กัณฑ์ที่ ๔๔ สติปัฏฐานสูตร
๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๗
นโม ตสฺส ถควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ (๓ หน)
อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติฯ
อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ
เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติฯ
อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ
จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติฯ
อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ
ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติฯ
อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสนฺติฯ
ณ บัดนี้ อาตมาภาพจักได้แสดงธรรมิกถา แก้ด้วยเรื่อง ธรรม ที่ทำให้เป็นธรรมกาย เป็นธรรมที่แน่แท้ในพระพุทธศาสนา จะแสดงตามคลองธรรมของ สติปัฏฐานสูตร ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้เป็นหลักเป็นประธาน มหาสติปัฏฐานสูตรนั้น เป็นโพธิปักขิยธรรม เป็นไปในเรื่องฝ่ายเครื่องตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์เหมือนกันหมด ปรากฏดังนี้ เหตุนั้นตามวาระพระบาลีแห่งมหาสติปัฏฐานสูตรที่ได้ยกขึ้นไว้เบื้องต้นว่า
อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลายผู้ศึกษาพระธรรมวินัยของพระตถาคตเจ้านี้ กาเย กายานุปสฺสี เห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่ อาตาปี มีความเพียรเป็นเครื่องเผายังกิเลสให้เร่าร้อน สมฺปชาโน รู้สึกตัวพร้อมอยู่เสมอ สติมา มีสติไม่เผลอ วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ พึงกำจัดความดีใจเสียใจในโลกเสียให้พินาศ
เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนนสฺสํ เห็นเวทนาในเวทนาเนือง ๆ อยู่ มีความเพียรเป็นเครื่องเผายังกิเลสให้เร่าร้อน มีความรู้สึกตัวพร้อมอยู่เสมอ มีสติไม่เผลอ พึงกำจัดอภิชฌาโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ
จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌา โทมนสฺสํ เห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ มีความเพียรเป็นเครื่องเผายังกิเลสให้เร่าร้อน มีความรู้สึกตัวพร้อมอยู่เสมอ มีสติไม่เผลอ พึงกำจัดอภิชฌาโทมนัส ในโลกเสียให้พินาศ
ธมฺเมสุ ธมฺมานฺปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺยํ โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ เห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่ มีความเพียรเป็นเครื่องเผายังกิเลสให้เร่าร้อน มีความรู้สึกตัวพร้อมอยู่เสมอ มีสติไม่เผลอ พึงกำจัดความเพ่งอยากได้ ความเสียใจในโลกเสีย นี้เป็นเนื้อความของวาระพระบาลีในมหาสติปัฏฐานสูตร แสดงหลักไว้ตามจริงดังนี้รับรองหมดทั้งประเทศไทยว่าเป็นข้อที่ถูกต้องแน่นอนแล้ว ต่อแต่นี้จะอรรถาธิบายขยายความเป็นลำดับไป
พิจารณาจะแสดงธรรม ที่ทำให้เป็นธรรมกาย นี้เป็นข้อที่ลึกซึ้งของยาก ได้ไม่ยากแต่ว่าไม่ง่าย ไม่ยากแก่บุคคลที่ทำได้ ไม่ง่ายสำหรับบุคคลที่ทำไม่ได้ ตำราได้กล่าวไว้ว่าเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ เห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่ เห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ เห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่ ๔ ข้อ
เห็นกายในกาย น่ะเห็นอย่างไร บัดนี้กายมนุษย์ที่ปรากฏอยู่ นั่งเทศน์อยู่นี่ นั่งฟังเทศน์อยู่นี่ นี่กายมนุษย์แท้ๆ แต่ว่ากายมนุษย์นี่แหละเวลานอนหลับฝันไปก็ได้ พอฝันออกไปอีกกายหนึ่ง เขาเรียกว่า กายมนุษย์ละเอียด นี่รู้จักกันทุกคนเชียวกายนี้ เพราะเคยนอนฝันทุกคน รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร เป็นเหมือนมนุษย์คนนี้แหละ คนที่ฝันนี่แหละ นุ่งห่มอย่างไร อากัปกิริยาเป็นอย่างไร สูงต่ำอย่างไร ข้าวของเป็นอย่างไร ก็ปรากฏเป็นอย่างนั้น ก็ปรากฏเป็นคนนี้แหละแบบเดียวกันทีเดียว คนเดียวกันก็ว่าได้ แต่ว่าเป็นคนละคน เขาเรียกว่า กายมนุษย์ละเอียด เวลานอนหลับสนิทถูกส่วนเข้าแล้ว ก็ฝันออกไป ออกไปอีกคนหนึ่งก็เป็นกายมนุษย์คนนี้แหละ รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างนี้แหละ ถึงได้ชื่อว่าเป็นกายมนุษย์ละเอียด กายมนุษย์คนที่ฝันออกไปนั่นแหละเขาเรียกว่า กายมนุษย์ในกายมนุษย์ นี่แหละกายในกาย แหละ เห็นจริงๆ อย่างนี้ ไม่ใช่เห็นตามเหลวไหล เห็นอย่างนี้ก็เป็นหลักเป็นพยานได้ทุกคน เพราะเคยนอนฝันทุกคน นี่เห็นในกายเห็นอย่างนี้นะ เมื่อเห็นกายในกายอย่างนี้แล้ว
เห็นเวทนาในเวทนา ล่ะ ก็ตัวมนุษย์คนนี้มีเวทนาอย่างไรบ้าง สุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ดีใจ เสียใจ เวทนาเป็นอย่างนั้นมิใช่หรือ ก็ส่วนกายที่ฝันออกไปนั้นก็มีสุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ดีใจ เสียใจ เหมือนกันแบบเดียวกันกับกายมนุษย์คนนี้แหละ ไม่ต่างอะไรกันเลย
จิตล่ะ เห็นจิตในจิต ก็แบบเดียวกันกับเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิตนี่ ต้องกล่าว “เห็น”นะ ไม่ใช่กล่าว “รู้” นะ เห็นจิตในจิต ดวงจิตของมนุษย์นี้เท่าดวงตาดำข้างนอก อยู่ในเบาะน้ำเลี้ยงหัวใจ ตำรับตำรากล่าวไว้ว่า
หทยคูหา จิตฺตํ อสรีรํ จิตฺตํ เนื้อหัวใจเป็นที่อยู่ แล้วก็กล่าวไว้อีกหลายนัย เนื้อหัวใจเป็นที่อยู่ แล้วก็กล่าวไว้อีกหลายนัย ปกติมโน ใจเป็นปกติ ภวงฺคจิตฺตํ ใจเป็นภวังคจิต ตํ ภวงฺคจิตฺตํ อันว่าภวังคจิตนั้น ปสนฺนํ อุทกํ วิย จิตเป็นดังว่าน้ำ จิตนั่นแหละเป็นภวังคจิต เวลาตกภวังค์แล้วใสเหมือนกับน้ำที่ใส จิตดวงนั้นแหละเป็นจิตของมนุษย์ ที่ต้องมีปรากฏว่า จิตในจิตนั่นแหละอีกดวงหนึ่งคือ จิตของกายมนุษย์ละเอียด ที่ฝันออกไปนั้นเรียกว่า จิตในจิต
ธรรมในธรรม เห็นธรรมในธรรมเนืองๆ เป็นไฉนเล่า ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ มีอยู่ในศูนย์กลางกายมนุษย์ ขนาดเท่าฟองไข่แดงของไก่ติดอยู่ในกลางกายมนุษย์ นี่เห็นธรรมในธรรมหละ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียดมีอยู่ ไม่เท่าฟองไข่แดงของไก่ ๒ เท่าฟองไข่แดงของไก่ อยู่ในกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียดนี้แหละ ๒ เท่าฟองไข่แดงของไก่ นั่นเป็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด นั่นอีกดวงหนึ่ง นั่นเห็นอย่างนี้ เห็น หรือรู้ ล่ะ รู้กับเห็นมันต่างกันนะ เห็นอย่างหนึ่ง รู้อย่างหนึ่ง นะ ไม่ใช่เอารู้กับเห็นมาปนกัน ไม่ได้
กาเย กายานุปสฺสี เห็นกายในกาย เห็นเหมือนอะไร เห็นเหมือนนอนฝันอย่างนั้นซี เห็นจริงๆ อย่างนั้น ตากายมนุษย์นี่เห็นหรือ ตากายฝันมันก็เห็นละซี จะไปเอาตากายมนุษย์นี่เห็นได้อย่างไรล่ะ ตากายมนุษย์นี่มันหยาบนี่ อ้ายที่เห็นได้นั่น มันตากายมนุษย์ละเอียดนี่ มันก็เห็นกายโด่ ๆ อย่างนั้น
เห็นเวทนาในเวทนา เล่า ถ้าว่าเมื่อทำถูกส่วนเข้าเช่นนั้นละก็ เห็นเวทนาจริงๆ สุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ดีใจ เสียใจ เวทนา ๓ หรือ เวทนา ๕ เห็นจริงๆ เป็นดวง เป็นดวงใส เป็นเวทนา เวทนาแท้ๆ สุขก็ดวงใส ทุกข์ก็ดวงข้น ดวงขุ่น ไม่สุข ไม่ทุกข์ ก็ดวงปานกลาง เห็นชัดๆ เป็นดวงขนาดไหน ถ้าเต็มส่วนมันเข้าก็เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์นั่น ดวงเวทนาขนาดนั้น ถ้าลดส่วนลงไป ก็โตได้ เล็กได้ นั่นเห็นเวทนาในเวทนา เห็นอย่างนั้นเชียว เห็นเหมือนนอนฝัน กายละเอียดทีเดียว เห็นเวทนาเป็นดวงทีเดียว แต่ว่าสุขก็อยู่ในสุขของมนุษย์นี้ ทุกข์ก็อยู่ในทุกข์ของมนุษย์นี่ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็อยู่ในไม่สุขไม่ทุกข์ของมนุษย์นี่ ดีใจก็อยู่ในดีใจของมนุษย์นี่ เสียใจก็อยู่ในเสียใจ ของมนุษย์นี่ เขาเรียกว่าเวทนาในเวทนา เป็นดวงพอๆ กันเท่าๆ กัน
เห็นจิตในจิตล่ะ ดวงจิตตามส่วนของมัน ก็เท่าดวงตาดำข้างนอก ถ้าว่าไปเห็น เข้ารูปนั้นมันขยายส่วน วัดเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เหมือนกัน ดวงจิตก็ขนาดเดียวกัน ไปเห็นจริงๆ เข้าเช่นนั้นขยายส่วนเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ดวงจิตปรากฏอยู่ในดวงจิต กายมนุษย์หยาบนี่แหละ แต่ว่าเป็นดวงจิตของกายมนุษย์ละเอียด อยู่ในกายมนุษย์ ละเอียดโน่น แต่ว่าซ้อนอยู่ข้างในนี่แหละ
เห็นธรรมในธรรมล่ะ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์ เท่าฟองไข่แดง ของไก่ เมื่อไปเห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียดเข้าแล้ว ขยายส่วนได้โตได้ ขนาดดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เหมือนกัน ขนาดๆ เดียวกัน ขยายส่วนออกไป นั่นได้ชื่อ ว่าเห็นธรรมในธรรม คือในกายมนุษย์นั่นเอง ในกายมนุษย์ละเอียดนั้น นี่รู้จักชั้นนึง ละนะ
ถ้าเห็นเข้าเช่นนี้เราจะทำอย่างไร ตำรากล่าวไว้ว่า อาตาปี เพียรให้กลั่นกล้า อาจหาญทีเดียว เพียรไม่ย่อ ไม่ท้อ ไม่ถอยทีเดียว เป็นเป็นเป็น ตายเป็นตายทีเดียว เรียนกันจริงๆ ต้องใช้ความเพียรประกอบด้วยองค์ ๔ ทีเดียว ประกอบด้วยองค์ ๔ นั่น อะไรบ้าง เนื้อ เลือด กระดูก หนัง เนื้อ เลือด กระดูก หนัง เนื้อเลือดจะแห้งเหือด หมดไปไม่ว่า เหลือแต่กระดูกหนังช่างมัน ไม่ละล่ะ ใจต้องจรดอยู่ที่เดียว ในกาย เวทนา จิต ธรรมนั่น ไม่เคลื่อนละ ใจจะต้องจรดอยู่ที่เดียว ไม่ปล่อยกันละ ฝันไม่กลับกัน ละ ฝันกันเรื่อย แม้จะกลับมาก็เล็กน้อยละ ฝันมันอีก ฝันไม่เลิกกันละ ให้ชำนาญ ทีเดียว นั่งฝันนอนฝัน นั่งก็ฝันได้ นอนก็ฝันได้ เดินก็ฝันได้ ยืนก็ฝันได้ ขี้เยี่ยวฝัน ได้ทีเดียว นี่เขาเรียกว่า อาตาปี เพียรเร่งเร้าเข้าอย่างนี้ สมุปชาโน สติมา รู้อยู่ เสมอไม่เผลอ เผลอไม่ได้ เผลอหายเสีย ถ้าได้ใหม่ๆ ละ ถ้าเป็นใหม่ๆ เห็นใหม่ๆ เผลอไม่ได้ หายเสีย ไม่เผลอกันทีเดียว ไม่วางธุระ เอาใจใส่ ไม่เอาใจไปจรดอื่น จรดอยู่ที่กาย เวทนา จิต ธรรม ในกายนั้นแหละ
จรดอยู่ในกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ๔ อย่างนั้นจรด ได้หรือ จรดตรงไหนล่ะ ที่จรดเขามี ที่ตั้งของใจเขามี ที่จรดเขามี แต่ว่า ๔ อย่าง นั่นจะดูเวลาไรก็เห็นเวลานั้น เหมือนกายมนุษย์นี่ ถ้าว่ามีความเห็นละก็ ก็จะเห็นปรากฏ ทีนี้ไม่มีความเห็นมีแต่ความรู้ กายของตัวเห็นอยู่เสมอ เวทนาของตัวก็รู้สึก อยู่เสมอ จิดของตัวก็รู้สึกอยู่เสมอ จะคิดอะไร ธรรมของตัวก็รู้อยู่เสมอ ความดีชั่ว ความดีของตัว ไม่มีที่ไม่มีชั่ว ไม่เจือปน มนุษย์รู้ได้เท่านี้
ส่วนกายมนุษย์ละเอียด เห็น! เห็นปรากฏ เมื่อเห็นปรากฏดังนี้ละก็ นี่แหละ ความจริงในพระพุทธศาสนา รู้จักเท่านี้แหละ แล้วก็เมื่อรู้จักเท่านี้ละก็ อย่ารู้จักว่าแต่ เพียงกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมแต่เพียงเท่านั้นนะ ยังมีอีก หลายชั้น นับชั้นไม่ถ้วน นี่ชั้นนึงละนะ เข้าไปอีกชั้นหนึ่ง กายในกายนั่น เขาเรียกว่า ฝันในฝันยังไงล่ะ ฝันในฝัน ไอ้กายที่ฝันน่ะไปทำการงานเหนื่อยเข้า ไปแสดงฝันเต็ม เกมของการฝันเข้า เหนื่อยเข้าไปนอนหลับเข้า แล้วหลับฝันเข้าอีกแน่ะ
ไอ้กายฝันน่ะฝันเข้าอีก นี่เขาเรียกว่าฝันในฝัน ฝันในฝันเป็นยังไงล่ะ ก็ออกไป อีกกายนึงล่ะสิ ออกไปอีกกายก็เป็นกายทิพย์ อันนี้เป็นกายทิพย์ นี่ ออกไปอีกกายเป็น กายทิพย์ กายทิพย์ก็เห็นโด่อีกนั่นแหละ เหมือนกับกายมนุษย์ที่ฝันนั่นแหละ แบบ เดียวกัน ไม่เปลี่ยนไม่แปลงอะไรกัน หน้าตา เอากระจกคันฉ่องมาส่องเงาหน้า ส่อง เงาหน้าละก็เอามาเทียบกันดู จำได้ทีเดียว นี่คนเดียวกันไม่ใช่แยกกัน นี่กายคนเดียวกัน เมื่อรู้จักเช่นนั้นแล้ว เห็นกายในกายที่ ๓ เข้าไปแล้ว ไม่ใช่ที่ ๒ แล้ว
เวทนาในเวทนาก็แบบเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน เวทนาตั้งอยู่ตรงไหน ถ้า เขาถามว่าเวทนาตั้งอยู่ตรงไหนที่เห็นน่ะ อยู่กลางกาย กายที่ฝันในฝันนั่นแหละ กาย ที่ ๓ นั่นแหละ อยู่กลางกายนั่นแหละเวทนา
จิตในจิต จิตก็อยู่ในกลางเวทนานั่นแหละ
ธรรมในธรรมก็อยู่กลางจิตนั่นแหละ ธรรมในธรรมนะ ไม่ใช่อยู่ที่ไหนหรอก เป็น ดวง เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ บริสุทธิ์สนิทเท่าๆกัน นี่ เหมือนฝันในฝัน ตัวจริงอย่าง นี้ ไม่ใช่คลาดเคลื่อน
ที่วัดปากน้ำดำเนินปฏิบัติน่ะ ไม่ได้เอาเรื่องอื่นมาเหลวไหล ค้นเข้าไปถึงตัวจริง ในตัวอย่างนี้ นี่ก็เป็น ๓ กายละนะ เข้าไป ๓ กายแล้ว กายฝันในฝันนั่นแล้ว ได้เท่านี้ ก็พอแล้วนี่ ได้เท่านี้ก็พอเอาเป็นตัวอย่างได้แล้ว ทีนี้ก็เดินไปในแนวนี้ตำรานี้นะ อย่า ถอยหลังก็แล้วกัน มันจะมีกี่ร้อยกายพันกายก็ไปเถอะ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เข้าไปอย่างนี้แหละ ไม่คลาดเคลื่อนทีเดียว แต่ว่าที่จะเข้าไป รูปนี้น่ะ แสดงไว้เมื่อวันพระแล้ว แสดงไว้แล้ว ตั้งแต่เอกายนมรรคมาโน่น ยังค้างอยู่ กายในกาย ยังไม่อธิบายให้กว้างออกไป ที่นี้จะอธิบายให้กว้างออกไปว่า ได้ความอย่าง นี้ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อย่างนี้แหละ นี่เป็นกายที่ ๓
กายที่ ๔ กายทิพย์น่ะฝันอีก ฝันในฝันเข้าไปอีก เป็น ๓ ชั้น แบบเดียวกัน พอเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม แบบเดียวกัน แบบเดียวกัน นั่นแหละ แล้วกายทิพย์ละเอียดนั่นแหละฝันเข้าไปในฝันเข้าไปอีก เป็น ๔ ฝัน ๔ ชั้น เข้าไป ก็เห็นกาย เวทนา จิต ธรรมอีก ก็มีความเพียรไปอีก อย่าเผลอ ไม่ได้นะ เพียร ไว้มีสติไว้เสมอ ไม่เผลอ เพียรไว้มีสติไว้เสมอ นำอภิชฌาโทมนัสในโลกเสีย อย่าให้ความดีใจ เสียใจแลบเข้าไปได้นะ ถ้าความดีใจเสียใจแลบเข้าไปได้ละก็ เดี๋ยวก็ต้องเลิกฝันละ ต้องตื่นละ ต้องกลับมาแล้ว ฝันไม่ได้เสียแล้ว ความดีใจแลบเข้าไป แลบเข้าไปยังไงล่ะ เข้าไปมันลึกซึ้งละ กำลังฝันๆ อย่างนั้นแหละ ความดีใจ จะให้เป็นอย่างนั้นจะให้เป็น อย่างนี้เข้าไปแต่งแล้ว เสียใจหละ ก็ไม่ได้สมเจตนาก็เสียใจหละ พอดีใจเสียใจแว่บเข้า ไปก็ขุ่นมัวทีเดียว ประเดี๋ยวก็ต้องถอยออก ต้องฝันไม่ได้ ต้องเลิกฝันกัน
เพราะฉะนั้น ความดีใจเสียใจนี้ร้ายนัก ไม่ใช่ร้ายแต่เมื่อเวลาปฏิบัติธรรมะ เห็นธรรมะ อย่างนี้นะ งนี้นะ ถึงเวลาเราดีๆ อยู่ ไอ้ความดีใจเสียใจนี่แหละ ตีอกชกใจล่ะ กินยาตาย ผูกคอตาย โดดน้ำตายล่ะ ดีใจเสียใจนี้ล่ะมันเต็มขีดเต็มส่วน ของมันเข้า บังคับอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ความ ดีใจเสียใจนี่เป็นมารร้ายทีเดียว ถ้าว่าใครให้เข้าไปอยู่ในใจบ่อยๆละก็หน้าดำคร่ำเครียดสี ร่างกายไม่สดชื่นสิ ไม่เศร้าหมองไม่ผ่องใสหรอก เพราะอะไร เพราะมันดีใจเสียใจ มันบังคับใจ มันเดือดร้อนมันหน้าดำคร่ำเครียดทีเดียว บางคนไม่อ้วนทีเดียว ผอม ผอม กริวทีเดียว ไอ้นี่มันเอาความดีใจเสียใจหมกอยู่ทุกวันไม่ปล่อยมันออกไป
ถ้าว่าทำใจให้สบายให้ชื่นมื่น ให้เย็นอกเย็นใจสบายใจ จะมั่งมีดีจนอะไรก็ช่าง ทำใจเบิกบานไว้ ทำใจสบายไว้ ร่างกายมันก็ชุ่มชื่นสบาย นี่ไอ้ดีใจเสียใจมันฆ่ากาย มนุษย์อย่างนี้ กายมนุษย์ละเอียดก็ฆ่า กายทิพย์ก็ฆ่า กายทิพย์ละเอียดก็ฆ่า ฆ่าทั้งนั้น ทุกกาย ดีใจเสียใจน่ะคอยระวังไว้ ท่านถึงได้สอนนักว่า นำความดีใจและเสียใจในโลก เสียให้พินาศ ดีใจเสียใจในโลกเลยนะ ดีใจเสียใจในอัตภาพร่างกาย
โลกน่ะคือขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ นี้แหละ ร่างกายอันนี้แหละคือตัวโลกสำคัญล่ะ เขาเรียกว่าสัตวโลก โอกาสโลก ขันธโลก สัตวโลก โอกาสโลก ว่างๆ ที่ ว่างๆ เหล่านี้ ที่ว่างๆ ทั้งหลาย ดิน น้ำ ไฟ ลม วิญญาณ อากาศ นี่เขาเรียก โอกาสโลก ขันธโลก ที่มันรวมเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเดียว ขันธโลก สัตวโลก ไอ้ที่อาศัยขันธ์นั่นแหละไปเกิดมาเกิด ไอ้ที่เป็นกาย ๆ เข้าไปข้าง ในนี้เป็นสัตวโลกทั้งนั้น เป็นกายเข้าไปข้างใน เป็นชั้นๆๆๆ เข้าไป สัตวโลกเป็นชั้นๆ เข้าไป สัตวโลกทั้งนั้น เมื่อเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ของกายมนุษย์ละเอียดแล้ว
กายมนุษย์ละเอียดนี่แหละ ฝันในฝันเข้าไปอีก เป็นข้อที่ ๔ ออกไปอีกกาย เป็นกาย ที่ ๕ กายรูปพรหม
กายรูปพรหมก็มี กาย เวทนา จิต ธรรมเหมือนกัน ปรากฏดังกล่าวแล้ว ไม่ ต้องอธิบาย เวลาจะไม่พอ ย่นย่อพอควรแก่กาลเวลา กายรูปพรหมนั่นแหละ ฝันในฝันเข้าไปได้อีกเหมือนกัน ออกไปอีกกาย เป็น กายรูปพรหมละเอียด กาย เวทนา จิต ธรรมอีก แบบเดียวกัน
กายรูปพรหมละเอียดนั่นแหละ ฝันเข้าไปได้อีกเหมือนกัน ออกไปอีกกาย เรียกว่ากายอรูปพรหม มีกาย เวทนา จิต ธรรม แบบเดียวกัน
กายอรูปพรหมนั่นละฝันออกไปอีกได้เหมือนกัน ออกไปอีกกายเรียกว่ากายอรูป พรหมละเอียด มีกาย เวทนา จิต ธรรม แบบเดียวกัน
กายอรูปพรหมละเอียดนั่นแหละ ฝันได้อีกเหมือนกัน ออกไปอีกกาย เรียกว่า กายธรรม
กายธรรมก็ อันนี้ประกอบด้วย มีกาย เวทนา จิต ธรรม เหมือนกัน กาย ก็คือ เวทนา ก็เวทนาของธรรมกายนั่นแหละ จิต ก็จิตของธรรมกายนั่น ธรรม ก็เป็นธรรมของธรรมกายนั่น ขยายส่วนแล้ว ดวงใหญ่ วัดผ่าเส้นศูนย์กลางเท่าหน้าตัก ธรรมกาย ธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรมนั่น นั่นดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย เท่าหน้า ตักธรรมกาย
ธรรมกายนั่นแหละฝันได้อีกเหมือนกัน ออกไปอีกกาย เรียกว่ากายธรรมละเอียด ใหญ่ออกไป หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้นไป มี กาย เวทนา จิต ธรรม เหมือนกัน
ธรรมกายละเอียดนั่นแหละฝันได้อีกเหมือนกัน ออกไปอีกกาย มีกายพระโสดา เป็นกายพระโสดา หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้นไป กายพระโสดานั่นแหละพอประกอบธาตุธรรมถูกส่วนเข้า ออกไปอีกกาย แบบ ฝันนั่นแหละ ออกไปอีกกาย เป็นกายพระโสดาละเอียด หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา กาย เวทนา จิต ธรรม เหมือนกัน
ธรรมกายละเอียดของพระโสดานั่นแหละ ฝันเข้าไปได้อีกเหมือนกัน ออกไปอีก กาย เรียกว่ากายพระสกิทาคา หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้นไป มีกาย เวทนา จิต ธรรม แบบเดียวกัน มีกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมใน ธรรม แบบเดียวกัน
กายธรรมพระสกิทาคาล่ะก็ฝันเข้าไปอีก ออกไปอีกกายหนึ่ง เป็นกายพระสกทา คาละเอียด หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา มีกาย เวทนา จิต ธรรม แบบเดียวกัน กายใน กาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม แบบเดียวกัน
กายธรรมพระสกิทาคาละเอียดฝันไปอีกเหมือนกัน ออกไปอีกกาย เป็นกายพระ อนาคา หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา
ธรรมกายพระอนาคาฝันได้อีกเหมือนกัน ออกไปอีกกาย เรียกว่ากายพระ อนาคาละเอียด หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา
ธรรมกายพระอนาคาละเอียดนั่นแหละ ฝันไปได้อีกเหมือนกัน ออกไปอีกกาย เรียกว่ากายพระอรหัด หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้นไป
ธรรมกายพระอรหัตนั่นแหละฝันได้อีกเหมือนกัน ออกไปอีกกาย เรียกว่ากาย พระอรหัตละเอียด ใหญ่หนักขึ้นไป มี กาย เวทนา จิต ธรรม แบบเดียวกัน ฝันออกไป อย่างนี้แหละ
มีกายพระอรหัต พระอรหัตละเอียด มีกายพระอรหัตพระอรหัตละเอียดๆ นับ อสงไขยไม่ถ้วน ฝันออกไปอย่างนี้แหละ หมดกายพระอรหัตมีกายพระพุทธเจ้าอีกก็ได้ กายในกาย กายในกายๆๆๆๆ มันอย่างนี้แหละ
ผู้เทศน์นี้ได้ทำวิชชานี้ ๒๓ ปี วันออกพรรษานี้ก็ ๓ เดือนเต็มละ ยังไม่หมด กายละเอียดเหล่านี้เลย ไม่ได้ถอยกลับเลย ยังไม่หมดกายละเอียดเหล่านี้เลย ยังไม่ ถึงที่สุด ไปทูลถามพระพุทธเจ้าองค์เก่าองค์แก่ที่เข้านิโรธเข้านิพพาน นิพพานไปแล้ว ถอยเข้าไปหากายละเอียดนี้น่ะ ไปถึงมั่งแล้วรึยัง แล้วไม่มีใครรู้เลยว่าไปถึงหรือไม่มีใคร ไปถึง เอาละซิคราวนี้ นี่ศาสนา ตัวจริงของกายมนุษย์เป็นอย่างนี้ เมื่อเป็นพระอรหันต์ ขึ้นก็ต้องไปตรวจของตัว เข้านิพพานแล้วต้องไปตรวจของตัว เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าขึ้น แล้ว เข้านิพพานก็ต้องไปตรวจกายของตัวอย่างนี้แหละ ว่าที่สุดอยู่ที่ไหน ต้องไปที่สุด ให้ได้ ไปบอกที่สุดให้ได้ นี่ความจริงเป็นอย่างนี้
เมื่อรู้จักความจริงอย่างนี้แล้วละก็ อย่าไหลเล่อ อย่าเลอะเทอะ ที่อื่นไม่ใช่ของตัว ให้เอาใจจรดอยู่ในของตัวนี้อย่าถอยกลับ ให้เข้าไปถึงกายที่สุดให้ได้ ว่ากายที่สุดของตัวอยู่ที่ไหน เมื่อไปถึงที่สุดของตัวได้ละ คราวนี้ตัวก็รักษาตัวได้ ไม่มีใครมาเป็นอิสระ ไม่มีใครมาบังคับบัญชา ถ้าว่ายังไม่ถึงที่สุดของตัวแล้วละก็อย่าหมายเลย เขาจะต้องบังคับบัญชาแกท่า เดียวเท่านั้นแหละ แกจะต้องเป็นบ่าวเป็นทาสเขา เวลานี้พญามารเขาบังคับ ใช้เป็น บ่าวเป็นทาส ให้ทำอะไรทำได้ ให้ด่า ให้ตี ให้ชก ให้ฆ่า ให้ฟันกันได้ มารบังคับ บังคับ ได้อย่างนี้นะ ให้เป็นบ่าวเป็นทาสเขา ให้เลวทรามต่ำช้า ให้เป็นคนจนอนาถา ติดขัด ทุกสิ่งทุกอย่าง เครื่องกินเครื่องใช้ขาดตกบกพร่อง เครื่องกันเครื่องใช้มากมีมูลมอง เครื่องใช้เครื่องสอยก็มี ทำได้ มารเขาทำได้ บังคับได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะตัวไม่เป็น อิสระในตัว เพราะตัวไม่เป็นใหญ่ในตัว เพราะตัวไม่รู้จักที่สุดของตัว
นี่มนุษย์โง่ขนาดนี้เห็นไหมล่ะ ไม่ใช่มนุษย์โง่เท่านั้น พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ท่านก็ไปยังไม่ถึงที่สุดเหมือนกัน ถ้าใครไปยังไม่ถึงที่สุดก็ยังไม่ฉลาดเต็มที่ ต่อเมื่อใด ไปถึงที่สุดกายของตัวไม่มีสุดต่อไปแล้ว นั่น ฉลาดเต็มที่แล้ว ตัวของตัวเองเป็นที่พึ่งแก่ ตัวได้แล้ว นี่เป็นข้อสำคัญอย่างนี้นะ
นี่เจอพุทธศาสนานี่แหละ เป้าหมายใจดำ อย่าไปทำแง่อื่น อย่าไปหลงเล่อ อย่า ไปหลงเลอะเทอะไหลเล่อ เอ้า! ต่างว่ามีครอบครัวละ แล้วได้อะไรบ้างล่ะ ลูกคนหนึ่ง แล้วเอามาทำไมล่ะ เอามาเลี้ยง ได้ ๑๐ คนเอ้า เอ้าไว้เลี้ยงไปยังไงก็เลี้ยงไป บ่นโอ๊ก แล้วพอได้ ๑๐ คน เอ้าได้ ๕๐ คน เอ้า! เอาล่ะสิคราวนี้ลงเปะปะล่ะสิ เอ้าอยากได้ลูก ใช่ไหมล่ะ ไม่จริง เหลว โกงตัวเอง โกงตัวเอง พาให้เลอะเลือนซะ ไม่เข้าไปค้นกาย ของตัวให้ถึงที่สุด ไม่ให้ตรวจตัวถึงที่สุด เป็นมนุษย์กับเขาทั้งที เพราะเชื่อกิเลสเหลวไหล เหล่านี้แหละพาให้เลอะเลือน จะครองเรือนไปสักกี่ร้อยปีก็ครองไปเถิด งานเรื่องของคน อื่นเขาทั้งนั้น เรื่องของพญามารทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของตัว ไม่ใช่งานของตัว ไปทำงาน ให้พญามารเขาทั้งวันทั้งคืน เอาเรื่องอะไรไม่ได้
เพราะอะไรล่ะ เพราะไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เกิดมาพบอย่างไงก็ไปอย่างนั้นแหละ เพราะไม่ได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ นี่ไม่ได้ฝึกใจในธรรมพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกฝนใจของสัตบุรุษ ความเห็นก็พิรุธเหลวไหล ไปดังนี้ เมื่อรู้จักหลักอันนี้แล้ว นี่แหละ เป็นความจริงทางพระพุทธศาสนาตัวจริงทีเดียว นี่เป็นข้อที่ลึกซึ้ง
ให้หนึ่งไว้ในใจว่าต่อแต่นี้ไป เราจะต้องเข้าถึงที่สุด เข้าไปในกายที่สุดของเราให้ ได้เป็นกายๆ เข้าไป เมื่อเป็นกายๆ เข้าไปแล้ว ถ้าว่าทำเป็นแล้วไม่ใช่เดินท่านี้นะ เดินในไส้ทั้งนั้น เดินในไส้ทั้งนั้น ไส้เห็น ไส้จำ ไส้คิด ไส้รู้ ในกำเนิดของดวงธรรมที่ทำให้เป็นสุดหยาบสุดละเอียด เถา ชุด ชั้น ตอน ภาค พืด เดินไส้ทั้งนั้น เดินไส้ไม่ใช่เดิน ท่าอื่น เดินในกลางดวงปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา เดินไปในกลางดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ นั้นเป็นทางเดินของพุทธเจ้าพระอรหันต์ เดินไปในไส้ ไม่ใช่เดิน ไปในไส้เพียงเท่านั้น ในกลางว่างของดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ว่างในว่างเข้าไป ในเหตุว่าง เหตุเปล่า เหตุดับ เหตุลับ เหตุหาย เหตุสูญ เหตุสิ้นเชื่อ ไม่เหลือเศษ หล่อเลี้ยง เป็นอยู่ ปราสาท รส ชาติ ไอ แก๊ส แก๊สกรด หนักเข้าไป เหตุสุด เหตุหมด ในแก๊สกรด หนักเข้าไปอีก ไม่ถอย กลับ นับอสงไขยไม่ถ้วน นับอายุธาตุอายุบารมีไม่ถ้วน ไม่มีถอยกลับกัน เดินเข้าไป อย่างนี้นะ
พระพุทธเจ้าพระอรหันต์นะ ไม่ใช่เดินโลเลเหลวไหลนะ ที่เรากราบเราไหว้เรา นับถือน่ะ ท่านวิเศษวิโสอย่างนี้ นี่แหละเป็นผู้วิเศษแท้ๆ นี่แหละเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก แท้ๆ ท่านเป็นผู้รู้จริง เห็นจริง ได้จริง เราจึงเอาเป็นตำรับตำราได้ เมื่อรู้จักหลักธรรมอัน นี้แล้ว อย่าเข้าใจว่าได้ฟังง่ายๆ นะ ตั้งแต่เราเกิดมาเป็น ภิกษุ สามเณร อุบาสกอุบาสิกาน่ะ อย่างนี้ไม่เคยได้ฟังเลยไม่ใช่หรือ ถ้าไม่เคยได้ฟัง ได้ฟังแล้วจำเอาไว้ ทำให้เป็นเหมือน อย่างแสดงนี้ทุกสิ่งทุกประการ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา
ที่ได้ชี้แจงแสดงมานี้ ตามวาระพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบาย พอสมควรแก่เวลา เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจสัจที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ สทาโสตถี ภวนฺตุ เต ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดมีแก่ท่านทั้งหลายบรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วน หน้า อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา สมมติว่ายุติธรรมมิกถา โดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้
เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
โอวาท พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
อ้างอิงเนื้อหา หนังสือ รวมพระธรรมเทศนาพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
เพื่อการศึกษาและดำรงไว้ซึ่งคำสอน