้าเกิดตายไป วิญญาณเราอยู่บนฝั่ง คนก็ไม่เห็นเราล่ะ เกิดเอาไม้เอาดินขว้างเขาเนี่ย มันคงนึกว่าเราเป็นผี คิดแล้วก็เบื่อหน่ายชีวิตของฆราวาส มาทำมาหากินเสร็จ มีครอบครัวเสร็จ เลี้ยงลูกและหลานแก่เฒ่าชราตาย มีเพียงแค่นี้ ก็คิดจะบวชแล้วก็ตั้งใจบวชเลย ว่าถ้าบวชแล้วจะไม่ลาสิกขา แล้วท่านบอกตั้งแต่นั้นมา ความคิดบวชอยู่ในใจตลอด เวลาจะเดินเหินไปไหนก็แล้วแต่ ท่านจะร้องเพลงเกี่ยวกับนิพพานทั้งนั้นเลย ซึ่งพวกเราคงเคยได้ยินกันแล้ว เป็นคำที่ท่านร้องกันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าเกิดมาจะมาหาแก้ว เจอแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม อ้ายรักมันก็อยอก อ้ายหลอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย เลิกอยากลาหยอกรีบออกจากกาม เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป เสร็จกิจสิบหกไม่ตกกันดาร นิพพานเป็นที่ไป ก็ร้องเพลงกันอยู่อย่างนี้แหละเรื่อยมาเลย จนกระทั่งตัดสินใจบวชเมื่ออายุได้ 22 ปี ที่จริงมันมีเกร็ดอยู่ระหว่างช่วงนี้อีกเยอะ แต่หลวงพ่อชักเลือนๆไปแล้ว หลายเรื่องทีเดียว น่าสนใจ จะทำให้เรามองเห็นภาพของบรมโพธิสัตว์ จิตใจกว้างขวางมากทีเดียว คิดไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้านเขา 22 ก็บวช

บวชแล้วท่านก็บอกว่า ศึกษาทุกอย่างเลย ที่ใครเขาสนใจคนในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นตำรายา โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ มนต์ปนธรรม ท่านก็ศึกษาแล้วก็ศึกษาถึงที่สุดซะด้วย พอรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เนี่ย ไม่ได้ทำให้พ้นทุกข์ ท่านก็เลยเลิก แต่เลิกแล้วก็ไม่ได้ลบหลู่วิชาต่างๆที่เรียนมา ยกตัวอย่างสักตัวอย่างหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องการทำคลอด เออเรื่องนี้ก็แปลกดีเหมือนกัน มีโยมคนหนึ่งจะเล่าให้หลวงพ่อฟัง วันนั้นแกอยู่ด้วย มีสามีภรรยาอยู่คู่หนึ่ง แจวเรือจ้างมา สามีแจวมา มาจอดที่ท่าน้ำ วัดปากน้ำ แล้วขึ้นมากราบเรียนหลวงปู่ซึ่งนั่งอยู่ในศาลาที่สอนธรรมของท่าน มาถึงก็กราบเรียนว่าภรรยาผมแท้งลูก ตอนนี้ทรมานมากเลยเนี่ย อยากให้ท่านช่วย ลูกตายอยู่ในท้องแล้วน่ะ ท่านก็บอกว่า เอาลูกออกเอาแม่ไว้ก็แล้วกัน แล้วก็สั่งให้สามีคนนั้นไปเอาด้ายสายสิญจน์มานะ ก็แปลกดี ไม่เห็นต้องฉีดยาเลย ได้สายสิญจ์มา ท่านก็เอามาม้วนๆ พอมันม้วนกลมๆได้ ท่านก็บอก เอาไปให้เมียตัวเองกิน เขาก็ถามว่า กลืนด้ายสายสิญจน์นี่เหรอ ก็บอกใช่ นั่นก็แปลกดี ก็เชื่อ ไม่มีคลางแคลงเลย ไปถึงก็ให้เมียที่นอนอยู่ในเรือจ้าง ใส่ปาก ดื่มน้ำกลืนลงไป สักพักเดียว ด้ายสายสิญจน์ไปคล้องคอเด็กออกมาเลย ไม่ต้องฉีดยา แสดงว่าท่านเรียนได้ถึงขั้นทีเดียว คล้องคอออกมาเลย แม่ก็ปลอดภัย เสียดายวิชานี่มันตกหายไปไหนก็ไม่รู้ แต่ก็เป็นวิชาที่ท่านก็ไม่เอาแล้ว ท่านไม่ค่อยได้ใช้ ถ้าหากจำเป็นจริงๆ ตอนนั้นยังไม่ได้ประชุมธรรมกายทำวิชชา ในโรงงาน ยังเป็นช่วงที่กำลังค้นคว้าอยู่ ฉะนั้นอะไรมาก่อนก็เอาวิชาอันนี้ไปก่อน ไปเอามาได้ มันน่าทึ่งทีเดียว

โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *