วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก สิ่งดีๆ เริ่มต้นที่ใจหยุด

ง่ายแต่ลึก ๓ บทที่ ๕ : สิ่งดี ๆ เริ่มต้นที่ใจหยุด

เย็นเอ๋ยเย็นจิตแล้ว คนดี
เพิ่มสุขทุกนาที แซ่บไซร้
รสใดอื่น บ่ มี เทียบได้ เลยนอ
เอมโอษฐ์กว่าลูกได้ โคตรเพชรภูสรวง
ตะวันธรรม

ปรับกายให้ผ่อนคลาย ปรับใจให้เบาสบาย

       ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ หลับตาเบาๆ พอ
สบายๆ ทำใจให้เบิกบาน แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส
ไร้กังวลในทุกสิ่ง แล้วก็ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี ผ่อนคลาย
กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายให้หมด ตั้งแต่ใบหน้า ศีรษะ คอ
ทั้งเนื้อทั้งตัวของเราให้ผ่อนคลาย

       จะนั่งสมาธิให้ดีต้องผ่อนคลายร่างกายให้ดี
แล้วก็ปรับใจของเรา ต้องเบาๆ ทั้งกายและใจ
หลับตาก็ต้องเบา อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากด
ลูกนัยน์ตา เหมือนเรานอนหลับอย่างนั้นแหละ
ซึ่งช่วงนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ก่อนหน้านั้นอาจจะมีเรื่อง
ผ่านเข้ามาในใจ เมื่อเราปล่อยให้มันผ่านไปก็ถึงจุดที่ไม่ได้คิด
อะไร เปลือกตาของเราก็จะปิดพอสบายๆ ต้องทำให้ถูกหลัก
วิชชานะ ใจจะได้หยุดนิ่งได้เร็ว

วิธีแก้ฟุ้ง

        ต้องยอมรับว่าในแต่ละวัน ความคิดมากมายที่ผ่านเข้า
มาในใจ พอถึงเวลาเราเริ่มนั่งสมาธิ ใหม่ๆ มันก็คงจะมีความ
คิดเหล่านี้ผ่านเข้ามาในใจ มากบ้าง น้อยบ้าง ก็ให้ถือว่าเป็น
เรื่องปกติ ถ้าเราไม่สนใจมัน ความคิดเหล่านั้นก็จะผ่านไป
แล้วอย่าไปถือว่าความคิดที่ผ่านไปนั้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการ
งาน บ้านช่อง หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้เป็นอุปสรรค
ของการทำสมาธิ ถ้าเราคิดอย่างนี้แล้วเดี๋ยวเราจะต่อต้าน คือ
พยายามจะฝืนจะบังคับไม่ให้ใจของเราไปคิดในเรื่องราวต่างๆ
มากจนเกินไป จนทำให้เกิดอาการตึงเครียดทั้งกายและใจ

        ถ้าเราไปต่อต้านไปฝืนสิ่งนั้น หรือพยายามรวมใจให้
เป็นสมาธิ ถ้าทำอย่างนี้จะได้ผลไม่เต็มที่ มันได้สำหรับบาง
คน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะฉะนั้น
เรายอมรับธรรมชาติตรงนี้ แล้วเราก็เฉยๆ กับมัน ไม่ว่าสิ่งที่
ผ่านเข้ามาในใจนั้นจะเป็นเรื่องดี เรื่องไม่ดี หรือเรื่องกลางๆ
ไม่ดีไม่ชั่ว เราเฉยๆ เดี๋ยวมันจะค่อยๆ หมดไปเอง มันจะอยู่
กับเราได้ไม่นานหรอก

       ถ้าเรารู้สึกว่า มันผ่านเข้ามามากเหลือเกิน ก็ให้เผยอ
เปลือกตาขึ้นสักนิด เพราะมันจะฟุ้งตอนเราปิดเปลือกตา
เผยอสักนิดหนึ่งความฟุ้งก็จะเบาบางลงไป แล้วเราก็ค่อยๆ
เริ่มต้นใหม่อย่างง่ายๆ ทำอย่างนี้ทุกวันเลย ให้สม่ำเสมอ จาก
ฟุ้งมากก็จะมาฟุ้งน้อย จากฟุ้งน้อยก็จะไม่ค่อยฟุ้ง และมันก็
จะหยุดนิ่งเองอย่างสบายๆ ง่ายๆ ถ้าเราทำถูกหลักวิชชา

ภารกิจกับจิตใจไปด้วยกัน

        ในชีวิตประจำวัน เมื่อเราลืมตาทำภารกิจอะไรก็ตาม ให้
ทำความรู้สึกว่าใจอยู่ตรงกลางท้อง เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
ให้ใจคุ้นๆ กับภาพดวงแก้วใสๆ เพชรใสๆ ดวงอาทิตย์ ดวง
จันทร์ ดวงดาว องค์พระ หรือภาพมหาปูชนียาจารย์ อย่างใด
อย่างหนึ่ง เราก็นึกธรรมดาๆ นึกไปเรื่อยๆ โดยไม่คาดหวังว่า
จะชัดหรือไม่ชัด เพราะวัตถุประสงค์ของเราต้องการให้ใจคุ้น
เคยกับศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จะช่วยได้มากทีเดียว เวลาเรา
มานั่งหลับตามันจะได้ง่าย

         ทีนี้พอเราลืมตาทำภารกิจอะไรก็แล้วแต่ อาบน้ำ ล้าง
หน้า แปรงฟัน รับประทานอาหาร ปัดกวาดบ้าน ถูบ้าน ไป
ทำงาน เรียนหนังสือ จะทำอะไรก็แล้วแต่ก็ฝึกไป ลืมตาก็ฝึก
นึกไปเรื่อยๆ ให้ใจคุ้นกับศูนย์กลางกาย ถ้าทำอย่างนี้ได้ทั้ง
วัน จะมีอานิสงส์ส่งให้ตอนที่เรามานั่งสมาธิ แค่เราหลับตา
เบาๆ ใจเราก็จะมาอยู่ภายในแล้ว เพราะเราตรึกบ่อยๆ
นึกบ่อยๆ ชัดไม่ชัดก็ไม่เป็นไร มันก็จะคุ้น พอหลับตาทำ
สมาธิภาวนา ใจมันก็จะนิ่งง่าย ใจนิ่งๆ นุ่มๆ ละมุนละไม

ฝึกหยุดนิ่งให้เป็นเสียก่อน

       อย่าไปคาดหวังว่า เราจะต้องเห็นโน่น เห็นนี่ เห็นอะไร
อย่างที่เราเคยได้ฟังในเบื้องต้น แค่ว่าใจคุ้นกับศูนย์กลางกาย
ฐานที่ ๗ แล้วก็ทำหยุดทำนิ่งให้เป็นเสียก่อน ให้ได้ปีติสุขที่เกิด
จากสมาธิ ให้ได้ตรงนี้เสียก่อน สิ่งที่เราจะเห็นภายในมันก็เป็น
ขึ้นมาเอง เพราะว่ามันมีอยู่แล้วในตัว เราไม่ต้องไปแสวงหา
หรือไปควานหาอะไร เป็นแต่เพียงสิ่งนั้นเป็นของละเอียด ใจ
เราต้องละเอียดเท่ากับสิ่งนั้น จึงจะเห็นกันได้ เพราะฉะนั้น
เบื้องต้นเราฝึกให้ใจหยุดใจนิ่งอย่างเดียวก่อน อย่าเพิ่งไป
คาดหวังอะไร

เมื่อหยุดนิ่งแล้ว…ประสบการณ์ภายในจะมาเอง

       ใจหยุดใจนิ่งนี่แหละจะทำให้ใจละเอียด พอใจละเอียด
เดี๋ยวมันก็เคลื่อนเข้าไปข้างในเอง ยิ่งหยุด ยิ่งนิ่ง ยิ่งดิ่งไม่
หยุดยั้งเลย มันจะเคลื่อนเข้าไป แล้วเราก็จะได้สัมผัสกระแส
ธารแห่งความปีติสุขที่เกิดขึ้น

       กายสงบ ใจสงบ กายเบา ใจเบา ที่เรียกว่า ปัสสัทธิ ตัวโล่ง
โปร่ง เบาสบาย ถ้าเรารักษาตรงนี้ให้ต่อเนื่อง ความสุขก็
จะมา เป็นความสุขที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ถ้ากระแสธาร
แห่งความสุขอย่างนี้มา เมื่อกายใจเราสงบระงับ นิ่ง เราจะ
เกิดความพึงพอใจ ชอบใจกับอารมณ์นี้มากกว่าสิ่งที่เราเคย
เจอในชีวิตประจำวัน คือ กายเบา ใจเบา ขยาย แล้วมัน
จะมีกระแสแห่งความสุขเกิดขึ้น ชนิดที่เราพูดไม่ออกบอก
ไม่ถูกเหมือนกันว่า เราจะไปอุปมาเปรียบเทียบกับอะไร
เพราะภาษาในเมืองมนุษย์มีข้อจำกัดในการอธิบายความรู้สึก
ชนิดนี้ ที่ทำให้เราเกิดความพึงพอใจ ชวนติดตามต่อไปอีก
อย่างไม่เบื่อหน่าย ยังกระตือรือร้นด้วยความสมัครใจเกิดขึ้น
นั่งในเบื้องต้นเอาให้ได้ตรงนี้กันเสียก่อน

       ความสุขที่เกิดจากสมาธินี่แหละจะเป็นแรงจูงใจให้เรา
อยากนั่งต่อไป เหมือนเป็นรางวัลเบื้องต้นสำหรับผู้ทำความ
เพียร เราจะไม่อิ่มไม่เบื่อในการนั่งสมาธิ หรืออยากทำสมาธิ
ในอิริยาบถอื่น มันจะเกิดขึ้นมาเอง นั่นแหละรางวัลสำหรับ
ผู้มีความเพียร จนกระทั่งเกิดฉันทะขึ้นมา อยากอยู่กับอารมณ์
นี้นานๆ โดยความสมัครใจ อยากหยุด อยากนิ่ง มีเวลาว่าง
๕ นาที ๑๐ นาที ก็อยากจะอยู่กับตนเองตรงกลางกาย อยู่
กับอารมณ์ชนิดนี้ ที่หาไม่ได้จากคน สัตว์ สิ่งของ ธรรมชาติ
หรือที่ใดๆ เลย ยังอยากจะอยู่กับตรงนี้นานๆ อย่างนั้นถูก
หลักวิชชาแล้ว ใจก็จะนิ่งๆ นุ่มๆ ไปเรื่อยๆ

       จนกระทั่งนิ่งแน่นในระดับที่ความคิดอื่นไม่สามารถดึงใจ
หลุดจากอารมณ์นี้ได้ จะนิ่งๆ มีอารมณ์เดียว อารมณ์เป็นสุข
เป็นกลางๆ บริสุทธิ์จากมลทินของใจ จากความโลภ ความ
โกรธ ความหลงในระดับหนึ่ง จากความหงุดหงิด งุ่นง่าน
ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ จากการตรึกในเรื่องกาม เรื่องเพศ เรื่องรูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ
หรือความโกรธ ความพยาบาท ขัดเคืองใจ น้อยใจ โศกเศร้า
เสียใจ คับแค้นใจ ร่ำพิไรรำพัน อะไรต่างๆ มันหายไป

       ใจจะสบาย จะบริสุทธิ์ จนกระทั่งเรามีความรู้สึกเหมือน
กายวาจาใจเราบริสุทธิ์ สะอาด เกลี้ยงเกลา จากสิ่งที่เราเคยทำ
ผิดพลาดในชีวิตที่ผ่านมา คล้ายๆ บาปได้ถูกขจัดล้างออกไป
ด้วยกระแสธารแห่งบุญ มันจะมีความรู้สึกขึ้นมาเองว่า เหมือน
เราหลุดจากข้อผิดพลาดที่ทำให้เกิดวิบากกรรม ใจเราก็จะ
ปีติภาคภูมิใจ เบิกบานว่า เราได้หลุดจากกระแสวิบากกรรม
ที่ทำผ่านมา มันจะเกิดขึ้นมาเองตอนนั้น

       แม้ความจริงนั้นอาจจะหลุดจากวิบากกรรมไปในระดับ
หนึ่ง ๕ เปอร์เซ็นต์ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ โดยความ
รู้สึกของเรา เราจะรู้สึกว่ามันสูงส่ง เหมือนบาปอกุศลกรรม
วิบากกรรมต่างๆ ได้ถูกถอดออกจากใจ มันจะยิ้มๆ อยู่ภาย
ในลึกๆ จนกระทั่งขยายมาสู่บนใบหน้า และกระแสที่ออกไป
รอบตัวไปในบรรยากาศ และเราจะเข้าใจคำที่บอกว่า ให้ทำ
ใจใสๆ ถ้าเราไปถึง ณ ตรงนี้ เราก็เข้าใจในระดับหนึ่ง แต่
อารมณ์ใสนั้นยังไม่เกิดขึ้น

คำว่า “อยู่ในบุญ”

       ถ้าถึงจุดที่หยุดนิ่งในระดับเห็นดวงใสขึ้นมา แม้จะเล็ก
ขนาดดวงดาวในอากาศก็ตาม เราจะรู้ว่า ‘อ๋อ รู้จักแล้วที่ว่า
ให้ทำ ใจใสๆ นั้นมันเป็นอย่างนี้’ เพราะใจที่ใสมันจะปราศจาก
นิวรณ์ ใจจะเกลี้ยง โปร่ง เบา สบาย บริสุทธิ์ ในระดับหนึ่ง
จนกระทั่งมีความมั่นใจว่า เราบริสุทธิ์หลุดพ้นจากวิบากกรรม
ความรักและปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายจะเกิดขึ้นเอง
ตรงนี้ เมื่อดวงใสปรากฏเป็นความบริสุทธิ์เบื้องต้น และเรา
จะเข้าใจคำว่า “อยู่ในบุญ” “ให้นึกถึงบุญ”

       ถ้ายังไม่ถึงดวงธรรมใสๆ นี้ เราก็เข้าใจในระดับหนึ่ง คือ
เราต้องใช้จินตามยปัญญา คือต้องคิดว่าวันนั้นเดือนนั้นปีนั้น
เราได้ทำบุญอย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้น ซึ่งก็ถูกในระดับหนึ่ง
ของความหมายของคำว่า อยู่ในบุญ แต่พอมาถึงดวงใสๆ
ภายในกลางกาย เราจะเข้าใจเพิ่มขึ้น ‘อ๋อ อยู่ในบุญมันเป็น
อย่างนี้นะ’ พอถึงตรงนั้น มันจะแจ่มใส แจ่มกระจ่าง มีความ
ปลื้มปีติเบิกบานในบุญ แต่นิ่งสงบ เยือกเย็น หนักแน่น มี
อารมณ์เดียวและเกิดความรู้สึกว่า บุญนี่แหละจะคุ้มครองเรา
ให้ปลอดภัยในทุกสิ่ง และจะนำความสุขความสำเร็จในชีวิตให้
บังเกิดขึ้นแก่เรา มันจะเกิดขึ้นเอง พอถึงดวงใสๆ แต่เบื้องต้น
เราก็ต้องฝึกกันไป นี่เป็นภารกิจของเรา เป็นงานที่แท้จริง

กระแสธารแห่งความดีอยู่กลางดวงธรรมใสๆ

        ถ้าใจใสอย่างนี้มันก็จะเป็นแหล่งกำเนิดของความคิด คำ
พูด และการกระทำที่ดี เพราะกระแสธารแห่งความดีอยู่ตรง
กลางดวงธรรมใสๆ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของความคิด ความ
คิดเราจะคิดแต่เรื่องดีๆ คิดไม่ดีมันนึกไม่ออก มันไม่ได้ช่อง
คิดอยากจะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ทำความดีทั้งด้วย
ตัวเอง แล้วก็ชวนคนอื่นทำความดีด้วย

       กำลังใจที่จะไปชวนคนอื่นทำความดีมีมากมายมหาศาล
จนกระทั่งไม่ได้นึกถึงอะไรเป็นอุปสรรค ไม่ว่าบุคคลที่เราไป
เชิญชวนนั้นเขาจะมีความขัดแย้ง ไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำ
ชักชวนของเราก็ตาม แต่ดวงปัญญาจะเกิดขึ้นให้เรารู้วิธีที่จะ
ตอบปัญหาขจัดข้อขัดแย้งหรือความไม่เข้าใจของเขาว่า จะ
ต้องพูดอย่างไร แล้วก็นำเขาไปสู่จุดหมายคือเขาสมหวังใน
การที่ได้สร้างบุญกุศล บุญบารมีก็จะเกิดขึ้น โดยมีจุดเริ่มต้น
จากดวงใสๆ นี่แหละ

       แล้วจะมีอายตนะไปดึงดูดให้ผู้มีบุญที่พอชักชวนเขา
ทำบุญอายตนะมันจะตรงกัน แค่เขาเห็นเรา เขาก็จะเกิดความ
พึงพอใจ ไว้วางใจว่า ถ้ามอบใจของเขาดวงนี้มาไว้แก่เรา
เชื่อถือได้ และจะต้องนำเราไปสู่สิ่งที่ดี เมื่อใจเขาเปิด ตอนนี้
ความรู้จากภายในก็จะผ่านจากใจเราสู่ใจเขา ที่เราคุ้นเคยคำ
ว่า heart to heart นั่นแหละ จากใจถึงใจ ก็จะสามารถชักชวน
ให้มาทำความดีต่างๆ ได้

อย่าให้หาย

       เราก็พยายามทำความคุ้นเคยกับดวงธรรมใสๆ อย่า
ปล่อยให้หลุดลอยไป เพราะกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ มันไม่ง่าย
นัก เมื่อได้แล้วก็ต้องรักษาให้อยู่กับตัวเราให้ได้ตลอดเวลา
ด้วยการหมั่นทำความเพียร ใจจรดจ่อ แล้วก็สังเกตว่า เรา
วางใจหยุดใจด้วยวิธีการอย่างนี้จึงเข้าถึงได้ ฝึกบ่อยๆ ให้
ชำนาญเป็นวสี ทั้งหลับตาลืมตาก็ให้เห็นชัดใสแจ่มอยู่ตลอด
เวลา ค่อยๆ ฝึกกันไป

       เวลาเรานอน เราก็หลับอยู่ในดวงธรรมใสๆ ซึ่งจะมีความ
สว่างบังเกิดขึ้นด้วย ตื่นแรกก็ต้องเห็นดวงธรรมใสๆ อาบน้ำ
ล้างหน้า แปรงฟัน ขับถ่าย จะรับประทานอาหาร จะแต่งตัว
หรือจะทำอะไรก็แล้วแต่ก็อยู่ในดวงธรรมใสๆ ที่เราหลับตา
ลืมตาเห็นได้ตลอดเวลา

พอหลังจากนั้นมันก็จะละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าเรา
มีชั่วโมงหยุด ชั่วโมงนิ่ง ชั่วโมงกลางเยอะๆ ให้โอกาสกับ
ตัวเราเอง อยู่กับตัวเราที่ศูนย์กลางกายกลางดวงธรรมนั้น
บ่อยๆ ก็จะชัดขึ้น สว่างขึ้น แล้วก็จะขยายออกไปเรื่อยๆ ใจเรา
ก็เคลื่อนเข้าไปสู่ภายในเรื่อยๆ
เดี๋ยวก็มีดวงธรรมต่างๆ ผุดเกิดขึ้นมา ซึ่งตอนนี้เราก็
เริ่มมีความสุขสนุกสนานกับการฝึกใจให้หยุดนิ่ง ฝึกไปเรื่อยๆ
หยุดในหยุดไปเรื่อยๆ หยุดอย่างเดียว นิ่งในนิ่งๆ ตรงกลาง
แล้วก็จะมีกลางใหม่เกิดขึ้นอีก แล้วก็อยู่ตรงกลางของกลางใหม่
คือกลางของใจเข้าไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องไปลุ้น ไปเร่ง ไปเพ่ง
ไปจ้อง แค่เราหยุดดูไปเฉยๆ

ไตรสรณคมน์

การดูเฉยๆ ก็คือการหยุดใจนิ่งๆ เบาๆ สบายๆ อย่าง
เป็นธรรมชาติ แต่ถ้าหากว่า เราลุ้น พยายามจะเข้าไปข้างใน
พยายามไปดันมัน ยิ่งดันก็จะยิ่งเด้งออกมา ใจก็จะถอนจาก
ความละเอียดในระดับต้นออกมา แต่ถ้าเราดูเฉยๆ มันก็จะ
ดึงดูดดิ่งเข้าไปสู่ภายใน เคลื่อนเข้าไปเรื่อยๆ
อาการที่เคลื่อนเข้าไปนี้เขาเรียกว่า คมนะ นี่ไง ที่เรา
ได้ยินคำว่า ไตรสรณคมน์
คมนะ แปลว่า เคลื่อนเข้าไป

แต่เข้าใจคำว่าคมนะได้ ต้องเข้าใจหยุดนิ่งอย่างนี้

ไตรสรณคมน์ คือเคลื่อนเข้าไปหาพระรัตนตรัย
ก็แปลว่าพระรัตนตรัย นั้นมีอยู่ในตัวของเรา

ใจของเรากำลังเคลื่อนเข้าไป เรามีหน้าที่เพียงเป็นผู้ดูที่
ดี ดูปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายในด้วยใจที่เป็นปกติ เหมือนผู้
เจนโลกมองชีวิตขึ้นๆ ลงๆ ของมวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์
ทั้งหลายด้วยใจที่เป็นปกติ หรือเหมือนเราไปยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ
เห็นเรือผ่านไป ผักตบชวาผ่านไป ใจมันก็เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร
ให้ดูอย่างนั้น ดูโดยปราศจากความคิดปรุงแต่ง นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ
สบายๆ เดี๋ยวก็จะมีอะไรใหม่ๆ มาให้เราดู
แต่ถ้าไม่มีอะไรใหม่ๆ มาให้ดู แสดงว่าใจเราหยุดไม่สนิท
หรือเราไปลุ้น ไปเร่ง ไปเพ่ง ไปจ้องแล้ว ซึ่งถ้ามีอาการอย่างนี้
เราก็ค่อยๆ เผยอเปลือกตาขึ้นมาสักนิดหนึ่ง จนกระทั่งความ
รู้สึกลุ้น เร่ง เพ่ง จ้องหายไปจากใจ เมื่อมันอันตรธานไปจาก
ใจแล้วก็ค่อยๆ เริ่มต้นใหม่อย่างง่ายๆ
สอนตัวเราเองว่า เราเป็นนักเรียนอนุบาล อย่าเพิ่งไป
เรียนอะไรให้มันลึกซึ้ง ทำหยุดทำนิ่งตรงนี้ให้มันเป็นอย่าง
ถูกหลักวิชชาที่มหาปูชนียาจารย์ หรือบัณฑิตนักปราชญ์ใน
กาลก่อนเขาได้ทำกัน ก็ฝึกไปเรื่อยๆ สบายๆ เดี๋ยวใจก็จะ
เคลื่อนเข้าไปเอง
แปลว่าเราบังคับให้เคลื่อนเข้าไปไม่ได้ แต่จะไปเองเมื่อ
ใจหยุดนิ่งได้สนิทสมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วความสุขก็จะ
เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เคลื่อนเข้าไป สมมติว่าเราเคลื่อนเข้าไปใน

ระยะแรกๆ ความสุขได้สัก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่พอเรานิ่ง
เพิ่มขึ้น ความสุขจะเพิ่ม ๑๐๐, ๒๐๐, ๓๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไป
เรื่อยๆ เลย

อานิสงส์ของใจที่หยุดนิ่ง

การฝึกใจให้หยุดนิ่งกระทั่งเข้าถึงพระรัตนตรัย
ในตัวนี่แหละคือสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต ยิ่งกว่า
ทรัพย์สินเงินทองใดๆ แม้ว่าสิ่งนั้นจะจำเป็น
เพื่อให้ได้ปัจจัย ๔ มาหล่อเลี้ยงสังขาร แต่ว่า
ทรัพย์สินเงินทองเรานำติดตัวไปในภพเบื้องหน้า
ไม่ได้ ยกเว้นเราเปลี่ยนมาเป็นบุญนั่นแหละถึง
จะเอาไปได้

และเวลาใกล้จะละโลก จะไปนึกถึงทรัพย์สมบัติ ลาภ
ยศ สรรเสริญ ก็ช่วยเราไม่ได้ แต่ตรงนี้ที่เราเห็นดวงธรรมก็ดี
กายภายในก็ดี องค์พระก็ดีจะช่วยเราได้ ให้เรามีความสุข
แม้มีทุกขเวทนาที่กายเนื้อ แต่ใจมันจะล่อนออก เหมือนเงาะ
กับเปลือกไม่ติดกันอย่างนั้น ใจจะเกลี้ยงๆ ข้างนอกอาจจะมี
อาการทุกขเวทนาบ้าง เพราะสังขารก็เป็นของมันอย่างนั้น
เวลาจะแตกดับมันก็มี แต่ว่าใจข้างในจะนิ่งสงบมั่นคง และ
มีสุขเกิดขึ้น มั่นใจ อบอุ่นใจ ปลอดภัยว่า ถ้าเราหลุดออกไป
แล้วไม่ไปอบาย มีแต่ไปสุคติโลกสวรรค์ก็จะเป็นที่พึ่งได้

การอยู่กับตัวเองอย่างนี้ดีที่สุด อยู่กับคนอื่นนั้น แต่ละ
คนก็มีปัญหาส่วนตัวด้วยกันทั้งนั้น คนมีปัญหามารวมกับคน
ที่มีปัญหาเยอะๆ มันก็ทำให้สิ่งแวดล้อมมีปัญหา ความทุกข์
ทรมาน ความเครียดก็ระบาด เพราะเราไม่อาจจะแก้ตรงนั้นได้
จะปรับปรุงคนอื่นให้เป็นไปตามความปรารถนาของเราได้ เรา
แก้ไม่ได้ก็ต้องทำอย่างนี้ หยุดกับนิ่งอยู่กับตัวเองนี่แหละ
พอใจใส เห็นดวงธรรมใส กายภายในใส องค์
พระใสๆ เราก็จะอยู่เหนือสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ
เหมือนลิ้นที่อยู่ในปากงูพิษ งูพิษกัดคนตาย แต่
ลิ้นอยู่ใกล้เขี้ยวพิษไม่เป็นไร หรือจุดเย็นในกลาง
เตาหลอมอย่างนั้น เราจะอยู่เหนือสิ่งแวดล้อมได้
เองด้วยตัวของตัวเองเลย เป็นไปตามธรรมชาติ
และเดี๋ยวสิ่งดีๆ ก็จะค่อยๆ ขยายจากตัวเราไป
สู่คนข้างเคียง

พอไปถึงจุดนี้ได้ การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นก็
จะเกิดกับเรา โดยที่เราไม่รู้สึกตัว แต่ผู้ที่สังเกตเราอยู่ เพราะ
เราอยู่ในสายตาเขาตลอดเวลา ก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของ
เราไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อเป็นอย่างนี้เขาก็จะเกิดแรงบันดาลใจ
อยากจะทำตามบ้าง ถ้าเราเย็น เขาก็จะเย็นตาม ค่อยๆ เยือก
เย็น สงบนิ่งไปเรื่อยๆ สิ่งดีๆ ก็จะค่อยๆ ขยายจากตัวเราถึงผู้

ที่อยู่รอบข้าง และขยายต่อๆ กันไป เป็นบ้าน หมู่บ้าน ตำบล
อำเภอ จังหวัด ประเทศ นานาชาติแล้วก็ทั่วโลก
สิ่งดีๆ ในโลกนี้ เริ่มต้นจากศูนย์กลางกาย
ฐานที่ ๗ จากจุดเล็กๆ ที่เราหยุดนิ่งได้นี่แหละ
ถ้าลูกทุกคนให้ความสำคัญ ทำให้ได้ เราก็จะมี
ความสุขในทุกหนทุกแห่ง และพลอยทำให้เพื่อน
มนุษย์มีความสุขตามไปด้วย

ต้นไม้ต้นเดิมที่บ้านเรา หรือที่ไหนก็ตาม ถ้าเราดูด้วย
สายตาที่มาจากรากฐานของความสุขภายใน ต้นเดิมต้น
เดียวกันนั้น บางวันเราดูไม่สดชื่น เมื่อเรายังเข้าไม่ถึงตรงนี้
ต้นไม้ก็ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่เราเปลี่ยนแปลง
ภายในตัวภายในใจของเรา เราก็จะมองต้นไม้ต้นนั้นด้วยความ
ผาสุก คน สัตว์ สิ่งของก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ
หยุดกับนิ่งนี่สำคัญนะลูกนะ ให้โอกาสกับตัวเราเองฝึก
เอาไว้ เพื่อตัวเราและเพื่อชาวโลกทุกๆ คน หยุดกับนิ่งนี่แหละ
มีอานิสงส์และอานุภาพอันยิ่งใหญ่

พลัง คำเดียวกัน ประโยคเดียวกัน แต่ถ้าออกมา
จากใจของผู้ที่หยุดนิ่งได้ คนรับฟังเขาจะมีความ
ปีติ เบิกบาน อาจหาญ ร่าเริง อยากจะทำตาม
แต่ถ้าออกมาจากใจของผู้ที่ยังไม่หยุดนิ่ง เขาฟัง
แล้วเขาก็ผ่านไป หยุดกับนิ่งนี่สำคัญ

การที่จะก้าวไปข้างหน้า ไปได้ไกลอย่างปลอดภัย และ
มีชัยชนะ มันต้องหยุดนิ่งให้มั่นคงเสียก่อน หยุดจึงเป็นจุดเริ่มต้น
ของทุกๆ กิจกรรม ไม่ว่าจะอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ขับ
ถ่าย รับประทานอาหาร แต่งตัว เรื่องครอบครัว การศึกษา
เล่าเรียน ธุรกิจการงาน แม้กระทั่งวัยชราที่จะอยู่กับเหย้า
เฝ้ากับเรือนดูแลลูกหลานก็ให้ความอบอุ่นลูกหลาน หรือเมื่อ
เผชิญต่ออุปสรรคของชีวิต ทุกข์ โศก โรคภัย มรณภัย อะไร
ต่างๆ ใจก็จะเป็นปกติ ไม่ได้พรากหรือห่างไกลจากความสุข
ที่แท้จริงเลย
เพราะฉะนั้น ต้องขยันนั่งกันนะ นั่งกันไปทุกวัน เวลา
ที่เหลืออยู่นี้ก็หยุดใจนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ต่างคนต่าง
นั่งกันไปเงียบๆ
วันอาทิตย์ที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๙

โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก 3 บทที่ 5 www.dhamma01.com

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *