วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก อย่าเป็นใบลานเปล่า ต้องเข้าถึงธรรมให้ได้

การนั่งสมาธิ จากหนังสือ ง่ายแต่ลึก ๓ บทที่ ๑๙ อย่าเป็นใบลานเปล่า ต้องเข้าถึงธรรมให้ได้
วันพรุ่งนี้ขึ้นอยู่กับวันนี้
หากทำดีก็ต้องดีซิลูกเอ๋ย
มันขึ้นอยู่กับเราใช่อื่นเลย
อยากเสบยก็ทำให้ใจสบาย
หากลูกหวังอยากเป็นนักรบกล้า
จงอุตส่าห์ฝึกฝนตนขวนขวาย
ให้นิ่งหยุดถึงจุดได้ธรรมกาย
สิ่งที่หมายจะสมหวังดังตั้งใจ
ตะวันธรรม

          ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ หลับตาเบาๆ พอ
สบายๆ ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์
ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง แล้วก็หยุดใจไปที่ศูนย์กลางกายฐาน
ที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้น
มา ๒ นิ้วมือ ให้เอาใจหยุดนิ่งๆ อย่างสบายๆ
       แล้วก็ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ ที่ใส
เหมือนกับเพชรที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย หรือกลางองค์
พระใสๆ อย่างใดอย่างหนึ่งนะ นึกไปอย่างสบายๆ ให้ใจหยุด
ใจนิ่งๆ ต่อเนื่องกันไป ประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมา
อะระหัง ภาวนาไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ

ต้องฝึกให้ได้ทุกเวลา ทุกภารกิจประจำวัน

        ใจหยุดเป็นที่สุดของทุกสิ่งที่เราปรารถนา
เช่น ความสุขที่แท้จริง ความบริสุทธิ์ หรือความ
รู้แจ้งแทงตลอดในสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้ง
หลาย อยู่ที่ใจหยุดนิ่งๆ อย่างเดียว หยุดจึงเป็น
ตัวสำเร็จ ที่เราจะต้องฝึกกันให้ได้ ฝึกกันไปทุก
วัน ให้สม่ำเสมอ

        หยุด ตรงข้ามกับคำว่า อยาก ที่จะดึงใจของเราให้หลุด
พ้นจากกลางกาย ไปติดในเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่เกิดประโยชน์
แต่ใจหยุดจะทำ ให้เราเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ถึงพุทธรัตนะ
ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเรา
สิ่งอื่นไม่ใช่
        การที่เรามีที่พึ่งที่ระลึกอย่างนี้ จะทำให้เราอบอุ่นใจ แล้ว
ก็ปลอดจากภัยทั้งหลาย ภัยในอบาย ภัยในสังสารวัฏ เพราะ
ฉะนั้นก็จะต้องขยัน ทำความเพียรให้สม่ำเสมอ อย่าท้อใจ
แม้ว่าเรายังนั่งไม่เห็นอะไร มันยังมืดตื้อมืดมิดอยู่ก็ตาม
       ให้ฝึกไปเรื่อยๆ ในทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน ทุก
วันทุกคืนควบคู่กับภารกิจประจำวัน ฝึกเอาไว้ เพราะนี่คือ
งานที่แท้จริงของเรา เป็นกรณียกิจ กิจที่สำคัญอย่างยิ่งของ
การเกิดมาเป็นมนุษย์ จริงๆ แล้วแม้แต่เทวดาก็จะต้องฝึก
ใจให้หยุดนิ่ง ถ้าไม่ฝึก ใจก็จะเพลินอยู่ในกามของทิพย์ หรือ

ทิพยสมบัติ ซึ่งแม้จะมีความสุข แต่มันก็น้อยกว่าสุขที่เข้าถึง
พระรัตนตรัยในตัว
       หมั่นฝึกให้ได้ทุกวัน อย่าให้มีอะไรมาเป็นข้ออ้าง ข้อแม้
หรือเงื่อนไข ทำให้เราเกียจคร้าน หรือเลื่อนการฝึกออกไป
ต้องทำทุกวัน อย่าไปคอยความพร้อม เพราะว่าความพร้อม
มันอยู่ที่เรา ถ้าเราตั้งใจทำเดี๋ยวนี้ มันก็พร้อมเดี๋ยวนี้

หมั่นสังเกต

      ฝึกไปเรื่อยๆ แล้วพยายามหมั่นสังเกตดูว่า เราทำถูกหลัก
วิชชาไหม ซึ่งถ้าทำถูกหลักวิชชาจะต้องเข้าถึงพระรัตนตรัย
กันอย่างแน่นอน
       หมั่นสังเกตดูว่า เราทำตึงเกินไปไหม ตั้งใจมากเกินไป
หรือเปล่า มีความทะยานอยาก อยากได้ความสงบ อยากเห็น
ดวงใส อยากเห็นองค์พระ อย่างที่คนอื่นเขาเห็นมากเกินไป
ไหม เพราะความอยากจะทำ ให้เราตั้งใจมาก แล้วจะไปเค้น
ภาพให้มันทะลักเข้ามาในท้อง ซึ่งผลก็คือ ความไม่สบาย
กาย ร่างกายจะตึง เกร็ง เครียด แล้วความท้อ ความน้อยใจ
ก็จะตามมาในภายหลัง
       หรือว่าเราย่อหย่อนเกินไป นั่งหลับตาจริง ทำสมาธิจริง
แต่ปล่อยใจให้ฟุ้งบ้าง เคลิบเคลิ้มบ้าง กระจัดกระจายไปในที่
ต่างๆ บ้าง อย่างนี้นั่งก็เหมือนกับไม่ได้นั่งนั่นแหละ เพราะ
มันหย่อนเกินไป

       ถ้าพอดี ไม่ตึง ไม่หย่อน แม้ยังไม่มีแสงสว่างมาให้ดู ไม่
ได้เห็นดวงธรรม กายภายในหรือว่าองค์พระก็ตาม แต่มันจะ
รู้สึกสบาย ตั้งแต่ไม่สุขกับไม่ทุกข์ แล้วตัวก็จะเริ่มโล่ง โปร่ง
คือตัวจะโล่งๆ กลวงๆ เหมือนมีอุโมงค์ภายในตัวเรา แต่เป็น
อุโมงค์แห่งความใสสว่าง ตัวจะเบา กายเบา ใจเบา เหมือน
จะเหาะจะลอยได้ ตัวพองโตขยายใหญ่ขึ้น แล้วก็ไม่เมื่อย แม้
ยังไม่มีอะไรมาให้ดูใหม่ๆ เราจะรู้สึกสบาย มีความพึงพอใจ
กับอารมณ์ที่เราได้ในตอนช่วงนั้น แล้วก็ไม่กังวลกับการเห็น
เราจะมีความรู้สึกว่าเวลามันหมดไปเร็ว ซึ่งแตกต่างจากวัน
ก่อนๆ ที่เวลาเท่ากันแต่เรามีความรู้สึกว่ามันยาวนาน นั่น
คือข้อสังเกตนะ
       ถ้าเราทำถูกหลักวิชชา ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรยาก แค่หยุดแค่
นิ่งอย่างสบายๆ แล้วไม่ต้องไปกังวลอะไรทั้งสิ้น แม้แต่ความ
ฟุ้งที่เกิดขึ้นก็ไม่เป็นอุปสรรค เราก็ไม่ต้องไปเพ่งไล่ความฟุ้ง
ออกไป หรือพยายามไม่ให้มันฟุ้ง ให้วางใจนิ่งๆ เฉยๆ

ประสบการณ์จะก้าวหน้าเร็วขึ้น

       ฝึกทุกวันในทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะอาบน้ำอาบท่า เข้า
ห้องน้ำ ห้องส้วม จะรับประทานอาหาร หรือจะทำอะไร ว่างๆ
นิ่งๆ ก็ฝึกไว้ ฝึกนิ่งๆ วันละสัก ๕ นาที ในอิริยาบถอื่น ฝึก
เข้าไว้เรื่อยๆ ประคองใจอย่างนี้ทั้งวัน แล้วพอถึงเวลาเรามา
นั่งจริง ใจมันก็จะรวมได้ง่าย แค่เราทำนิ่งๆ เฉยๆ หยุดนิ่ง
เดี๋ยวมันก็จะค่อยๆ ปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ ไปเรื่อยๆ จาก
ฟุ้งมาก มาฟุ้งน้อย จากฟุ้งน้อยก็ไม่ฟุ้ง แล้วตัวก็โล่ง โปร่ง

เบา สบาย ตัวขยาย กระทั่งหายไปทั้งตัวเลย ตัวหายเหมือน
เราไม่มีตัวตน คล้ายๆ เรานั่งเคว้งคว้างอยู่กลางอวกาศ แล้ว
มันก็จะค่อยๆ ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ
       ยิ่งเราฝึกทุกวัน เราก็จะเข้าถึงอารมณ์นี้ได้เร็วขึ้น ซึ่ง
ที่ผ่านมาเราอาจใช้เวลาเป็นชั่วโมง กว่าใจจะโล่ง โปร่ง เบา
สบาย ตัวขยาย พอเราฝึกทุกๆ วัน บ่อยๆ เอาใจใส่ เวลามันก็
จะลดลงไปเรื่อยๆ ในการที่จะเข้าถึงจุดตรงนี้ ถึงประสบการณ์
ภายในอย่างนี้ จากชั่วโมงก็เหลือครึ่งชั่วโมง หรือ ๑๕ นาที
หรือ ๕ นาที กระทั่งพอเราหลับตามันก็นิ่งเลย พอนิ่งก็โล่ง
เลย ตัวขยายเลย
       ต้องฝึกบ่อยๆ แล้วเดี๋ยวความสว่างก็จะมาเอง เมื่อใจ
เราห่างจากนิวรณ์ เครื่องกั้นจิตไม่ให้บริสุทธิ์ มันก็จะมีความ
สว่างทีละนิดๆ มีบางคนเท่านั้นที่มั่นพรึบขึ้นมาเลย แต่นานๆ
ก็จะเจอสักคนหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็จะค่อยๆ เหมือนฟ้าสางๆ แล้ว
ก็สว่างเหมือนตอน ๖ โมงเช้า ๗ โมง แล้วก็จะค่อยๆ เพิ่มเวลา
ขึ้นไปเรื่อยๆ เราก็ต้องเพียรฝึกต่อไป ฝึกไปเรื่อยๆ ทุกวัน
สม่ำเสมอ
       แล้วก็หมั่นสังเกตเมื่อเราเลิกหรือลืมตาขึ้นมาแล้ว วันนี้
เราทำอย่างไร เราถึงเข้าสู่ความสงบ สู่แสงสว่างได้เร็ว หรือ
วันนี้เราทำอย่างไรถึงช้า เมื่อเข้าถึงจุดตรงนั้น ก็ค่อยๆ สังเกต
ไป ตรึกไปเรื่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ

       หัดตัดใจ ตัดอารมณ์ต่างๆ เครื่องกังวล ใจก็จะมาอยู่ตรง
นี้ได้เร็วเข้า ความสว่างก็จะค่อยๆ เพิ่มพูนมากขึ้น จนกระทั่ง
ถึง ๘ โมง ๙ โมง ๑๐ โมงถึงเที่ยงวัน มันก็จะเป็นขั้นเป็นตอน
ของมันไป อยู่ที่การฝึกฝน เมื่อมาถึงตรงนี้ การเปลี่ยนแปลง
ของจิตใจเราก็จะเกิดขึ้น คือ เราอยากจะคิดแต่เรื่องดีๆ พูด
แต่เรื่องดีๆ แล้วก็ทำแต่เรื่องดีๆ สิ่งที่ไม่ดีเราก็ไม่อยากจะทำ
หรอก เวลาใจมันใสมันสว่าง

ดวงปฐมมรรค ต้นทางพระนิพพาน

       พอเราฝึกไปอีก ในกลางความสว่างเจิดจ้า มันก็จะเริ่ม
เห็นดวงใสๆ เกิดขึ้นเอง ลอยขึ้นมาจากฐานที่ ๖ ซึ่งอยู่ใน
ระดับเดียวกับสะดือในกลางท้อง เป็นดวงใสๆ อย่างเล็กขนาด
ดวงดาวในอากาศ อย่างกลางขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือใหญ่กว่านั้น
หรือโตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ เป็นต้น
       ดวงธรรมดวงแรกปรากฏขึ้น มันจะสุกใส อย่างน้อยก็
เหมือนน้ำใสๆ เหมือนกระจกคันฉ่องที่ส่องเงาหน้าใสๆ เหมือน
เพชรที่ต้องแสงบ้าง หรือใสกว่านั้น ใสเกินใส ก็ปรากฏเกิดขึ้น
นั่นแหละ คือ ดวงปฐมมรรค หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ตามที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเราท่านบัญญัติเอาไว้ ดวงใสๆ
ปรากฏ
       เราก็ต้องฝึกให้เห็นชัดทั้งหลับตาและลืมตา ในทุกอิริยาบถ
หลับตาก็ชัด ค่อยๆ ลืมตาขึ้นก็ยังชัดอยู่ที่กลางกาย จะนั่ง

นอน ยืน เดิน หกคะเมนตีลังกาอย่างไรในทุกอิริยาบถ มันก็
ยังชัดใสแจ่ม ซึ่งตอนนี้ก็จะยิ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน
การดำเนินชีวิตของเรามากขึ้น คือ จะคิดดีมากขึ้น พูดดีมาก
ขึ้น ทำดีมากขึ้น ใจอยากจะสั่งสมแต่ความดี จะละชั่ว จะทำ
ดี อยากจะทำใจให้บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
       เมื่อดวงใสๆ นี้ปรากฏ มาถึง ณ ตรงนี้เราก็ปิดประตู
อบายแล้ว เปิดประตูสวรรค์นิพพานแล้ว อย่างน้อยก็ไปสู่สุคติ
ภพ ที่ว่าเปิดประตูนิพพาน คือ ดวงธรรมใสๆ คล้ายดวงแก้ว
นี้คือต้นทางที่จะไปสู่อายตนนิพพาน
       ดวงธรรมตรงนี้กับดวงแก้ว มันคล้ายกันตรงที่กลมรอบ
ตัว แต่ความใสแตกต่างกัน ความสว่างก็ต่างกัน ความสุขก็
ต่างกัน ความสงบต่างกัน ความสะอาดของดวงจิตต่างกัน ต่าง
กับการที่เราเห็นดวงแก้วภายนอก มันจะสะอาด สว่าง สงบ
จะมีความสุข อย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อนเลย ใจก็จะตั้งมั่น
อยู่ที่ตรงนี้ หลับตา ลืมตา นั่ง นอน ยืน เดิน มันก็จะอยู่ตรงนี้
เป็นดวงใสๆ จะมีความเบิกบาน จะรู้จักคำว่า เบิกบาน
ต่อเมื่อเห็นดวงใสๆ หรือเข้าถึงดวงธรรมดวงแรก ดวงธัมมา
นุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือดวงปฐมมรรคเบื้องต้น ที่จะไปสู่
อายตนนิพพาน
       เราก็ฝึกทำให้ชำนาญ อย่าชะล่าใจว่า “เออ เราจะทำ
เมื่อไรก็ได้” มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะจิตใจเรายังไม่มั่นคง
ยังโลเลอยู่ ถ้ามีเรื่องภารกิจหยาบๆ เข้ามา มันก็จะดึงใจออก
ไปติด ไปคิด ไปพูด ไปทำเรื่องหยาบๆ ความละเอียดของใจ

ก็จะหย่อนลงไป พอหย่อนไปที่เคยเห็นมันก็จะเลือนราง พอ
เลือนรางเราก็อยากจะเห็นอย่างเดิมอีก ก็จะตั้งใจมากเกิน
ไป ยิ่งตั้งใจมันก็จะยิ่งเลือนรางหายไปเลย แล้วความกลุ้มก็
จะเข้ามาแทนที่ ความเสียดายที่เคยได้อะไรต่างๆ เหล่านี้ก็
จะเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อได้ดวงใสแล้ว ก็จะต้องรักษาเอาไว้ให้
ยิ่งชีวิตทีเดียว

ใบลานเปล่า

       มนุษย์จำนวนมากที่มาเกิดไม่เคยเห็นดวงใสในตัวเลย
อย่าว่าแต่คฤหัสถ์เลย แม้แต่นักบวชก็เหมือนกัน ดวงใสนี้
ยังไม่เคยเห็น จะจบปริยัติมาถึงประโยคอะไรก็แล้วแต่ จะ
แตกฉานทางด้านปริยัติ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเรียกว่า
ใบลานเปล่า

       พวกที่เป็นแบบใบลานเปล่า ยิ่งแตกฉาน
ยิ่งเป็นนักคิด ก็คิดไปเรื่อยเปื่อยไปตามทัศนะ
ของตน แต่ความจริงก็ยังได้ชื่อว่า ใบลานเปล่า
เพราะว่ายังเข้าไม่ถึงดวงธรรมภายใน

       นี่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เข้าถึงอย่างนี้ ถึงแล้ว
ก็เห็นไปตามลำดับ เห็นกายในกาย กระทั่งไปถึงกายธรรม
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
       นักคิดทางทฤษฎี ที่เขาเรียนปริยัติมามากๆ เป็นนักคิด
นักพูด นักเขียน ก็มักจะมีความมั่นใจว่า ต้องปริยัติอย่างเดียว

ไม่ต้องปฏิบัติ ทั้งหมดมีอยู่ในปริยัติ แล้วก็บอกปริยัติต้อง
มาก่อนปฏิบัติ เขาก็จะยืนยันกันอย่างนี้ ซึ่งจริงๆ เขาพูดน่ะ
ถูกครึ่งเดียว มันขึ้นอยู่กับว่าจับตอนไหน ถ้าจับตอนพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ตอนเป็นบรมโพธสัตว์ พระองค์ปฏิบัติก่อนนะ ถึง
จะเข้าไปถึงความรู้ แล้วก็ถ่ายทอดออกมาเป็นคำสอนที่เรียกว่า
ปริยัติ คือพระองค์ก็เรียนตามความรู้จากครูบาอาจารย์ต่างๆ
มาทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ แต่ก็ดับทุกข์ไม่ได้ ในที่สุด
ก็ต้องทิ้งความรู้ทั้งหมดที่เคยเรียนมา แล้วก็มาลงมือปฏิบัติ
ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
       โดยทำใจให้หยุดนิ่งแล้วก็ว่างๆ ไม่คำนึงถึงความรู้ที่
เรียนมา เพราะมันเอามาใช้ไม่ได้ หลักสูตรนั้นมันไม่จบ มัน
ค้างคาใจอยู่ แล้วท่านก็มาหยุดนิ่งๆ โดยตั้งมโนปณิธานว่า
“เนื้อเลือดจะแห้งเหือดหายไป เหลือแต่กระดูกหนังช่างมัน
ถ้าหากว่า ไม่หลุดพ้น ไม่พบความรู้ในการดับทุกข์ แล้วยัง
ดับทุกข์ไม่ได้ จะไม่ลุกจากที่” ก็แปลว่าพระองค์ก็ต้องปฏิบัติ
ก่อน ปฏิบัติคือทำนิ่งๆ นั่นแหละ จนกระทั่งเห็นไปตามลำดับ
จนกระทั่งหลุดพ้นไปตามลำดับ วิชชา ๓ ก็บังเกิดขึ้นไปตาม
ลำดับของวิชชา
       นี่ปฏิบัติต้องมาก่อน ในระดับของพระบรมครู ปริยัติมา
ตอนที่ท่านจะสอนพระสาวก สอนนักเรียน สอนมนุษย์ เทวดา
ทั้งหลาย จึงถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด ใช้คำพูดเป็นสื่อของ
ความรู้ แล้วเขาก็บันทึกรวบรวมเป็นพระไตรปิฎก เป็นภาค
ทฤษฎี ปริยัติให้นักเรียนหรือพระสาวกได้ศึกษากันต่อไป เพื่อ

ที่จะได้นำไปปฏิบัติ แล้วก็เข้าถึงปฏิเวธ คือ มีประสบการณ์
ภายใน เช่นเดียวกับพระองค์
       เพราะฉะนั้น ถ้าจะถามว่าอันไหนมาก่อนกัน มันก็ขึ้นอยู่
กับพูดตอนไหน ถ้าหากว่าจะเริ่มจากพระบรมศาสดา ปฏิบัติก็
ต้องมาก่อน และก็ไม่ได้อาศัยความรู้มาจากครูบาอาจารย์อื่นๆ
เลยดังกล่าวนั้นแหละ แต่ว่าเข้าถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัว แล้วด้วยมหา
กรุณาก็อยากจะถ่ายทอดความรู้ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย จึง
เทศน์สอน แล้วก็มีการทรงจำต่อๆ กันมา ด้วยปากต่อปาก
เขาเรียกว่ามุขปาฐะ แล้วก็นำมารวบรวมเป็นตำรับตำรา
       ถ้าสำหรับนักเรียน ปริยัติก็ต้องมาก่อน เพราะเรียนความ
รู้จากครูบาอาจารย์ ก็ต้องศึกษาภาคทฤษฎีแล้วก็นำไปสู่การ
ปฏิบัติ เพื่อให้ถึงปฏิเวธ ส่วนของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์
ปฏิบัติแล้วก็เข้าถึงปฏิเวธ มีประสบการณ์ภายใน หลุดพ้น
       แต่นักคิดปัจจุบันนี้ ก็จะติดอยู่ในตำรับตำรา จะยืนยัน
เฉพาะปริยัติอย่างเดียวว่า ทุกอย่างมีอยู่ในปริยัติ ปฏิบัติไม่มี
ซึ่งมันก็ไปค้านกับคำสอนของพระบรมศาสดา แต่เนื่องจาก
มีชื่อเสียงพูดอะไรคนก็ฟัง แต่ฟังกันไปก็จะเป็นประเภทใบ
ลานเปล่าอย่างนั้น
       เพราะฉะนั้น ลูกทุกคนก็จะต้องเดินตามรอยของพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า คือ เมื่อเราฟังภาคทฤษฎีแล้ว เราก็นำมา
ปฏิบัติเลย เพราะการพิจารณาแล้วปล่อยวาง มันใช้เวลาแค่
นาทีสองนาทีก็จบแล้ว ว่าทุกอย่างสรรพสิ่งทั้งหลายสรรพสัตว์

ทั้งปวงล้วนเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ซึ่งความจริงมันก็เป็น
อย่างนั้น ไม่ต้องใช้เวลานานเลย นาทีสองนาทีก็จบแล้ว หรือ
กายมนุษย์มีการแปรปรวนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะ
ไปสู่จุดสลาย คือ เชิงตะกอนนั่นแหละ ความเสื่อมปรากฏขึ้น
มาเรื่อยๆ แล้วก็จะสลายไปในที่สุด ซึ่งเราใช้ความนึกคิดตรง
นี้แค่นาทีเดียวก็จบแล้ว
       แล้วหลังจากนั้นก็มาฝึกหยุดนิ่ง ทำให้มันได้ เดี๋ยวก็จะ
เป็นไปตามลำดับ ดังที่ได้กล่าวมาเบื้องต้นนั่นแหละ คือ โล่ง
โปร่ง เบา สบาย ตัวขยาย แล้วก็ตัวหายไป แสงสว่างเกิดขึ้น
ดวงธรรมปรากฏขึ้น แล้วจากดวงธรรมดวงแรก เดี๋ยวก็จะ
ก้าวไปถึงดวงธรรมดวงถัดๆ ไป กระทั่งเห็นกายในกาย กาย
มนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม กระทั่งเข้าถึงกายธรรม พอ
ถึงกายธรรมแล้วตอนนั้นแหละ เราถึงจะมั่นใจว่า สรณะที่พึ่ง
ที่ระลึกที่แท้จริง คือ พระธรรมกายในตัว หรือพระรัตนตรัย
ในตัวนี่เอง จะเข้าใจแล้วก็จะซาบซึ้งเมื่อเข้าถึงกันจริงๆ
       ทีนี้พอถึงแล้วก็หมั่นทำให้ได้ตลอดเวลาทั้งหลับตา ลืมตา
นั่ง นอน ยืน เดิน ฝึกไปเรื่อยๆ เลย เราก็จะเห็นองค์พระอยู่
ตลอดเวลา เดี๋ยวท่านก็ขยายขึ้นมาบ้าง มาเป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกับตัวเรา ครอบตัวเราก็มี ผุดผ่านมาในกลางกาย เพิ่ม
ขึ้นมาอีกก็มี ขึ้นมาเรื่อยๆ ต่อกันไป ไม่ขาดสายเลย ผุดผ่าน
เข้ามาในกลางกายในช่วงที่ความรู้สึกของกายมนุษย์หมดไป
แล้ว แล้วจะมีความรู้สึกว่าเป็นพระ ตอนที่เข้าถึงพระ และ
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระในตัวนั้นแหละ มันจะใสสว่าง

วิชชาธรรมกายศึกษาด้วยกายธรรม

       แล้วพอถึงตอนนี้ เข้าถึงองค์พระ เห็นองค์พระตลอด
เวลาแล้ว จะศึกษาวิชชา ๓ อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ศึกษาก็ได้แล้ว ศึกษาวิชชา ๓ ก็ศึกษาด้วยธรรมกาย จึงได้
เรียกว่า วิชชาธรรมกาย
       คำว่า วิชชา เขาเขียนแตกต่างจาก วิชา ทางโลก คือ
มี ช. ช้าง ๒ ตัว
       วิชชา แปลว่า ความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้ง ไม่
ได้เกิดจากการคิดคำนึง คาดคะเน หาเหตุหาผลด้วยตรรกะ
หรือจากการอ่าน การฟัง แต่เป็นความรู้แจ้งที่เกิดจากการ
เห็นแจ้ง เมื่อใจหยุดนิ่งแล้ว มันจะสว่างเป็นอันหนึ่งอันเดียว
กับองค์พระภายในแล้ว
       พระพุทธเจ้าพระองค์ก็จะใช้กายธรรมนี่แหละศึกษาวิชชา
ตั้งแต่กายธรรมพระโสดาบัน หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา ศึกษา
วิชชาปุพเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติหนหลังได้ พอ
ไปถึงตรงนั้นท่านก็อยากจะรู้ว่า ก่อนมาเกิดท่านมาจากไหน
แล้วก็นิ่งไปในกลางกายธรรม ด้วยบารมีที่ได้สั่งสมมาก็ส่งผล
ตอนนี้สังโยชน์ได้ละไปบางส่วนแล้ว จางลงไปแล้ว
       เพราะฉะนั้น การรู้เห็นอะไรก็แจ่มแจ้ง เพราะบารมีท่าน
มาก ก็จะเห็นเป็นเรื่องราว เป็นภาพต่อเนื่องกันไปว่า ก่อน
มาเกิดท่านมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นท้าวสันตดุสิต ก่อนที่
จะมาเป็นท้าวสันตดุสิตท่านเป็นอะไรก็เห็นไปเรื่อยๆ มาจาก

ตรงไหน สร้างบารมีมาอย่างไร สาวไปเรื่อยๆ ดูไป มองไป
แล้วก็รู้เรื่องราว เพราะว่ามันเห็นเป็นภาพ เกิดขึ้นมาพร้อม
กับความเข้าใจแจ่มแจ้งในเวลาเดียวกัน ก็ศึกษากันอย่างนี้
ด้วยธรรมกาย เขาเรียกว่า วิชชาธรรมกาย
       ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติหนหลังของตัว
       จุตูปปาตญาณ ศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรมว่า ทำกรรม
อย่างนี้ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ จะไปเกิดในภพภูมิอย่างนั้น
อย่างนี้ ก็จะทำให้เข้าใจถึงความแตกต่างของมวลมนุษยชาติ
และสรรพสัตว์ทั้งหลาย มันมีเหตุผลอย่างไร ก็จะเห็นเรื่อง
ราวไปเลย
       การเกิดขึ้นและการดับไปของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ประกอบ
กรรมอย่างนี้ พอตายจากนี้ ก็ไปเกิดตรงโน้น เหมือนปลาใน
ท้องทะเลที่โผล่ตรงนี้ ผุดตรงโน้น ดำน้ำตรงนี้ ไปโผล่ตรงโน้น
ตายจากมนุษย์ไปเป็นอะไรต่ออะไรสารพัด ด้วยวิบากกรรม
อย่างนั้นอย่างนี้ก็เห็นเป็นเรื่องเป็นราวไป ก็เป็นวิชชาที่สอง
       อาสวักขยญาณ แล้วถึงสาวไปหาเหตุว่า ทำอย่างไรถึง
จะไม่เกิดอีก ก็มองดู ตรวจตราดู เพราะฉะนั้นต้องเห็นทั้งนั้น
แหละ ไม่เห็นไม่ได้หรอก คิดไม่ออก คิดไม่มีทางหมดกิเลส
       พระองค์เห็นไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนกระทั่งหลุดหมดเลย
จากกิเลสทั้งหลาย ด้วยบารมีที่เต็มส่วน กำลังของบารมีส่งผล
ให้เต็มส่วน ฉุดท่านหลุดไปเลย ไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ
กายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สว่างไสว จึงปฏิญาณตน

ว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลุดพ้นจากกิเลส หลุดพ้นจาก
กฎแห่งกรรม หลุดพ้นจากกฎของไตรลักษณ์ หลุดพ้นจากภพ
ทั้ง ๓ แล้วก็เข้าสู่นิพพานภายใน ที่เข้าด้วยกายมนุษย์ เขา
เรียกว่า อุปาทิเสสนิพพาน ด้วยกายอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เสวยวิมุตติสุข คือ สุขที่หลุดพ้นจากกิเลส

       ความสามารถทั้งหมดเหล่านี้ ที่มีอยู่ใน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีอยู่ในตัวของเราและ
มวลมนุษยชาติทั้งสิ้น แต่ว่าเราไม่เคยศึกษากัน
หรือศึกษาแล้วก็ไม่ได้เอาใจใส่ ไม่ได้ให้ความ
สำคัญกันอย่างจริงจัง เราจึงยังไม่รู้ไม่เห็นอย่าง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระอริยสาวกทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับความเพียร ทำความเพียร
แล้วทำให้ต่อเนื่องกันไป ถ้าทำกันจริงๆ แล้วก็
ต้องเข้าถึงกันทุกคน

       ทั้งหมดนี้คือกรณียกิจ คืองานที่แท้จริงของมวลมนุษยชาติ
ที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ต้องทำกันอย่างนี้ ลูกทุกคนเป็นผู้
มีบุญที่สั่งสมกันมาดีในระดับหนึ่งทีเดียว จึงมาถึง ณ ตรงนี้
เพราะฉะนั้นเป็นโอกาสที่ดีของเรา ที่เราจะเข้าถึงพระรัตนตรัย
ในตัว ก็อย่าปล่อยให้โอกาสนี้เป็นวิกฤต ให้ตั้งหน้าตั้งตาฝึกใจ
ให้หยุดให้นิ่งกันไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ สักวันหนึ่งก็จะเป็น
วันแห่งความสมปรารถนาของเรา

อธิษฐานจิตตั้งผังชีวิต

       ตอนนี้เราก็หยุดนิ่งๆ สบายๆ ตรึกระลึกนึกถึงบุญที่เรา
ทำผ่านมา จนกระทั่งมาถึงวันนี้ เอามาเป็นบุญต่อบุญ เราจะ
ได้อธิษฐานจิตไปดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์ ไม่ให้
พลัดกันเลย ภพชาติต่อไปก็ให้สมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์
สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญสุข มรรคผลนิพพาน
วิชชาธรรมกาย เกิดมาก็ให้ระลึกชาติได้ ให้เห็นธรรมะกัน
ตั้งแต่ยังเยาว์วัย สร้างบารมีเรื่อยไปจนกว่าจะหมดอายุขัยไป
ทุกภพทุกชาติตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม
       ให้บังเกิดในร่มเงาของพระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย
ได้เกิดในครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มีสิ่งแวดล้อมที่เกื้อหนุน
ต่อการสร้างบารมีของเรา จะมีพวกพ้องบริวารหมู่ญาติก็ให้
เป็นคนดี มีศีล มีธรรม เป็นบัณฑิต เป็นนักปราชญ์ มีทรัพย์
แล้วก็อย่าได้ตระหนี่ อย่าได้มีมานะทิฏฐิ ให้ใช้ทรัพย์เป็นด้วย
ดวงปัญญาของเราในการสร้างบุญต่อบุญบารมีต่อบารมีไป
เรื่อยๆ จนถึงจุดหมายปลายทาง
       ปัจจุบันชาตินี้เรากำลังสร้างบารมีอยู่ ก็ให้บุญทุกบุญนี้
ไปเชื่อมสายสมบัติ ให้เราได้มาใช้สร้างบารมีอย่างไม่รู้จักหมด
จักสิ้น ที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ให้หาย ให้แข็งแรง อายุขัยยืนยาว
สร้างบารมีกันไปนานๆ ปฏิบัติธรรมะก็ให้พบพระธรรมกาย
ครอบครัวก็ให้เป็นครอบครัวธรรมกาย ให้มีสมบัติใหญ่ไหล
มาเทมา ให้เราได้ใช้สร้างบารมีอย่างไม่รู้จักหมดจักสิ้น หมด
หนี้สิน เหลือกินเหลือใช้ เหลือไว้สร้างบารมีอย่างนี้ เป็นต้น

       แล้วก็อธิษฐานนึกถึงบุญอุทิศส่วนกุศลไปยังบรรพบุรุษ
บุพการี หมู่ญาติที่ละโลกไปแล้ว ไปอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม ให้
บุญนี้ได้ไปถึงท่านเหล่านั้น ที่มีทุกข์มากก็ให้ทุกข์น้อย ที่มี
ทุกข์น้อยก็ให้พ้นทุกข์ ที่มีสุขน้อยก็ให้สุขมาก ที่มีสุขมากก็
ให้มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วบุญนี้ให้ถึงแก่คู่กรรมคู่เวรเรา
จะได้เป็นอโหสิกรรมกันไป แล้วก็ถึงแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ไม่มีประมาณ ให้ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะ
วันอาทิตย์ที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก 3 บทที่ 19 www.dhamma01.com

1 thought on “วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก อย่าเป็นใบลานเปล่า ต้องเข้าถึงธรรมให้ได้”

  1. น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับโอวาท
    คำสอนและธรรมทานทรงคุณค่า
    จากหลวงพ่อธัมมชโย#คุณครูไม่ใหญ่
    ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุครับ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *