วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก มหัศจรรย์สมาธิ

ง่ายแต่ลึกเล่ม ๒ บทที่ ๗ : มหัศจรรย์สมาธิ

น้ำค้างหยาดหยดย้อย ปลายหญ้า
สูรย์ส่องพร่างพรายตา ดั่งแก้ว
พิสุทธิ์ดุจธรรมา ลอยเด่น
อยู่กึ่งกลางกายแล้ว ช่วงแพร้วมณีใส
ตะวันธรรม

       เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ
คนนะ ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือ
ซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บน
หน้าตักพอสบายๆ
       หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูกพอสบายๆ ไม่ถึงกับปิด
สนิท คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่า
กดลูกนัยน์ ตาหลับตาพริ้มๆ ในระดับขนตาชนกันพริ้มๆ นั่ง
หน้ายิ้มๆ สบายๆ
แล้วก็ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกาย ทั้งเนื้อทั้งตัวให้มี
ความรู้สึกว่าผ่อนคลายจริงๆ ตั้งแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้า ศีรษะ
ลำคอ บ่า ไหล่ แขนทั้งสองถึงปลายนิ้วมือให้ผ่อนคลาย กล้าม
เนื้อบริเวณลำตัว ขาทั้งสองถึงปลายนิ้วเท้า ขยับเนื้อขยับตัว
ของเราให้ดี กะคะเนว่าเลือดลมในตัวเดินได้สะดวก จะได้ไม่
ปวด ไม่เมื่อย ไม่ตึง ไม่เกร็ง

ต้องผ่อนคลายนะ ตรงนี้สำคัญ
หลับตาให้เป็น แล้วก็ผ่อนคลาย
เริ่มต้นต้องทำให้ถูกต้องนะ

       แล้วก็ทำใจให้ใสๆ ให้บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่
ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามให้ปลด ปล่อย วาง ทิ้งทุกอย่าง ปล่อย
วางทุกสิ่ง แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ที่
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่
เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือจำง่ายๆ ว่าอยู่ในบริเวณ
กลางท้อง
       จำง่ายๆ ให้รวมใจของเราไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลาง
กายฐานที่ ๗ ตรงที่เรามั่นใจว่าตรงนี้คือศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เอาใจไปหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ตรง
นั้น คือเอาความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ รวมหยุดเป็น
จุดเดียวกัน หรือจำง่ายๆ ว่า เอาความรู้สึกทั้งหมดไปรวมอยู่
ที่ตรงนั้น อย่างสบายๆ
       แล้วก็กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ เป็นภาพทางใจ
นึกถึงเพชรสักเม็ด หรือก้อนน้ำแข็งใสๆ กลมรอบตัวเหมือน
ดวงแก้ว แต่ว่าใสบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มี
ตำหนิเลย โตขนาดไหนก็ได้ อย่างน้อยโตเท่ากับแก้วตาของ
เรานะ หรือขนาดดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวที่เรามองขึ้น
ไปบนท้องฟ้าในตอนกลางคืนขนาดไหนล่ะ ก็นึกเอาขนาดนั้น
ขนาดที่เราชอบ แต่ต้องกลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว แล้วก็ใส
เย็น ใสอย่างน้อยก็เหมือนน้ำใสๆ หรือเหมือนกระจกใสๆ
ถ้ายิ่งใสเหมือนกับเพชรได้ยิ่งดี
       กำหนดเป็นบริกรรมนิมิตเป็นภาพทางใจ เป็นที่ยึดที่เกาะ
ของใจเรา ใจจะได้ไม่ไปคิดเรื่องอื่นให้นึกอย่างสบายๆ คล้ายๆ
กับเรานึกถึงสิ่งที่เราชอบ ที่เราคุ้นเคย นึกง่ายๆ สบายๆ พร้อม
กับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
       โดยให้เสียงของคำภาวนาเป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน ดังออก
มาจากในกลางท้องของเรา คล้ายๆ เป็นเสียงที่ออกมาจาก
แหล่งแห่งความสุข แหล่งแห่งความบริสุทธิ์ แหล่งแห่งอานุภาพ
อันไม่มีประมาณ เพื่อขจัดความไม่บริสุทธิ์ที่เป็นมลทินของใจ
เราให้ใสสว่างและก็เยือกเย็น เราภาวนาว่า สัมมา อะระหัง
       จะภาวนากี่ครั้งก็ได้ แต่ทุกครั้งที่ภาวนา สัมมา อะระหัง
เราก็จะต้องไม่ลืมตรึกนึกถึงดวงใส เอาใจหยุดอยู่ในกลางดวง
ใสๆ ของบริกรรมนิมิตนั้น จนกว่าใจจะหยุดนิ่งจนทิ้งคำภาวนา
ไปเอง หรือเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากจะภาวนาอีกต่อไป อยาก
หยุดใจนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ ที่กลางดวงใสๆ อย่างเดียว
       ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องภาวนา สัมมา อะระหัง
อีก แต่ว่าเมื่อใดใจเริ่มหลุดคิดฟุ้งไปเรื่องอื่น เราจึงย้อนกลับมา
ภาวนาใหม่ ประคับประคองใจกันไปอย่างนี้จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง

มหัศจรรย์สมาธิ

       วัตถุประสงค์ที่เราต้องเจริญสมาธิภาวนา ก็เพื่อต้องการ
กลั่นกายวาจาใจของเราให้ใสบริสุทธิ์ให้หยุดนิ่ง ไม่ให้วิ่งไปตาม
ความทะยานอยากแบบโลกๆ อย่างที่ผ่านๆ มา
       ใจจะบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ ที่นอกเหนือจากความรู้สึกว่า
บริสุทธิ์ จะต้องเห็นความบริสุทธิ์เป็นดวงใสๆ จะเกิดขึ้นได้มี
เพียงประการเดียว คือ ต้องเจริญสมาธิภาวนาจนใจหยุดนิ่ง เรา
เจริญสมาธิภาวนาอย่างน้อยก็เพื่ออย่างนี้
       ในลำดับถัดไป ความบริสุทธิ์นี้จะทำให้เราเข้าถึงความสุข
ที่แท้จริงภายใน ซึ่งเป็นความสุขที่แตกต่างจากที่เราเคยเจอ เป็น
ความสุขที่เราไม่อาจจะบรรยายได้ว่ามันเหมือนกับอะไร เพราะ
เป็นความสุขที่จะหาภาษาใดๆ ในโลก แม้เอามารวมกันหลาย
พันหลายหมื่นภาษาก็ไม่อาจจะบรรยายได้
       ความสุขและความบริสุทธิ์นี้เป็นสุดยอดแห่งความปรารถนา
ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่เฉพาะมนุษย์เท่านั้นที่อยากเจอ
ความสุขอย่างนี้ โดยเฉพาะมนุษย์เกิดมานี่สิ่งที่ปรารถนาก็คือ
ความสุข
       พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า

       สุขะกามานิ ภูตานิ สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
สิ่งที่เป็นยอดปรารถนา คือความสุข

       ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เราแสวงหาความสุขไปตามรสนิยม
ไปตามความเข้าใจของเรา หรือเห็นคนอื่นเขาทำอย่างไร เราก็
ทำอย่างนั้น เพราะเข้าใจว่าสิ่งนี้คือความสุข
       เช่น ถ้าคิดว่าความสุขอยู่ที่คน ก็จะไปหาคน ความสุข
อยู่ที่สิ่งของ ก็จะไปหาสิ่งของ ความสุขอยู่ที่สัตว์ ก็ไปหาสัตว์
ความสุขอยู่ที่ธรรมชาติ ก็จะไปหาธรรมชาติ ถ้าเข้าใจว่า
ความสุขอยู่ที่น้ำเมา ก็จะไปหาน้ำเมา ถ้าเข้าใจว่าความสุขอยู่
ที่สิ่งเสพติด ก็จะไปหาสิ่งนั้น คิดว่าอยู่ที่การพนันก็จะไปหาที่
การพนัน ก็วิ่งไปตามความเข้าใจ ตามรสนิยม แต่ไปแล้วก็ไม่เคย
เจอเลย เจอแต่ความเพลินๆ กับเพลีย ไม่ได้เกิดประโยชน์อันใด
       แต่เมื่อใดที่เราเจริญสมาธิภาวนา กระทั่งใจหยุดนิ่งจน
เห็นความบริสุทธิ์ปรากฏเกิดขึ้น เราจึงจะรู้จักความสุข เพราะ
ฉะนั้น เจริญสมาธิภาวนาก็เพื่อให้เข้าถึงความสุขและความ
บริสุทธิ์
       นอกจากนั้น เรายังเข้าถึงความสว่างของชีวิต ซึ่งเป็นแสง
สว่างจริงๆ ไม่ใช่แค่เป็นการอุปมาของคำว่า “แสงสว่างส่องทาง
ชีวิต” เราจะเริ่มรู้จักชีวิตอีกหลายๆ ระดับที่ซับซ้อนอยู่ภายใน
ตัวของเรา จากการที่เราเจริญสมาธิภาวนาจนใจหยุดนิ่ง เมื่อ
แสงสว่างภายในบังเกิดขึ้น ซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่ศูนย์กลางกายฐาน
ที่ ๗ เป็นความสว่างภายในที่เนียนตาละมุนใจ ไม่แสบตา ไม่
จ้าตา ที่สว่างกว่าแสงสว่างภายนอก สว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์
ยามเที่ยงวัน สว่างกว่าดวงจันทร์ หรือดวงดาวบนท้องฟ้า สว่าง
กว่าแสงที่มนุษย์ประดิษฐ์
       ความสว่างที่มาพร้อมกับความสุขและความบริสุทธิ์ จะ
เปิดเผยความลับของชีวิต ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อนเลย เมื่อเรา
มองผ่านแสงสว่างนั้น เราจะพบชีวิตอีกหลายระดับอยู่ภายใน
       เช่น พบตัวของเราเองอยู่ในตัวของเราเอง ซึ่งเราไม่เคยคิด
มาก่อน ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย เห็นแต่ตัวเราเองอยู่ในกระจก
ที่เราส่องเงาหน้า หรือเห็นตอนที่เรานอนหลับแล้วฝันไปว่าตัว
ของเราออกไปทำหน้าที่ฝันไปเจอสิ่งนั้นสิ่งนี้ จริงบ้าง ไม่จริง
บ้าง จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง
       แต่พอเราเจริญสมาธิภาวนาใจหยุดนิ่ง แสงสว่างเกิดขึ้น
ภายในเจิดจ้า เมื่อใจหลุดพ้นจากความรู้สึกที่เป็นตัวตน ไม่มี
ร่างกายของเรา เราจะพบอีกชีวิตหนึ่งซึ่งเป็นตัวของเราเอง
หน้าตาเหมือนตัวเรา แต่อยู่ในอิริยาบถนั่งสมาธิ จึงเป็นสิ่ง
อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับเรา อย่างที่เราไม่รู้จักมาก่อนว่า ทำไมเรา
เห็นตัวเองได้ทั้งๆ ที่เราหลับตาเจริญสมาธิภาวนา เห็นตัว
เองที่สดใสกว่ากายข้างนอก เป็นความรู้ใหม่ที่เรารู้จัก ที่เรามี
ประสบการณ์ภายใน กายนี้เขาเรียกว่า “กายมนุษย์ละเอียด
หรือกายฝัน”
       เวลาตาย กายนี้จะหลุดออกไปจากกายมนุษย์หยาบผ่าน
ตามฐานต่างๆ จนกระทั่งออกไปจากฐานที่ ๗ ออกไปที่ปากช่อง
จมูก แต่เวลาเรายังมีชีวิตอยู่จะปรากฏให้เห็นตอนเราหลับแล้ว
ฝันไป นี่ก็เป็นผลจากการเจริญสมาธิภาวนาที่ทำให้เรามีความ
รู้เพิ่มขึ้น ความลับของชีวิตได้ถูกทำลายออกไปในระดับหนึ่ง
       เมื่อใจของเราหยุดนิ่งสนิทอยู่ในกลางของกายมนุษย์
ละเอียด จนกระทั่งเราเป็นกายมนุษย์ละเอียด มีความรู้สึกเป็น
กายมนุษย์ละเอียด เหมือนที่เรามีความรู้สึกเป็นกายมนุษย์
หยาบอย่างนั้นแหละ ความรู้ก็จะเกิดขึ้นอีกระดับหนึ่ง

       แต่เดิมเราเข้าใจว่า กายมนุษย์หยาบนี้เป็น
ตัวเรา เป็นของของเรา แต่เมื่อเรามาถึงกาย
มนุษย์ละเอียดภายใน เราได้ความรู้เพิ่มเติมว่า
กายภายนอกแค่เป็นประดุจบ้านเรือน เหมือน
เป็นเรือนของใจ เป็นเรือนให้กายมนุษย์ละเอียด
อาศัยชั่วคราว เมื่อหมดอายุขัยก็ต้องแตกสลาย
หายไป เพราะฉะนั้นความผูกพันในกายมนุษย์
หยาบ หรือสิ่งที่เนื่องด้วยกายมนุษย์หยาบก็จะ
ค่อยๆ บรรเทาลงไปเรื่อยๆ เพราะความเข้าใจ
ของเรามีเพิ่มขึ้น ความเข้าใจนี้นี่แหละเขาเรียก
ว่า “ปัญญา” แต่เป็นปัญญาที่สูงกว่าปกติ สูง
กว่ามนุษย์ทั่วไป

       เพราะฉะนั้น สมาธิเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา แต่ปัญญา
ในที่นี้เป็นปัญญาที่เกิดจากการเห็นแจ้ง เห็นว่าตัวเราอยู่ในตัว
ของเรา
       และถ้าหากเรานำใจของกายมนุษย์ละเอียดหยุดนิ่งต่อไป
อีกในกลางกาย ความลับของชีวิตก็ถูกทำลายไปเรื่อยๆ สิ่งที่
บดบังก็ถูกทำลายให้ล่มสลายไป ความสว่างก็เกิดขึ้น การเห็น
แจ้งก็เพิ่มขึ้น กว้างขึ้น ความรู้แจ้งก็กว้างขึ้นไปตามการเห็น เห็น
ถึงไหนก็รู้ถึงนั่น จนกระทั่งเข้าไปถึงกายที่สำคัญคือกายองค์พระ
มีองค์พระผุดผ่านเกิดขึ้นมาในกลางกาย
       สำหรับอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน ก็คงจะได้ยินประสบการณ์
ของเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เข้ามาอบรมในรุ่นนี้ ตามศูนย์
ตามไซด์ต่างๆ ที่เขามีประสบการณ์ภายในว่า เห็นองค์พระ
ผุดผ่านขึ้น หลายๆ ท่านก็เปิดเผยในประสบการณ์ที่เล่าสู่กัน
ฟังว่าไม่เคยคิดว่าจะมีสิ่งนี้มาก่อน อีกทั้งไม่เคยเชื่อและก็ไม่
เคยลงมือปฏิบัติ แต่บัดนี้ได้ทำลายความสงสัยนั้นไปแล้วด้วย
ตัวของตัวเองเมื่อใจหยุดนิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่ผ่านความไม่เชื่อ
มาก่อน แล้วก็ลงมือปฏิบัติโดยที่ไม่รู้อะไรเลย แค่หยุดนิ่งเฉยๆ
ไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ แค่ต้องการให้ใจสงบแล้วเกิด
ความสุขภายในเท่านั้น
       แต่แล้วก็เกิดปรากฏการณ์ที่บุญเก่าได้ช่อง ส่งผลทำให้ใจ
หยุดนิ่งเข้าถึงดวงธรรมภายใน และก็เห็นองค์พระภายในปรากฏ
เกิดขึ้นเป็นองค์พระแก้วที่ใสบริสุทธิ์ ใสเหมือนน้ำแข็งบ้าง ใส
เหมือนกระจกเงาบ้าง ใสเหมือนกับเพชรบ้าง และก็ใสเกินใส
เกินความใสใดๆ ในโลก ใสที่ทะลุได้และก็มีแสงสว่างที่เนียนตา
ละมุนใจ
       อีกทั้งรูปกายขององค์พระก็แตกต่างจากพระพุทธรูปที่
เคยเห็น เคยเจอ มีเกตุดอกบัวตูมตั้งอยู่บนจอมกระหม่อม ซึ่ง
มีเส้นพระศกหรือเส้นผมขดเวียนเป็นทักษิณาวรรต หมุนขวาตาม
เข็มนาฬิกาเรียงรายอย่างสวยงามบนพระเศียรท่าน ที่ตั้งอยู่บน
พระวรกายที่งดงามแตกต่างจากพระพุทธรูปภายนอกที่เคยเห็น
เคยกราบไหว้บูชา
       ตรงนี้แหละ เราจะเริ่มเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า ทำไมปู่ย่าตายาย
หรือบรรพบุรุษของเราที่เป็นชาวพุทธต้องสร้างพุทธปฏิมากร
หรือพระพุทธรูปเอาไว้เป็นที่เคารพกราบไหว้บูชา เป็นเครื่อง
ระลึกนึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเข้าใจนี้จะเพิ่มขึ้นว่า
ที่เขาสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาก็เพราะเขาถอดแบบออกมาจาก
ภายในนี่แหละ แต่ก็มีข้อสงสัยว่า พระพุทธรูปที่เขาสร้างกัน
ภายนอกกับภายในนี้มันแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ต่างตรงที่
ความสวยงาม ความใส ความสว่าง และก็ความรู้แจ้งที่เกิดจาก
การเห็นแจ้ง ทั้งนี้ก็เป็นเพราะช่างยังเข้าไม่ถึง แต่ก็สืบทอดความ
คิด สืบสานกันมาเป็นวัฒนธรรมของการสร้างพุทธปฏิมากร
เพื่อระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี
       แล้วก็จะเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า เขาสร้างขึ้นเพื่อให้รู้ว่าในตัวของ
เรานี้มีพระธรรมกายซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเรา สิ่งอื่น
ไม่ใช่สรณะ เมื่อเข้าถึงแล้วอบอุ่น ปลอดภัย มีความสุข สุขกาย
สบายใจในทุกหนทุกแห่ง แม้อยู่ตามลำพังแม้สังขารจะเจ็บ จะ
ป่วย แม้จะอยู่ในที่คับขันเกิดวิกฤติของชีวิตก็ไม่หวั่นไหว ใจจะ
อยู่เหนือความรู้สึกสะดุ้งพรั่นพรึงหวาดหวั่น หรือหวาดกลัวแบบ
มนุษย์ทั่วๆ ไป
       แล้วก็จะเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น ที่
พระองค์เคยตรัสกับพระวักกลิในทำนองว่า “วักกลิเธอจะมัวมา
ดูร่างกายของพระตถาคตที่เปื่อยเน่านี้ทำไม แม้ประกอบไปด้วย
ลักษณะมหาบุรุษงามยิ่งกว่าเทวดา พรหมหรืออรูปพรหม แต่
ก็มีการเปื่อยเน่าเป็นธรรมดา เหมือนสังขารร่างกายของมนุษย์
ทั่วๆ ไป” ท่านบอกอย่ามองตรงนี้ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็น
พระตถาคตตัวจริง” เพราะพระตถาคตคือธรรมกาย ธรรมกาย
คือพระตถาคตเจ้า ท่านกล่าวให้พระวักกลิผู้ที่ติดใจหลงใหลใน
รูปกายหยาบลักษณะมหาบุรุษของพระองค์ได้ทราบ
       ก็แปลว่า พระองค์ตรัสในสิ่งที่ลึกซึ้งถึงความเป็นพระพุทธเจ้า
จริงๆ นั้น คือพระธรรมกายในตัวของพระองค์เอง ไม่ใช่กาย
หยาบภายนอก เพราะกายหยาบภายนอกพระองค์ได้มาตั้งแต่
ประสูติ ประสูติมาก็ได้ลักษณะมหาบุรุษแล้ว ในระดับอสิตดาบส
ฤๅษีที่เขาเคารพนับถือกันทั้งแผ่นดินของกรุงกบิลพัสดุ์ สามารถ
เหาะเหินเดินอากาศได้ ยังมากราบไหว้ตอนที่ท่านยังเป็นทารก
อยู่ ก็แปลว่าลักษณะภายนอกไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่ความเป็น
พระพุทธเจ้าอยู่ภายใน คือ พระธรรมกาย
       และเนื่องจากพระองค์ได้เข้าถึงพระธรรมกายในตัวแล้ว
ก็ไม่เก็บความรู้ไว้เฉพาะพระองค์ท่าน ได้ถ่ายทอดให้กับ
ผู้มีบุญทั้งหลายทั้งมนุษย์และเทวดาได้ทำตามและก็ได้บรรลุ
ตามพระองค์ ด้วยพระมหากรุณานี้มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
จึงเคารพกราบไหว้บูชาทั้งกายหยาบและกายธรรมของท่านใน
ฐานะเป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระบรมครูที่
ถ่ายทอดความรู้อันบริสุทธิ์นี้ให้กับทุกๆ คน โดยไม่จำกัดเชื้อ
ชาติ ศาสนาและเผ่าพันธุ์ เพราะในสมัยพุทธกาลก็มีความเชื่อ
ที่หลากหลายเช่นเดียวกับในยุคนี้นี่แหละ ใครมีบุญได้ยินได้ฟัง
ท่านได้ปฏิบัติตามคำสอนท่าน ก็จะบรรลุธรรมเช่นเดียวกับท่าน
เพราะฉะนั้นก็มีพยานในการตรัสรู้ธรรมเกิดขึ้นมากมาย
       ลูกๆ ทุกคนเป็นผู้มีบุญที่ให้โอกาสตัวเองปฏิบัติธรรม
เจริญสมาธิภาวนาเพื่อเข้าถึงพระธรรมกาย นี่คือช่วงจังหวะชีวิต
ที่ดีที่สุด แม้เวลาจะเหลืออยู่อีกเพียง ๑ วัน ๑ คืนเท่านั้นก็ตาม
จะต้องประกอบความเพียรให้กลั่นกล้า เพราะว่าบุญเก่าของเรา
มีมากเพียงพอแล้ว เหลือแต่การประกอบความเพียรและทำให้
ถูกหลักวิชชาเท่านั้น คือง่ายๆ สบายๆ และก็ใจเย็นๆ หยุด
ใจนิ่งอย่างเดียวก็จะบรรลุวัตถุประสงค์เข้าถึงพระธรรมกายใน
ตัวได้
       เพราะฉะนั้น เวลาที่เหลืออยู่นี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดด้วยการ
เจริญสมาธิภาวนา ให้กายวาจาใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ที่สุด
ด้วยการหยุดนิ่งอย่างเบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ ประคับประคอง
ใจไปเรื่อยๆ ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ ว่า สัมมา อะระหัง
ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ
       ส่วนผู้ที่ได้ดวงใสๆ แล้ว และเข้าถึงองค์พระภายในแล้ว ก็
หยุดใจต่อไปอีก หยุดอยู่ในกลางดวงใส ในกลางองค์พระใส หรือ
หยุดในกลางกายตัวเองที่เราเห็นอยู่นั้น อย่างเบาๆ สบายๆ
เรื่อยๆ ไปทำซ้ำๆ ทำให้ชำนาญ ให้ติดเป็นจริตอุปนิสัย ให้
ชำนาญทั้งหลับตาก็เห็น ลืมตาก็ต้องให้เห็น นั่ง นอน ยืน เดิน
ก็ต้องให้เห็นชัดใสแจ่มกระจ่าง นั่นแหละจะเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ที่แท้จริงของลูกทุกๆ คน
         แล้วก็จะได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้วิชชาของพระสัมมาสัมพุทธ
เจ้าเพิ่มขึ้นได้ ถ้าลูกปรารถนา เขาเรียกว่า “วิชชาธรรมกาย”
ตั้งแต่วิชชา ๓ วิชชา ๘ ประการ อะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นต้น
จะศึกษาได้ต่อเมื่อเข้าถึงพระธรรมกายในตัว เพราะว่าเป็นวิชชา
ของพระธรรมกายที่จะต้องศึกษาด้วยพระธรรมกาย สั่งสอนด้วย
พระธรรมกาย เรียนได้เฉพาะพระธรรมกายในตัวเท่านั้น กาย
อื่นเรียนไม่ได้
       ถ้าเราเข้าถึงท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับท่าน นั่นแหละ
เวลาที่จะศึกษาเรียนรู้วิชชาธรรมกายได้บังเกิดขึ้นแล้ว ภพชาติ
ทั้งหลายจะอยู่ในสายตาของเรา เหมือนเราลืมตาของกายมนุษย์
หยาบเห็นต้นหมากรากไม้ ภูเขาเลากา ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ดวงดาว อย่างนั้นแหละ มันจะอยู่ในสายตา แต่เป็นสายตาของ
พระธรรมกาย เขาเรียกว่า “ธรรมจักษุ” คือ ดวงตาธรรมของ
พระธรรมกายที่มีความเห็นแจ้งที่แตกต่างจากการเห็นทั่วๆ ไป
แตกต่างจากการเห็นด้วยตามนุษย์ แตกต่างจากการเห็นด้วยตา
ของเทวดา แตกต่างจากการเห็นด้วยตาของกายรูปพรหม หรือ
แตกต่างจากการเห็นของอรูปพรหมทั้งหลาย
       เห็นแตกต่างอย่างนี้ภาษาธรรมะเรียกว่า “วิปัสสนา”
เป็นการเห็นที่วิเศษ แจ่มแจ้ง และแตกต่างจากการเห็นทั่วๆ ไป
เพราะเห็นด้วยพระธรรมกายนั้น จะเห็นไปทุกทิศทุกทาง ณ
จุดเดียวกัน ตำแหน่งเดียวกัน

       วันใดที่ลูกทุกคนได้เข้าถึงพระธรรมกาย
ได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย ได้ใช้ศูนย์กลางกาย
ร่วมกัน ตำแหน่งเดียวกัน ความรู้ ความเข้าใจ
การเห็นแจ้ง ก็จะเห็นเหมือนกัน รู้แจ้งเหมือนกัน
เมื่อเห็นแจ้งเหมือนกัน รู้แจ้งเหมือนกัน ก็จะคิด
เหมือนกัน พูดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน เมื่อคิด
เหมือนกัน พูดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน สิ่งดีๆ
ก็จะบังเกิดขึ้นกับโลกใบนี้อย่างอัศจรรย์

       เช้านี้อากาศกำลังสดชื่นแจ่มใสเย็นสบาย ให้ลูกทุกคน
ผู้มีบุญประกอบความเพียรให้ถูกหลักวิชชาเรื่อยไป ขอให้
ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกคน
ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓

โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก ๒ บทที่ ๗  www.dhamma01.com

1 thought on “วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก มหัศจรรย์สมาธิ”

  1. น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับโอวาท
    คำสอนและธรรมทานทรงคุณค่า
    จากหลวงพ่อธัมมชโย#คุณครูไม่ใหญ่
    ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุครับ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *