ฌานกรีฑา ธรรมกรีฑา

เรียบเรียงพระธรรมเทศนาหลวงพ่อธัมมชโย (35:23)

แม้ไกลแสนไกลก็จะเอามาให้ลูกเล่น หมายถึงดวงดาวดวงจันทร์บนท้องฟ้า ปกติพ่อแม่ที่รักลูก รักลูกนี่ มีอะไรก็อยากจะให้ลูกได้เพลิดเพลิน ฝึกฝนสติปัญญาบ้าง มีของเล่นๆ เพื่อให้เพลินกับเพื่อฝึกสติปัญญา จะซื้อของกันตั้งแต่ตัวการ์ตูนตุ๊กตาเรื่อยไปจนกระทั่งของเล่น เดี๋ยวนี้ของเล่นหลวงพ่อตามไม่ทันเลย เยอะแยะไปหมดเลย อย่างไรก็ตามก็ยังอยู่บนพื้นมนุษย์ แล้วก็เราก็มักจะได้ยินคำว่าเว้นแต่ดาวและเดือนเท่านั้นแหละนอกนั้นจะหามาให้

แต่คำนี่แหละเอามาใช้กับพระเดชพระคุณหลวงปู่ไม่ได้เลย ดาวเดือนบนท้องฟ้าท่านยังเอามาให้ลูกท่านเล่นได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ทีเดียว ไม่ทราบว่ามีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหรือเปล่าที่ผ่านมา แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ หลวงพ่อได้ยินได้ฟังจากผู้ที่มีประสบการณ์คือได้เล่นอันนี้ด้วย บางท่านก็ได้ยินได้ฟังมาเล่าให้ฟัง ได้เล่นทั้งดาว ได้เล่นทั้งเดือน จนกระทั่งได้เล่นถึงดวงตะวัน เขาเรียกว่าธรรมกรีฑา บางครั้งเรียกฌานกรีฑา

คือในช่วงนั้นมันเป็นเทศกาลสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเล่นกันทีหลายปีทีเดียว เล่นทิ้งลูกระเบิดอะไรกันเยอะแยะ ตายกันก็มาก พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรากับลูกๆท่านที่ได้ธรรมกายและได้ศึกษาวิชาธรรมกาย และก็ทำวิชาธรรมกายเป็น ท่านก็พยายามจะให้สงครามมันเลิกรบกัน พยายามทุกวิถีทาง เพราะว่ามนุษย์ไม่ควรจะรบกัน เนื่องจากข้าศึกที่แท้จริงของมนุษย์ไม่ใช่มนุษย์ แต่ว่าเป็นพญามาร ที่เขาเอาความโลภ ความโกรธ ความหลง เข้ามาบังคับบัญชาให้มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เกิดความเข้าใจผิด หลงผิดกัน ไปต่างๆนานาจนกระทั่งเกิดการขัดแย้ง ทะเลาะกัน ผูกเวรกัน จองเวรกัน ก็วนเวียนทุกข์ทรมานอยู่ในสังสารวัฏ

ในฐานะท่านเป็นผู้รู้ ก็แก้ไขแบบผู้รู้ ส่วนผู้ที่ความรู้ยังไม่ค่อยสมบูรณ์ ลดหย่อนลงมาก็ หาวิธีแก้ไขเพื่อให้เกิดการสงบศึก ก็ทำกันทุกวิธีทางอย่างนั้นแหละ เพื่อให้โลกเกิดสันติสุขกัน ก็ทำกันแบบไม่ต้องห่วงใยอาลัยอาวรณ์ในชีวิตเลย แบ่งออกเป็น 2 กะ กลางวันกะหนึ่ง กลางคืนกะหนึ่ง กะละ 6 ชั่วโมง รวมทีมกัน ถ้าจำไม่ผิดตั้งแต่ หกโมงเช้าถึงเที่ยงวัน แล้วก็เที่ยงวันถึง 6 โมงเย็น 6 โมงเย็น ถึง เที่ยงคืน เที่ยงคืน ถึงหกโมงเช้า ก็สลับกันไปหมุนเวียนกันไปอย่างนี้ ไม่ใช่เป็นวัน ไม่ใช่เป็นเดือน เป็นปีๆ เพราะว่าสงครามโลกเขาเล่นรบกันมาตั้งหลายปี ก็เอาเรื่องเหมือนกันแหละ ที่อยู่ในนั้น อดหลับอดนอนเจอแต่คำถามว่า เมื่อไหร่จะเลิกรบกันมั่ง หรือช่วยแก้ไขภัยพิบัติกัน ลูกระเบิดลงมา ก็เอาไปเททิ้งในป่ามั่ง ในทะเลมั่ง เพราะว่าไม่อยากให้มนุษย์ไม่ว่าชาติไหนภาษาไหนก็แล้วแต่ ล้มหายตายจากด้วยการรบราฆ่าฟันด้วยลูกระเบิดอะไรอย่างนั้น และแก้ไขให้สงบศึกให้เร็ว นี่ก็พยายามให้แก้ไขให้เร็วกันไปอย่างนั้น

พอเหนื่อยๆหนักเข้า ท่านก็คิดหาเรื่องให้ลูก พักผ่อนหย่อนใจกันมั่ง เพราะว่าลุยศึกกรำศึกกับมานักหนาทีเดียวแหละท่านก็บอกว่า เออ เรามาดับดาวดวงนั้นดวงนี้กันดีกว่า แต่ไม่ใช่จะดับทุกดวงนะ ดับเฉพาะดวงที่มันจะส่งผลร้ายให้เกิดขึ้นกับโลก กับมวลมนุษย์สรรพสัตว์ทั้งหลาย ท่านจะออกไปยืนข้างนอกดู อา ดาวดวงนี้ดับกัน ดาวดวงโน้นดับ แล้วกลับสั่งงานกัน ท่านก็บอกว่าการดับดาวเนี่ย เราก็จะต้องรู้ว่า ไอ้หม้อแปลงหรืออะไรล่ะ จุดเริ่มต้นของแสงสว่างตรงนี้นะมันมาจากตรงไหน หรือสิ่งที่จะทำให้เกิดเป็นพิษเป็นภัยต่อมวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างไร เหมือนเราจะดับดวงไฟก็ต้องควานหาสวิตซ์ให้เจอ จะดับทีละเยอะๆ ก็ตั้งหาหม้อแปลง จะให้มากกว่านั้นก็ไปดูสถานีย่อย ถ้าจะดับหมดก็ต้องโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า ก็ให้สาวไปหาเหตุ ท่านก็จะพูดกันย่อๆแบบนี้ ซึ่งโดยนัยยะนี้ผู้ใด้วิชชาธรรมกายจะเข้าใจ เหมือนพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา ให้นัยยะกับสามเณร เณร นายตาเขาอยากเห็นอภินิหารแล้วหลังจากนั้นสามเณรก็ ตะลุมบอนกันเองว่ากันเอง เข้าอกเข้าใจดีว่าจะทำอย่างไร นี่ก็เหมือนกัน เออ ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ ดับดวงนั้น ดับดวงนี้ ดับกันเป็นว่าเล่นเลย นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ที่ดีนะ ดับแล้ว ก็จะแบ่งครึ่งหนึ่ง ออกไปดูว่ามันดับหรือยัง ดูซิ ชี้เอาดวงนั้นนะ ชี้เอาดวงนี้นะ อย่าไปดับผิดดวง แล้วก็ออกมาดู ก็ดับได้ ถ้าจะดับกัน ดับเดี่ยวก็มี ดับเป็นทีมก็มี นี่เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ทีเดียวนะ

มีอยู่วันหนึ่งท่านก็รำพึงขึ้นมา วันนั้น มันขึ้น 15 ค่ำ ขึ้น 15 ค่ำพระจันทร์เต็มดวง หลังจากทำงานเรื่องราวช่วยทุกข์มนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว รำพึงขึ้นมาใครจะทำจันทคราสได้มั่ง ก็หมายความว่าจะดับดวงจันทร์ได้ แต่จันทรคราสโดยทางวิทยาศาสตร์ มันจะต้องมีการบังกัน อะไรมันบังอะไรกันเนี่ย มีโลก มีดวงจันทร์ มีดวงอาทิตย์ โลกบังดวงจันทร์ของโลก โลกอยู่ตรงกลาง ดวงอาทิตย์ โลกและดวงจันทร์ จึงเกิดจันทคราส ท่านใช้คำว่าจันทรคราสในความหมายว่า ทำให้มันดับได้นะ ทำให้มันดับได้ ไม่ได้หมายถึงบัง ให้มันดับไป แล้วคืนนั้นมัน 15 ค่ำ ก็เงียบกัน มีอยู่ท่านหนึ่งซึ่ง เป็นปฐมาจารย์ของคุณยายของเรานี่แหละ ตอนหลังก็เป็นคู่บุญสร้างบารมีกัน คือคุณยายทองสุข สำแดงปั้น หรือ อุบาสิกาแม่ชีทองสุข สำแดนปั้น สมัยนั้นเขาเรียกว่าคุณแม่อาจารย์ทองสุข ท่านก็บอก ลูกเองเจ้าค่ะ

อัธยาศัยท่านนี้นี่ ท่านเป็นคนที่ห้าวๆ ห้าวหาญทีเดียว ก่อนที่ท่านจะดับดวงจันทร์ได้ ไม่ได้นี่นะ เราลองมาดูดูบุคลิกท่านก็แล้วกัน อัธยาศัยท่านเป็นยังไง ท่านปฏิบัติธรรมตั้งแต่เป็นฆราวาส ได้ยากมากเลย นั่งทีไรมืดตื้อมืดมิด จนกระทั่งต้องไปขนกระโถนมา เอามาขัดกระโถนจนกระทั่งเห็นธรรม โอ้โห มีความเพียรจัด รักธรรมะ ตอนจะเข้าวัดก็ไปเป็นแม่ค้าขายของในตลาด ขายไปขายมามีแต่ความเจริญลงมาเรื่อยๆ เจริญลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไปกราบพระเดชพระคุณหลวงปู่ หลวงพ่อเจ้าขา ลูกทำไมทำมาค้าขาย ทำไมมันมันเจ๊งทุกทีเลย จะขายอะไร จะเจ๊งหมด หลวงปู่ท่านว่าไงรู้ไม๊ ก็เขาไม่ให้เอ็งมาทำอย่างนี้ คือไม่ได้ให้มาทำมาค้าขาย แต่ก็ไม่ได้บอกให้มาทำอะไร แต่ท่านก็คิดเอง เค้าไม่ให้เอ็งมาทำอย่างนี้ เออ คงไม่ได้ให้เรามาทำมาค้าขายมั้ง ให้เรามาปฏิบัติธรรมสร้างบารมี ในที่สุดก็ฝึกฝนอบรมจนกระทั่งได้ธรรมะ แล้วท่านก็คล่องแคล่วเชี่ยวชาญในธรรมะมากทีเดียวแต่ถนัดไปในทางวิชชามรรคผล ชอบเก็บรายละเอียดมาเล่าให้ฟัง ว่าไปเห็นนู่นเห็นนี่ ก็เล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาท่านฟัง ท่านนั่งอยู่ตรงไหนล่ะ เดี๋ยวคนล้อมเต็มเลย ล้อมหน้าล้อมหลังอยากจะรู้เรื่อง ฟังเรื่องราวที่ท่านไปเห็น

ต่างจากคุณยายของเรา คุณยายจันทร์ของเรานี่ ท่านจะไม่เก็บรายละเอียดประเภทอย่างนี้ มุ่งไปสู่จุดหมาย ของคุณยายทองสุขชอบแวะข้างทาง ถ้าจะมาวัดธรรมกาย ท่านต้องแวะรังสิต แล้วก็ในตลาดรังสิตมีนู่นมีนี่ ถ้าคุณยายจันทร์ก็มาถึงวัดธรรมกายเลย อัธยาศัยต่างกัน รูปร่างก็ต่างกัน คุณยายทองสุขอ้วน คุณยายเราผอมบาง เดินคู่กัน เหมือนอ้วนผอม เดินคู่กัน แล้วคุณยายทองสุขเรียกคุณยายจันทร์ มีสมญานามอีกอันหนึ่งคือ อีก้าง ถ้าอย่างนี้ก็แสดงว่าคือคุณยายของเรา

พระธรรมเทศนาของหลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *