
เอาจริงหยุดนิ่งให้ ตลอดเทียว
ทิ้งทุกสิ่งนิ่งอย่างเดียว หยุดสู้
หยุดนิ่งสักประเดี๋ยว ชาญเชี่ยว
จักเกิดญาณทัสสนะรู้ หมดทั้งโคตรมาร
ตะวันธรรม
ตั้งใจนั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ หลับตาเบาๆ
พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา ทั้งเนื้อทั้ง
ตัวให้รู้สึกว่าสบาย ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดีนะ ให้เลือด
ลมในตัวเดินได้สะดวก ปรับท่านั่งให้ถูกส่วนอย่างสบายๆ
แล้วก็ผ่อนคลาย
ผ่อนคลายสบาย รวมใจ วางใจให้ถูกส่วน
ต้องผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจนะ ทำใจให้เบิกบาน
แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะ
เป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ปล่อย วาง ให้คลายความผูกพัน
จากคน สัตว์ สิ่งของ ทำประหนึ่งว่าเราอยู่คนเดียวในโลก
แล้วก็รวมใจกลับเข้าไปสู่ภายในอย่างง่ายๆ สบายๆ
ผ่อนคลาย ใจเย็นๆ อย่าตั้งใจเกินไป ต้องสบาย ต้องผ่อน
คลาย ค่อยๆ วางใจไปแตะที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่าง
นุ่มๆ ทำใจให้นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ ต้องเบาๆ ต้องสบายๆ ใจถึง
จะรวมได้ง่ายนะ
ต้องสบายๆ อย่าไปเพ่งไปจ้อง ให้นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
แล้วก็ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ คือ นึกถึง
เพชรสักเม็ดหนึ่ง หรือก้อนน้ำ แข็งใสๆ กลมๆ เหมือนดวง
แก้ว ให้นึกธรรมดา นึกสบายๆ คล้ายๆ เรานึกถึงภาพดอกบัว
ดอกกุหลาบอย่างนั้นแหละ
นึกได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นไปก่อน แต่ต้องสบาย นึกไม่ได้
ก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ ประคองใจให้หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ ว่า สัมมา อะระหัง จะภาวนากี่ครั้ง
ก็ได้จนกระทั่งไปถึงจุดที่เราไม่อยากจะภาวนา สัมมา อะระหัง
ต่อไป อยากหยุดใจนิ่งๆ เฉยๆ นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ ประคองใจ
กันไปอย่างนี้สำหรับผู้ที่มาใหม่ ให้นิ่ง นุ่ม เบา สบาย เดี๋ยว
ใจจะถูกส่วนเองเมื่อเราทำถูกวิธีอย่างนี้นะ
เมื่อเราวางใจถูกส่วนมันก็จะกลับเข้าไปสู่ภายในอย่าง
ง่ายๆ แล้วร่างกายของเราจะกลวง เป็นโพรง เป็นช่อง
ว่างๆ ร่างกายจะขยายออกไปจนหายไปเลย เหมือนกลืนไป
กับบรรยากาศ ใจก็จะอยู่นิ่งๆ โล่งๆ กลางอวกาศ ถ้าเราทำ
ถูกวิธีนะ แล้วเดี๋ยวใจก็จะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายในเอง จะไม่ตึง
ไม่เกร็ง ไม่เครียด ทั้งร่างกายจิตใจจะผ่อนคลาย จะสบาย
จะเหลือแต่สติกับสบาย คือใจอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่ในกลางกาย
อย่างไม่กดดัน
เข้าถึงดวงธรรมภายใน กายภายใน
ต้องสบายต้องใจเย็นๆ ต้องนิ่งๆ นุ่มๆ นานๆ ต้อง
อย่างนี้นะ เดี๋ยวใจจะใสเอง จะสว่างขึ้นมาเอง หลับตาแล้วก็
จะไม่มืด จะมีความสว่างภายใน ตั้งแต่เหมือนฟ้าสางๆ เรื่อย
ไปจนกระทั่งเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ว่าจะใสเย็น
ไม่จ้าตา ไม่แสบตา ใสเย็นสบาย
สำหรับผู้ที่ทำเป็นแล้ว เข้าถึงดวงธรรมได้ก็นิ่งในนิ่งต่อ
ไปเรื่อยๆ ฝึกหยุดแรกให้ชำนาญ ให้คล่อง หยุดแรกสำคัญมาก
เดี๋ยวหยุดในหยุดต่อๆ ไปก็จะง่าย แม้ทำเป็นแล้วก็ต้องฝึกตรง
นี้นิ่งๆ นุ่มๆ ดูดวงไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ ให้ใจนิ่งๆ อยู่ใน
กลางดวงใสๆ ด้วยใจที่เยือกเย็น
ถ้าเราทำถูกต้อง ถูกส่วน ดวงนั้นก็จะขยายออกไปเอง
ขยายไปรอบตัว ถ้ายังไม่ถูกส่วนก็จะเป็นดวงนิ่งๆ เฉยๆ ถ้า
ตั้งใจมาก แม้เห็นดวงแต่ก็จะยังไม่เจอความสุข แต่ไม่ทุกข์
จะอยู่ในระหว่างไม่สุขไม่ทุกข์ คือเลยความทุกข์ แต่ยัง
เข้าไม่ถึงความสุข ใจนิ่งได้ในระดับ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์
แต่ยังกดดันอยู่ คือยังมีความพยายามที่จะใช้กำลังบังคับ
ภาพนั้นจึงยังแข็งๆ ไม่นุ่ม ยังติดนิสัยหยาบๆ ทางโลก
ทางโลกจะทำอะไรให้สำเร็จต้องใช้ความ
พยายาม ต้องออกแรง ทางธรรมมันกลับตาลปัตร
ต้องง่ายๆ ต้องสบายๆ
ถ้าทำได้อย่างนี้ ดวงจะอ่อนนุ่ม จะใสๆ และจะขยาย
ออกได้ ความสุขก็จะค่อยๆ เริ่มเกิดขึ้น จนเรายอมรับว่า นี่
คือความสุขที่ไม่เคยเจอ
ยิ่งใจเรานิ่งๆ นุ่มๆ นานๆ จากนิ่งนุ่มนานๆ ก็จะกลายเป็น
นิ่งนุ่มและก็หนาแน่น เป็นนิ่งแน่น แต่ว่านิ่งนุ่มแน่นและก็
นานๆ คราวนี้ดวงก็จะใสสว่างขยายให้เราเคลื่อนเข้าไปสู่
ภายในดวงนั้นได้อย่างง่ายๆ พอเราทำตรงนี้ซ้ำๆ บ่อยๆ
ให้คล่อง ให้ชำนาญ แม้ชำนาญแล้วก็ยังต้องทำซ้ำๆ การ
เคลื่อนเข้าไปสู่ภายในก็ยิ่งง่าย ความสุขก็เพิ่มพูนขึ้นทับทวี
ขึ้นมาจนเราไม่ต้องการอะไรเลย
จากดวงนี้ก็จะผ่านไปเห็นดวงในดวงไปเรื่อยๆ เลย ถ้า
ดวงที่เชื่อมกับกายก็จะมี ๖ ดวงซ้อนๆ กันอยู่ ดวงนี้จะปรับ
สภาวะใจเรา กลั่นใจเราให้ใสบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นเชื่อมเข้าไปถึง
กายภายในได้อย่างง่ายๆ
เราจะอัศจรรย์ใจ เมื่อเราเห็นตัวเราเองอยู่
ข้างในตัวของเรา ที่ดูสดใสกว่า อยู่ในวัยเจริญ
ในอิริยาบถของสมาธิ
ถึงตรงนี้เราก็ต้องทำซ้ำๆ คือทำทุกวันไม่ว่างเว้น แม้เรา
อยู่ทางโลกจะทำมาหากินอะไรก็แล้วแต่ ทำมาค้าขาย ทำมา
สร้างบารมี ข้างนอกเคลื่อนไหวแต่ข้างในใจต้องหยุดนิ่ง ฝึก
ตรงนี้ให้คล่อง ให้ชำนาญ เดี๋ยวการปรับสภาวะก็จะเป็นไป
เอง ใจก็จะบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
ต้องทำซ้ำๆ บ่อยๆ เนืองๆ ภาษาบาลีเขาว่า ภาวิตา
พหุลีกตา ต้องบ่อยๆ ต้องเนืองๆ แม้ทำชำนาญแล้วก็ยัง
ต้องบ่อยๆ ต้องเนืองๆ ซ้ำๆ พอมั่นคงแล้ว เราจะอัศจรรย์ใจ
กับการเห็นกายภายใน
ส่วนกายละเอียดเราจะย่อให้เหลือนิดเดียว เล็กเท่ากับ
ปลายเข็มก็ยังเห็นชัดเจนเหมือนเห็นตอนกายขยายโตๆ ซึ่ง
มันน่าอัศจรรย์ใจมาก สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจอยู่ภายในกลางกาย
ของเรา แม้เล็กเท่ากับปลายเข็มก็เห็นรายละเอียดของกาย
นั้นได้ในทุกๆ กาย แม้ทำเป็นแล้วก็ต้องมาฝึกตรงนี้ให้ซ้ำๆ
ไปเรื่อยๆ
กายภายในก็จะปรับสภาวะจากกายของคฤหัสถ์ เช่น
กายมนุษย์ละเอียด ทิพย์ พรหม อรูปพรหม ให้สูงส่งขึ้นไป
เรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงกายพระข้างใน คือบวชภายในเป็น
พระธรรมกายข้างในใสๆ เหมือนคล้ายๆ การบวชภายนอก
ตั้งแต่คฤหัสถ์มาเป็นนาค จากนาคมาเป็นเณร จากเณรมา
เป็นพระ คือมีความบริสุทธิ์เข้าไปเรื่อยๆ
เกิดกันมาแต่ละภพแต่ละชาติก็ต้องการมา
สะสางธาตุธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ให้สิ้นไป ให้เหลือแต่
ธาตุธรรมที่บริสุทธิ์ล้วนๆ คือ เป็นกายพระ และ
กายพระก็ต้องกลั่นกันต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง
สุดท้ายเป็นกายพระอรหันต์นั่นแหละ
สะอาดบริสุทธิ์หมดจดจากสรรพกิเลสทั้งหลาย จะต้อง
สะสางสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ให้หมดสิ้นไป ที่อยู่ในธาตุ ในธรรม
ในเห็น ในจำ ในคิด ในรู้ ของเราให้หมดสิ้นไปด้วยการทำใจ
ให้หยุดนิ่ง เพราะฉะนั้นคำว่าใจหยุดนิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่
เกินกว่าที่เราเข้าใจหรือจินตนาการจะไปถึง
ใจที่หยุดนิ่งจะทำให้สำเร็จบริบูรณ์ในทุกสิ่ง จะสะสาง
เข้าไปเรื่อยๆ กลั่นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณ อากาศ ที่
ประกอบเป็นกายเป็นใจเป็นอะไรต่างๆ เหล่านั้น ให้สะอาด
บริสุทธิ์เข้าไปเรื่อยๆ กลั่นทั้งธรรมซึ่งเป็นที่รองรับธาตุต่างๆ
เหล่านั้นให้บริสุทธิ์เข้าไปเรื่อยๆ กลั่นทั้งเห็นจำคิดรู้ คือใจให้
ใสๆ ให้บริสุทธิ์ นี่คือวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์
ในแต่ละครั้ง แต่ละภพ แต่ละชาติ จะต้องสะสางกันอย่างนี้
แต่สิ่งเหล่านี้มนุษย์ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เพราะพญามารบดบัง
เอาไว้ เขาจะประกอบธาตุธรรมที่ไม่บริสุทธิ์มาบดบังเอาไว้
ที่เราได้ยินคำว่า อวิชชา นั่นแหละ ให้เราไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้
ว่าเกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิต แล้วจะไปสู่เป้า
หมายของชีวิตได้อย่างไร นอกจากไม่ให้รู้แล้วยังทำจิตของเรา
ให้มืด คือหลับตาแล้วเรามืด จนกระทั่งเราไม่รู้เลยเบื้องหลัง
ของความมืดมีความสว่าง มีความลับของชีวิตที่เกี่ยวข้องกับ
ตัวเราสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลายอยู่ตรงนี้
สิ่งที่เขาบดบังใจให้มืด เรียกว่า นิวรณ์ ๕
ตั้งแต่ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะ-
กุกกุจจะ วิจิกิจฉา
พญามารดึงใจของเราไปตรึงติดไว้กับสิ่งภายนอก ติดใน
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ติดในลาภยศสรรเสริญ
แบบโลกๆ แล้วให้มีความโกรธ ความผูกพยาบาท คับแค้นใจ
อะไรกันต่างๆ เหล่านั้น
ให้จิตของเราไปวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านั้นซึ่งอยู่ภายนอก
แล้วให้สงสัยในเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่เรื่องภพ เรื่องชาติ เรื่อง
อะไรสารพัด แม้ผ่านด่านต่างๆ มาได้ก็ยังสงสัยตัวเองว่า เรา
จะทำได้ไหม ลังเลสงสัยอยู่อีกเยอะแยะเลย ตรึงไปติดเหล่า
นั้น จิตก็จะไปคิดวนๆ กับสิ่งเหล่านั้น เอาไปติดกับความฟุ้งใน
เรื่องสารพัด เรื่องความท้อ ความง่วง อะไรต่างๆ แบบโลกๆ
เมื่อถูกบดบังในความไม่รู้และนิวรณ์ทั้ง ๕ ใจของเรา
ก็เลยมืดบอด ติดทางโลกก็หมดเวลากับชีวิตทางโลก แถม
การกระทำของตัวยังตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมอีก ใจจึงไม่
หยุดเลย มีแต่ทะยานอยากไปในสิ่งเหล่านั้น เป็นความอยาก
ที่ไม่ได้ประกอบไปด้วยปัญญา ในความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง
ชีวิต หรือความเป็นจริงของชีวิต ซึ่งตรงข้ามกับความอยากที่
จะดับทุกข์ อยากพ้นทุกข์ อยากไปนิพพาน อย่างนี้เป็นความ
อยากที่ประกอบไปด้วยปัญญา
เพราะฉะนั้น ใจหยุดนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก มากที่สุดใน
ชีวิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ดังนั้นเราควรจะให้เวลาเกี่ยวกับเรื่อง
ใจหยุดนิ่งให้มากๆ เราจะได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง เข้าถึง
เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต และที่สำคัญจะได้สะสางธาตุ
ธรรมเห็นจำคิดรู้ของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ จนกระทั่งธาตุแห่ง
ความบริสุทธิ์เข้ามาแทนที่ธาตุไม่บริสุทธิ์เหล่านั้น
ธาตุแห่งความบริสุทธิ์ก็จะมาพร้อมกับความสุข ความ
สะอาด ความสว่าง ความสงบ ความสูงส่งของจิตใจ เป็นต้น
และความรู้ต่างๆ มากมายไปตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นความรู้
แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้ง เพราะความสว่างภายในเกิด ทำให้
เราเห็นดวงธรรม เห็นกายภายใน เห็นชีวิตที่ซับซ้อนอยู่ภายใน
ที่ลึกซึ้งเข้าไปเรื่อยๆ เห็นเป้าหมายของชีวิตได้ชัดเจน พลังใจ
ก็จะมุ่งไปเพื่อขจัดสิ่งที่เป็นมลทินของใจให้หมดไป ใจก็จะใส
สะอาดบริสุทธิ์ สว่างไสว สว่างเข้าไปเรื่อยๆ
เวลาที่เหลืออยู่นี้ ให้ลูกทุกคนหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ
สบายๆ ให้ใจใสๆ ใจเย็นๆ ให้ไปถึงความสว่าง ให้เข้าไปถึง
ดวงธรรมภายในให้ได้ ให้เข้าไปถึงกายภายใน กระทั่งถึงกาย
ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานแล้ว คือกายธรรม ถึงพระธรรมกายให้ได้
กายองค์พระที่ใสที่บริสุทธิ์สวยงามมาก ประกอบด้วยลักษณะ
มหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ เกตุดอกบัวตูม ใสเกินความใส
ใดๆ ในโลก นั่งสงบนิ่งอยู่บนแผ่นฌาน ให้ต่างคนต่างนั่งกัน
ไปเงียบๆ นะ
วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก ๓ บทที่ ๑๗ www.dhamma01.com
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุครับ