วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก หยาบให้ตรึก ละเอียดให้แตะ

ง่ายแต่ลึก เล่ม ๓ บทที่ ๘ : หยาบให้ตรึก ละเอียดให้แตะ

จงเป็นมิตรกับความคิดทุกๆ อย่าง
คิดดีบ้างเกือบดีบ้างช่างหัวมัน
แล้วเลือกสรรความคิดดีใส่ใจเรา
เดี๋ยวเข้าเป้าเข้ากลางสว่างเล้ย
ตะวันธรรม

          เมื่อเราได้บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อ
จากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ
คนนะ ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับ
มือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วาง
ไว้บนหน้าตักพอสบายๆ หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอ
สบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าบีบเปลือกตา
อย่ากดลูกนัยน์ตานะ
          แล้วก็ทำใจให้เบิกบาน แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส
ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ปล่อย
วาง ทำใจให้ว่างๆ
          คราวนี้เราก็มาสมมติว่า ภายในร่างกายของเรานั้น
ปราศจากอวัยวะ ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น สมมติ
ให้เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ กลวง
ภายใน คล้ายๆ ท่อแก้ว ท่อเพชรใสๆ

          คราวนี้เราก็นึกทบทวนสิ่งที่ได้แนะนำเอาไว้เมื่อวัน
อาทิตย์ว่า ถ้าจิตหยาบให้ตรึก ถ้าจิตละเอียดให้แตะ มีแต่
ตรึกกับแตะนะ

ถ้าจิตหยาบให้ “ตรึก”

ตรึก คืออะไร
          ตรึก ก็คือการนึกถึงภาพดวงแก้วใสๆ
พระแก้วใสๆ อย่างสบายๆ คล้ายๆ กับเรานึกถึง
สิ่งที่เราคุ้นเคย สมมติเราถนัดนึกถึงดวงแก้ว
ก็นึกดวงแก้ว ถนัดนึกถึงองค์พระก็นึกองค์พระ
หรือนอกเหนือจากนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคย
เห็นเจนตา นึกถึงสิ่งนั้นเอาไว้ที่ศูนย์กลางกาย
ฐานที่ ๗ นึกอย่างสบายๆ นี่แหละ เรียกว่า
ตรึก
          เพื่อให้ใจของเรามีหลักยึด จะได้ไม่ซัดส่ายไปคิดเรื่อง
อื่น เพราะใจก็เหมือนกับม้าพยศดิ้นรนที่จะวิ่งไปตามอำเภอ
ใจของตัว เพราะฉะนั้นวิธีปราบม้าพยศวิธีหนึ่งก็คือ ผูกเอา
ไว้กับหลัก ไปไหนไม่ได้ พอมันเหนื่อยหมดแรง มันก็หมอบ
อยู่ตรงนั้นแหละ
          ใจที่แวบไปแวบมาคิดไปในเรื่องราวต่างๆ ก็เหมือนกัน
เราเอามาผูกไว้กับหลักอย่างสบายๆ ผูกไว้ด้วยการนึก จะ
นึกเป็นภาพก็ได้ ไม่เป็นภาพก็ไม่เป็นไร ถ้าเรามั่นใจว่าไม่
นึกเป็นภาพแล้วใจไม่ฟุ้ง แต่สำหรับคนใจฟุ้งต้องมีหลักยึด
ควรจะเป็นภาพ แล้วก็มีเสียงประกอบ คือ คำภาวนา สัมมา
อะระหัง เรื่อยไป ภาวนาไปจนกว่าใจจะหยุดนิ่ง ซึ่งจะต้องใช้
ทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน เป็นต้น แล้วตอนตรึกนี้ต้องให้
มีสติ สบาย สม่ำเสมอ เดี๋ยวมันจะหยุดเอง ถูกส่วนไปเอง
          ตรึกไว้เรื่อย นั่งตรึก ยืนตรึก เดินตรึก นอนตรึก
วิ่ง exercise ออกกำลังกายก็ตรึกไปด้วย ใหม่ๆ มันก็นึก
ไม่ออก ก็ทำความรู้สึกว่ามีอยู่ภายใน พอต่อๆ ไปก็ค่อยๆ
นึกได้รัวๆ รางๆ
          พอตรึกไปเรื่อยๆ ผูกใจเอาไว้ ทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำ
เล่า หมื่นครั้ง แสนครั้ง ล้านครั้ง ควบคู่กับคำภาวนา สัมมา
อะระหัง เรื่อยไป พอใจมันหยุดนิ่งถูกส่วนเข้า มันก็จะทิ้งคำ
ภาวนาไปเอง จะมีอาการเหมือนกับเราลืมคำภาวนา แต่ว่าใจ
ไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น หรือเกิดความรู้สึกว่า ไม่อยากจะภาวนา
สัมมา อะระหัง ต่อไป อยากรักษาใจให้หยุดนิ่งๆ อยู่ที่ดวง
ใสๆ หรือพระแก้วใสๆ ถ้ามีอาการหรือรู้สึกอย่างนี้ ก็ไม่ต้อง
ย้อนกลับมาภาวนา สัมมา อะระหัง ใหม่ ให้หยุดใจไปที่กลาง
ดวงใสๆ หรือองค์พระใสๆ เรื่อยไปเลย

ถ้าจิตละเอียดให้ “แตะ”

          ไม่ช้าใจก็จะถูกส่วนไปเอง พอถูกส่วนก็จะตกศูนย์
วูบลงไปที่ฐานที่ ๖ ซึ่งอยู่ห่างกันแค่ ๒ นิ้วมือ ในกลางท้อง
ของเราในระดับเดียวกับสะดือ ก็จะไปยกดวงธรรมด้วยใจ
ให้ลอยขึ้นมาที่ฐานที่ ๗ ภาพที่เห็นก็จะเป็นดวงลอยขึ้นมา
จากฐานที่ ๖ แล้วก็หยุดนิ่งอยู่ที่ฐานที่ ๗ เป็นดวงใสๆ ดวงนี้
เรียกว่า ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือ ดวงปฐมมรรค
แปลว่า เบื้องต้นที่จะไปสู่อายตนนิพพาน
          เมื่อดวงธรรมดวงนี้เกิดขึ้นนั่นแหละ แปลว่า
ใจเราละเอียดแล้ว นับจากดวงธรรมนี้เป็นต้นไป
ให้ แตะ ใจเบาๆ
          แค่เราแตะเบาๆ ดวงธรรมก็จะขยายกว้างออกไปเลย
และจะเข้าไปสู่ข้างในตรงจุดกึ่งกลางใสๆ เล็กๆ เท่ากับปลาย
เข็ม หรือเท่ากับดวงดาวในอากาศ แตะใจเรื่อยไปเลย แตะไป
เบาๆ มันก็เข้าไปเอง จนกระทั่งเห็นกายในกาย องค์พระใน
องค์พระ เพราะฉะนั้นอย่าไปตรึก ละเอียดให้แตะ จำ ๒ คำ
เอาไว้นะ หยาบให้ตรึก ละเอียดให้แตะ

เริ่มต้นด้วยความพึงพอใจ ปรับให้สบาย

          ทีนี้แม้จะตรึกก็ตาม เราก็ต้องฉลาดในการตรึก ให้สังเกต
อย่างนี้ ปกติเราจะทำงานอะไร หรือจะเล่นอะไรก็ตาม จะทำงาน
จะเล่นกีฬา หรืออะไรก็แล้วแต่ มันจะต้องเกิดฉันทะขึ้นมาเสีย
ก่อน คือมีความพึงพอใจ มีความสุข สนุกกับการเล่นนั้น
        เอาแค่อบายมุข สมมติเราเล่นไพ่ นั่งมันได้ทั้งวันทั้งคืน
บางทีห้องน้ำก็ไม่เข้า ข้าวก็ไม่กิน นั่งเป็นชั่วโมงๆ เหมือนก้น
ติดกาวอย่างดีไว้กับพื้นนั่นแหละ มันมีได้มีเสีย มีลุ้นระทึก ได้
ก็ลิงโลดใจ เสียก็เสียดายทรัพย์ มีได้มีเสีย สรุปตอนสุดท้าย
เสีย แต่เราก็เพลินกับมันนะ มีความพึงพอใจ เพราะว่ามีลุ้น
มีได้มีเสีย แต่ตอนสุดท้ายหายนะ เพราะว่ามีลุ้น มีได้ มีเสีย
เราเกิดความพึงพอใจจึงไม่เบื่อ
          จะเล่นกอล์ฟก็มีความสุขในการเล่น มีลุ้นในการตี นี่
สำหรับคนเล่นออกกำลังกายเป็นกีฬานะ ถ้าเป็นการพนันก็
มีลุ้น มีได้ มีเสีย มันก็เพลิน เกิดความพึงพอใจ ก็ไม่เบื่อ
          ฟุตบอลก็เหมือนกัน ดูบอล มีลุ้น มีได้ มีเสีย สรุปตอน
สุดท้ายก็หายนะ พอลุ้นแล้ว มีได้ มีเสีย มันก็ไม่เบื่อ มีความ
พึงพอใจ สนุก แล้วเป็นสุขกับการได้ดู
          นั่งธรรมะคล้ายๆ อย่างนั้นแหละ แต่ว่าเป็นฝ่ายดี ฝ่าย
สว่าง ที่ยกตัวอย่างมานั้นเป็นฝ่ายมืด
          สังเกตนะลูกนะ สังเกต ไม่ว่าเราจะวางใจไว้ที่ศูนย์กลาง
กายฐานที่ ๗ เลยทีเดียวก็ได้ หรือวางจากฐานที่ ๑, ๒, ๓, ๔,
๕, ๖ ดูตรงนี้ ไม่ว่าจะนึกเป็นภาพ หรือไม่เป็นภาพก็ตาม
          สมมติไม่เป็นภาพ เราวางอารมณ์อย่างนี้ ทำความรู้สึก
อย่างนี้ พึงพอใจไหม สังเกตตรงนี้ก่อน พึงพอใจไหม ถ้าพึง
พอใจมันก็ไม่เบื่อในการนั่ง จะนั่งไปนานแค่ไหนก็ได้ แม้ไม่
เห็นอะไร นั่งไปนานแค่ไหนก็ได้ ไม่เบื่อเลย แถมมีความรู้สึก
ว่า หมดเวลาเร็วด้วยซ้ำไปอย่างนี้ใช้ได้

           หรือถ้านึกเป็นภาพ นึกอย่างนี้แล้วมันไม่กดลูกนัยน์ตา
ไม่เพ่ง ไม่จ้อง ไม่บังคับใจ รู้สึกสบาย แม้บางครั้งเห็นชัดบ้าง
ไม่ชัดบ้าง นั่งแล้วรู้สึกหน้ายิ้มๆ เบิกบาน มีความพึงพอใจ
เวลาจะผ่านไปเท่าไรไม่คำนึงถึง ไม่ห่วงเรื่องอะไรทั้งสิ้นใน
โลก ไม่ให้ความสำคัญต่อสิ่งใด นอกจากดวงหรือองค์พระ
หรือสิ่งที่เราคุ้นเคย มีความยินดีที่จะอยู่กับสิ่งนี้ แค่นี้เท่านั้น
รู้สึกสบายๆ พึงพอใจตรงนี้แหละที่ทำให้ไม่เบื่อ

นั่งแล้วเบื่อเซ็ง แสดงว่าเริ่มผิดวิธี

          ถ้ารู้สึกว่านั่งแล้วไม่เบื่อ อย่างนี้ถูกวิธี ทำ
เรื่อยไปนะลูกนะ แต่ถ้ารู้สึกเบื่อนั่นแสดงว่า
เริ่มผิดวิธีแล้ว เริ่มลุ้น เริ่มเร่ง เริ่มเพ่ง เริ่มจ้อง
เริ่มไม่ถูกวิธี ลืมตาเลยนะลูกนะ ลืมตาเลย
ลืมตาแล้วหายใจสบายๆ ดูโน่น ดูนี่ ดูดวงแก้ว
ดูองค์พระ ดูรูปหลวงปู่ รูปคุณยาย ดูทิวทัศน์
ดูอะไรก็แล้วแต่ให้มันหายเบื่อ หายเซ็ง หรือไม่
ก็ลุกขึ้นไปเดินล้างหน้าล้างตาให้หายเบื่อหาย
เซ็ง สดชื่น พอรู้สึกว่าสบายใจ มีอารมณ์อยาก
นั่ง เอ้า กลับมานั่งใหม่ แล้วก็เริ่มต้นใหม่อย่าง
ง่ายๆ ตรงนี้สำคัญนะ

          วางใจนิ่งๆ อย่าให้ลูกนัยน์ตาหนัก นิ้วอย่ากระดก ไหล่
อย่ายก ท้องไม่เกร็ง สบาย ไม่คาดหวังอะไรทั้งสิ้น อยากจะ
วางใจนิ่งๆ อย่างเดียว เป็นหนุ่มอารมณ์เดียว สาวอารมณ์
เดียว อารมณ์ดี อารมณ์เดียว อารมณ์สบาย ไม่ให้เบื่อเลย
ทำอย่างนี้ได้ไหมลูก ต้องทำให้ได้อย่างนี้นะ แล้วเดี๋ยวจะดี
เดี๋ยวมืดตื้อมืดมิดเราก็มีสิทธิ์เข้าถึงธรรมได้ ตรงนี้แหละ
หัวเลี้ยวหัวต่อ จำให้ดีทีเดียวนะ จำแล้วก็ทำให้ได้
          ถ้าทำไม่ได้ ลืมตาเลย ดูโน่นดูนี่ ถ้าเบื่อหน่าย เซ็ง เอ้า
ลุกขึ้นไป บิดเนื้อบิดตัว บิดเส้นบิดสาย ดูท้องฟ้า ดูทิวทัศน์
แต่อย่าไปดูโทรทัศน์นะ ดูทิวทัศน์ ล้างหน้าล้างตา สดชื่น
เอ้า กลับมาใหม่ ถ้านั่งรวมกันก็ดูคนไหนเขานั่งดี แต่ดูท่านั่ง
เขานั่งดีนะ อย่าไปดูหน้าดูตา โอ้ คนนี้สวยจัง คนนี้หล่อจัง
เดี๋ยวกิเลสมันฟุ้ง นั่งไม่ติด ให้ดูแค่ว่า เออ แหม เขาคงนั่งดี
นะ ตัวตรง ตัวตั้ง หลังพิงอากาศ สงบนิ่ง ดูสิเขามีมือ ๒ มือ
๑๐ นิ้ว หันมาดูของเรา ดูแค่มือพอนะ อย่างอื่นไม่ต้องไปดู
เรา ๒ มือ ๑๐ นิ้วเหมือนกัน เออ เขาทำได้ เราก็ต้องได้ กลับ
มานั่งใหม่นะลูกนะ
          มานั่งนิ่งๆ ให้ใจสบ๊าย สบาย ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่ม
ชื่น ให้สมกับเป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาที่เราลดอายุ
ลงมาเป็นนักเรียนอนุบาลอยู่ในช่วงจังหวะชีวิตที่ไม่มีความ
คิดอะไรเลย ๓ ขวบ ๔ ขวบ ๕ ขวบ ไม่มีความคิดอะไรเลย
แล้วนั่งอย่างสบายๆ

มีความเพียร ทำถูกวิธี ต้องได้

          ธรรมะไม่หนีไปไหน มันอยู่ในตัวนั่นแหละ
ทั้งดวง ทั้งกาย ทั้งองค์พระ อยู่ในตัวเรานะลูก
นะ ไม่ได้ไปอยู่โลกอื่น ห่างจากปากช่องจมูกถึง
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แค่ศอกเดียวเท่านั้น เรา
ก็ค่อยๆ ฝึกไป
          ถ้าเราเริ่มต้นด้วยความพึงพอใจ ไม่เบื่อ จากความไม่
เบื่อจะนำเข้าไปสู่ความสบาย และสบายยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ใจ
มันก็นิ่ง ไม่ซัดส่าย เพราะมันสบาย สบายกาย สบายใจ ก็
นิ่งๆ เฉยๆ เดี๋ยวก็นิ่งในนิ่งๆ นิ่งตรงไหนก็ช่างมัน เรานิ่งไป
ก่อน เดี๋ยวสบ๊ายสบาย เดี๋ยวจะสนุกกันใหญ่
          ความสว่างจะมา มันจะมืดตลอดชาติได้อย่างไร จะมาสู้
คนทำความเพียรอย่างถูกวิธีได้อย่างไร มันต้องแพ้เรา เดี๋ยว
ก็สว่างขึ้นมาเลย อย่าลืมนะ สบ๊าย สบาย จะได้ไม่เบื่อ ให้
สบาย นั่งหน้ายิ้มๆ
          หยาบให้ตรึก ละเอียดให้แตะ แตะเบาๆ แตะแผ่วๆ เดี๋ยว
ใจจะขยาย โอ้ สนุกกันใหญ่ ตัวขยาย ใจขยาย แสงสว่างขยาย
ดวงแก้วดวงธรรมขยายใสบริสุทธิ์ องค์พระขยายใสบริสุทธิ์
เดี๋ยวก็เข้ากลางของกลางไปได้เอง อย่างนี้นะ
          คืนนี้เช่นเคยเหมือนทุกคืน เราเหนื่อย เราง่วง เราเพลีย
นั่งแล้วมันจะตึง ก็ปล่อยให้หลับอยู่ในกลางกาย เมื่อยก็ขยับ
เบาๆ ฟุ้งหยาบก็ลืมตา แล้วก็ว่ากันใหม่ ถ้าฟุ้งละเอียดไม่ต้อง
ลืมตานะ ทำเป็นรู้แล้วไม่ชี้ เดี๋ยวความคิดเหล่านั้นก็หนีหาย
ไปหมดเลย คืนนี้ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระ
รัตนตรัยทุกๆ คน ต่างคนต่างทำกันไปเงียบๆ นะ
วันจันทร์ที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๕

โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก ๓ บทที่ ๘ www.dhamma01.com

1 thought on “วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก หยาบให้ตรึก ละเอียดให้แตะ”

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *