วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก วัตถุประสงค์ของการปฏิบัติธรรม

ง่ายแต่ลึก เล่ม ๓ บทที่ ๑ : วัตถุประสงค์ของการปฏิบัติธรรม

ปรับร่างกายและท่านั่ง

        เมื่อเราสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกัน
ทุกๆ คนนะ
       ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือ
ซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้
บนหน้าตักพอสบายๆ หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก คล้ายๆ กับ
ตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
หลับตาให้สบายๆ
        แล้วก็ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย เปลือกตา
หน้าผาก ศีรษะ คอ ลำตัว แขนขาทั้งสองให้ผ่อนคลาย ทำตัว
ของเราให้สบายๆ ทำใจให้เบิกบาน แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์
ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้
ปลดปล่อยวาง ตัดใจจากทุกสิ่ง ทำใจให้ว่างๆ ทำเหมือนเรา

        ไม่เคยมีภารกิจเครื่องกังวลมาก่อนเลย หรือคล้ายกับเราอยู่
คนเดียวในโลกนี้
        ให้ปลด ปล่อย วาง ทำใจให้ว่างๆ แล้วก็สมมติว่า ภายใน
ร่างกายของเราปราศจากอวัยวะ ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ
เป็นต้น ให้เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง
กลวงภายใน คล้ายๆ ท่อแก้วท่อเพชรใสๆ สมมติให้เป็นปล่อง
เป็นช่อง เป็นโพรง เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ กลวงภายใน คล้ายๆ
ลูกโป่งที่เราเป่าลมเข้าไป กลวงภายในนะ

น้อมใจสู่ภายใน

        คราวนี้เราก็น้อมใจของเราให้มาหยุดนิ่งๆ ที่ศูนย์กลาง
กายฐานที่ ๗ ใจที่คิดแวบไปแวบมาไปในเรื่องราวต่างๆ นั้น
รวมมาหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลาง
ท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือ
จำง่ายๆ ว่า อยู่ในกลางท้องของเรา ในบริเวณแถวๆ นั้น

        ทำความรู้จักฐานที่ ๗ เอาไว้ แต่ไม่ต้องกังวล
เกินไป ให้รู้ว่าอยู่บริเวณตรงนี้ ตรงกลางท้องใน
ระดับเหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ

        ให้ทำความรู้สึกว่า ภายในกลางท้องของเรามีดวงแก้ว
ใสๆ บริสุทธิ์ คล้ายกับเพชรที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย
ใสบริสุทธิ์กลมรอบตัว ขนาดก็แล้วแต่ใจเราชอบ หรือจะนึก
เป็นองค์พระใสๆ ก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง

นึกอย่างสบายๆ ไม่เค้นภาพ

        ให้นึกอย่างสบายๆ คล้ายๆ กับเรานึกถึงดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ ดวงดาว ในอากาศกลางท้องฟ้าในยามราตรี ให้
นึกสบายๆ ธรรมดาๆ นะ สิ่งใดที่เราคุ้นเคยมาก เราก็จะนึก
ได้ง่าย ถ้าคุ้นเคยน้อยก็นึกได้น้อย ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา
แต่ให้นึกอย่างสบายๆ ให้นึกง่ายๆ อย่างนั้น ทำความรู้สึกว่า
มีอยู่ ชัดเจนแค่ไหนหรือนึกได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นไปก่อน
ให้นึกในระดับที่รู้สึกสบาย อย่าไปเค้นภาพ ไปเพ่ง ไป
จ้อง ไปควานหาดวงแก้ว องค์พระในที่มืด อย่าไปทำอย่างนั้น
นึกได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นไปก่อน เพราะวัตถุประสงค์ของเรา
ต้องการดึงใจให้กลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิมที่กลางกายตรงนี้
เพราะปกติเราปล่อยใจให้กระเจิดกระเจิงไปในเรื่องราว
ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เรื่องทำมาหากินบ้าง การครองเรือน
บ้าง การศึกษาเล่าเรียน การแก้ปัญหาต่างๆ เป็นต้น เพราะ
ฉะนั้นเราก็ดึงใจมาอยู่ภายใน โดยไม่คิดถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว
และไม่คำนึงถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงในอนาคต ให้ใจนิ่งๆ เบาๆ
สบายๆ

ประคองใจด้วยคำภาวนา

        พร้อมกับประคองใจด้วยคำภาวนา สัมมา อะระหัง
ภาวนากี่ครั้งก็ได้จนกว่าใจไม่อยากภาวนาต่อไป อยากจะหยุด
นิ่งเฉยๆ อยู่ภายใน ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องย้อน
กลับมาภาวนาใหม่ ให้รักษาใจให้หยุดนิ่งๆ อยู่ที่กลางกาย

        ฐานที่ ๗ อย่างนั้นไปเรื่อยๆ แม้จะยังนึกภาพไม่ออก หรือยัง
ไม่มีภาพปรากฏเกิดขึ้นก็ตาม ให้นิ่ง นุ่ม ละมุนละไม สบายๆ
นิ่งอย่างนั้นอย่างเดียว โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น
ไม่ต้องคิดว่า ทำไมไม่มีอะไรใหม่ๆ มาให้เราดู หรือมี
ปรากฏการณ์อะไรที่เกิดขึ้น เพราะเราต้องการให้ใจหยุดนิ่ง
อย่างเดียวเท่านั้น เพราะ หยุดเป็นตัวสำเร็จ ใจจะตั้งมั่น
นิ่งอยู่ภายใน สำเร็จก็คือจะทำให้เราได้เข้าถึงสิ่งที่มีอยู่แล้ว
ในตัวของเรา ตั้งแต่ดวงธรรมภายใน กายในกายต่างๆ กาย
มนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม กระทั่งกายธรรมซึ่งเป็นตัว
พุทธรัตนะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกของเรา นี่คือวัตถุประสงค์ของ
การฝึกใจให้หยุดนิ่ง

วัตถุประสงค์ของการปฏิบัติธรรม ๓ ระดับ

        ใจที่หยุดนิ่งนี่แหละ จะทำให้เราเข้าถึงความสุขอันยิ่ง
ใหญ่ที่ไม่มีประมาณ ความทุกข์ทั้งหลาย ความตึงเครียด หรือ
ปัญหาจะหมดไปเมื่อใจหยุดนิ่งตั้งมั่นอยู่ภายใน เมื่อใจมีความ
สุข สดชื่น มันก็จะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน เคลื่อนไปด้วยตัว
ของมันเอง แล้วก็จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว

        พระรัตนตรัยในตัว คือ พระธรรมกาย นั่น
แหละ คือ ตัวพุทธรัตนะ
        ในกลางธรรมกาย ก็มี ธรรมรัตนะ เป็น
ดวงใสๆ
        ในกลางธรรมรัตนะ ก็จะมี สังฆรัตนะ เป็น
พระธรรมกายละเอียด

        ๓ อย่างนี้ คือที่พึ่งที่ระลึกของเรา เข้าถึงแล้วจะอบอุ่นใจ
จะมีความรู้สึกปลอดภัย มั่นใจ แล้วก็จะดำเนินชีวิตอยู่ในโลก
นี้ได้อย่างมีความผาสุก มีความสุข สดชื่น พร้อมที่จะเผชิญ
ปัญหา แรงกดดัน ความตึงเครียดต่างๆ ด้วยใจที่สงบตั้งมั่น
สะอาด สว่าง ไม่หวั่นไหว เบิกบาน นี่คือวัตถุประสงค์เบื้องต้น
ของการปฏิบัติธรรม
        ในท่ามกลาง เราจะได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องราวความเป็นจริง
ของชีวิต ตามคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
และเบื้องปลาย คือ ขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป สลัด
ตนพ้นจากกองทุกข์ไปสู่อายตนนิพพาน
เพราะฉะนั้น นี่เป็นกรณียกิจนะลูกนะ คืองานที่แท้
จริงของชีวิตเรา ในทุกภพทุกชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็น
        วัตถุประสงค์หลัก นอกนั้นเป็นเรื่องรองลงมา แต่วัตถุประสงค์
หลักเพื่อการนี้
        พรรษานี้เป็นพรรษาแห่งการบรรลุธรรม พระเห็นพระ
เณรเห็นพระ แล้วก็โยมเห็นพระ เราอย่าให้พรรษานี้ผ่านไป
โดยเปล่าประโยชน์เลย ฤดูกาลนี้เหมาะต่อการประพฤติปฏิบัติ
ธรรม เพราะว่ามันไม่หนาวเกินไป แล้วก็ไม่ร้อนไม่อ้าวเกินไป
อากาศกำลังพอดี สดชื่น เหมาะสมที่ลูกทุกคนจะตั้งใจฝึกใจ
ให้หยุดนิ่ง เพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว

        ดังนั้น เช้านี้ให้ลูกทุกคนประคับประคองใจกันไปเรื่อยๆ
ประคองใจให้หยุดให้นิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรึกระลึก
นึกถึงดวงใส หรือพระแก้วใสๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างสบายๆ
พร้อมกับบริกรรมภาวนาประคองใจเบาๆ ให้สม่ำเสมอ อย่า
ให้ช้า ให้เร็วนัก ภาวนาเรื่อยไปเลย สัมมา อะระหัง ประคอง
ใจกันไป ปรับใจไปให้อยู่ในระดับที่ไม่ตึงไม่หย่อนนะ

เป็นมิตรกับทุกประสบการณ์

        อย่าทุกข์ใจในกรณีที่ใจมันฟุ้งบ้าง หรือความมืดที่ไม่
ปรากฏแสงสว่าง หรือไม่เห็นภาพใดๆ ให้เป็นมิตรกับทุกๆ
ประสบการณ์ที่เกิดขึ้น วัตถุประสงค์หลักต้องการฝึกใจให้
หยุดให้นิ่ง เพราะฉะนั้นอย่าไปคำนึงถึงความมืดหรือความ
สว่าง แม้จะมืดก็ช่างมัน สว่างก็ไม่ลิงโลดใจ มืดก็ไม่ทุกข์ใจ
ทำใจให้เป็นกลางๆ
        อย่ายินดียินร้ายในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะมืดหรือสว่าง
จะมีภาพหรือไม่มีภาพภายใน ให้หยุดนิ่งอย่างเดียว เพราะ
หยุดเป็นตัวสำเร็จ เรากำลังจะฝึกใจให้หยุดนิ่ง สิ่งที่เกิดขึ้น
คือผลพลอยได้ เช่น ความโล่ง โปร่ง เบา สบาย แสงสว่าง
ภายใน ดวงธรรม กายในกายภายในต่างๆ เหล่านั้น เป็นผล
พวงที่เกิดจากการที่เราฝึกใจหยุดนิ่ง
        ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ยังหยุดนิ่งเรื่อยไป ให้ทำอย่างนี้
แค่นี้เท่านั้น อย่าไปทำอย่างอื่นที่นอกเหนือจากนี้ อย่าลืม
หยุดเป็นตัวสำเร็จ ประคองใจไป อย่าเพ่ง ให้ผ่อนคลาย ปรับใจ
ให้ใสๆ ให้มีสติกับสบาย สม่ำเสมอ อย่างนี้เรื่อยไป

        เมื่อเราเลิกนั่งสมาธิแล้วก็หมั่นสังเกตว่า เราประคองใจ
ขนาดไหนจึงพอดี ไม่ตึงไม่หย่อนไป แล้วก็ปรับกันไปเรื่อยๆ
ฝึกกันไป และอย่าเดือดร้อนใจในกรณีที่เพื่อนพี่น้องวงธรรมะ
ของเราเขามีประสบการณ์ภายในที่ดีกว่า เราก็อย่าเป็นทุกข์ใจ
แล้วถ้าเราดีกว่าก็อย่าลิงโลดใจ ให้รักษาใจเป็นกลางๆ อย่าให้
เสียสมดุลของใจนะ
        เช้านี้ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจ ในการเข้าถึงพระรัตนตรัย
ในตัวทุกๆ คน ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก ๓ บทที่ ๑ :  www.dhamma01.com

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *