วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก ยอม หยุด เย็น

ตรึกแก้วต้องนึกน้อม เบาเบา
แค่ว่ามีในเรา อยู่แล้ว
อย่าตรึกเพ่งเขม็งเอา จริงเน้อ
เดี๋ยวเครียดเพราะตรึกแก้ว เพ่งแล้วกลางกาย
ตะวันธรรม

(เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ…………)
…ตรึก ก็คือการนึกถึงดวงใสๆ อย่างสบายๆ คล้ายๆ กับเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย หรือสิ่งที่เรารัก
ถ้าคุ้นเคยมากเห็นจนเจนตาก็จะนึกได้ง่าย
รักมากก็นึกได้ง่ายเหมือนกัน ให้นึกคล้ายๆ อย่างนั้น
ไม่ใช่เพ่งลูกแก้ว ไม่ใช่ไปเค้นภาพ ให้นึกเบาๆ สบายๆ

นึกได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นไปก่อน นึกไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ
ไม่ต้องเร่งร้อน ทำใจให้ใสบริสุทธิ์เยือกเย็น แม้ไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร
ชัดแค่ไหนก็เอาแค่นั้นไปก่อน แล้วก็นึกให้ต่อเนื่อง อย่าให้เผลอจนกระทั่งใจแวบไปคิดเรื่องอื่น
แต่ถ้าอดไปคิดเรื่องอื่นไม่ได้ ก็ปล่อยมันไป ช่างมัน อย่าไปรำคาญ อย่าไปกังวล
อย่าไปคิดว่าความฟุ้งเป็นอุปสรรคต่อการนั่ง ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น เฉยๆ คือ พอรู้ตัวเราก็ดึงใจกลับมาเริ่มต้นใหม่อย่างง่ายๆ
ยอมเริ่มต้นใหม่อย่างง่ายๆ คล้ายๆ กับนักเรียนอนุบาล ยอมตรงนี้ไปก่อน ส่วนมากมักจะยอมกันไม่ค่อยได้
เพราะยอมไม่ได้จึงเกิดปัญหา ทำให้การปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้า

อย่าฟังผ่านนะลูกนะ ตรงนี้สำคัญ เพราะความไม่ยอม บางทีติดมา ๑๐ ปี ก็มี ๑๐ กว่าปี ก็มี บางคน๒๐ ปี
ระหว่างนั้นก็เตือนย้ำบ่อยๆ แต่ก็ฟังผ่าน ไม่ได้เป็นข้อคิดสะกิดใจ จนกระทั่งท้อ เบื่อการนั่ง
ก็มาซักถามดูว่า สาเหตุเป็นเพราะอะไร ถึงได้รู้ว่าเพราะไม่ยอมนั่นเอง ไม่ยอมทำใจ

เหมือนคนไม่มีเงินต้องยอมรับว่าเราไม่มีเงิน นี่ก็เหมือนกัน
เราก็ยอมรับไปก่อนว่ามันมีให้ดูแค่นี้ มันไม่ชัด เหมือนเอาของหรือเอาดวงแก้วไปตั้งไว้ในที่สลัวหรือในที่ไกลๆ มองไปทีไรมันก็ไม่ชัดเจน
ก็ต้องยอมรับก่อนว่ามันมีให้ดูแค่นี้ เราก็ดูไปแค่นี้จะไป
เพ่งแบบคนตาหยี หรือจะไปบังคับไปเค้นให้ชัดยังไงมันก็ไม่ชัด ต้องยอมๆ ไปก่อน

ต้นกล้าไม้ที่ปลูกยังเล็กๆ เราก็ต้องยอมรับว่าจะไปเฆี่ยนไปตีมัน
จะใส่ปุ๋ยแค่ไหน ไปขู่เข็ญไปอ้อนวอนแค่ไหนว่า ให้ออกลูกเดี๋ยวนี้ มันไม่ออกหรอก มีแต่ที่เขาเล่นกลเท่านั้น
แต่ความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น ต้องยอมรับนะลูกนะ อย่าฟังผ่านนะ ยอมรับว่าต้นกล้าอ่อน มันยังไม่มีลูกหรอก ไม่มีดอก ไม่มีผล

ลูกคนไหนที่ทำสวน ทำไร่ ทำนาจะเข้าใจว่ามันต้องยอมรับ
ยอมรับแล้วทำไงต่อ ก็ทำใจสบาย เหมือนผู้เข้าใจชีวิต เข้าใจต้นไม้
เข้าใจเรื่องของประสบการณ์ภายในดีพอสมควร ยอมก่อนนะลูกนะ

ยอมว่ามันมืด ก็ต้องยอมไปก่อนว่ามันมืด ถ้านึกภาพขึ้นมา เห็นได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นไปก่อน
ใจเย็นๆ ทำเหมือนปลูกต้นไม้อย่างที่ยกตัวอย่าง
หมั่นรดน้ำ พรวนดิน ขจัดวัชพืช ใส่ปุ๋ย
ค่อยๆ ประคับประคองกันไป เดี๋ยวกล้านั้นก็จะค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน

ยิ่งให้เงาของเราไปทับต้นไม้ หมายถึงว่า เราจะต้องเอาใจใส่ หมั่นไปดู อย่าเผลอ ทุกอย่างเผลอเป็นเสร็จ ไม่ว่าเรื่องคนสัตว์สิ่งของ
อย่าไปวางใจ เชื่อก็เชื่อแต่อย่าเพิ่งวางใจ ทุกอย่างเผลอไม่ได้
จะเป็นคนสนิทชิดชอบ จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ อย่าเผลอเชื่อ อย่าเพิ่งวางใจ
ต้นกล้าก็เหมือนกัน อย่าเผลอลืมรดน้ำ ลืมไปดู ลืมไปขจัดวัชพืช ลืมพรวนดิน ลืมใส่ปุ๋ย คอยดูว่าอะไรที่จะทำให้ต้นกล้าปลอดภัยแล้ว
ก็เจริญเติบโตอย่างงดงาม เราก็ทำอย่างนั้น

ต้องให้เงาเจ้าของไปทับต้นไม้ เขาอุปมากันอย่างนั้น ใจของเรา
ก็ต้องให้เข้ามาครอบคลุมที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ บ่อยๆ ที่บอกให้ลูกทุกคนก่อนนอนเอาใจวางไว้กลางกาย จะได้หลับฝันดีหรือไม่ฝันเลย
ตื่นเราก็เอาใจไว้กลางกาย เป็นสิ่งแรกที่เราจะต้องนึกถึง
จะเข้าห้องน้ำห้องท่า อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ใจก็หมั่นนึกเอาไว้เรื่อยๆ
ทำความรู้สึกไว้เรื่อยๆ ว่าอยู่ตรงกลาง จะทำมาหากินก็ทำอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นเราก็ต้องยอมรับว่ามีให้ดูแค่นี้ก็ดูแค่นี้
และผลจากการยอมรับอะไรเกิดขึ้น ใจก็เย็น พอใจเย็นหนักเข้า ใจมันก็ใส ไม่มีความขุ่นมัวเลย
พอใจใส ดวงก็ใสตาม ที่มืดก็ใส ที่ไกลก็ใกล้ เหมือนเอาดวงตั้งไว้ไกลๆ ก็ค่อยๆ ใกล้เข้ามาพอจะเป็นเนื้อเป็นตัวเป็นดวงขึ้นมาได้บ้าง ค่อยรู้สึกอบอุ่นใจ ปีติใจ ภาคภูมิใจว่า มันชัดขึ้น
เมื่อใจเราเย็น และยอมรับว่ามันได้แค่นี้ก็แค่นี้

แล้วจะก็มีอานิสงส์ต่อไปอีก ถ้าเรายอมรับต่อไปว่า ตอนนี้ชัดมา ๑๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว เราไม่ไปบีบไปเค้นไปบังคับเลย

ไก่ฟักไข่ให้ออกมาเป็นตัว มันก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน ไม่ใช่ว่านั่งทับปุ๊บ ลูกไก่เจาะกระเปาะไข่ออกมาเป็นตัวเลย มันก็ไม่ใช่
แม่ไก่ยังยอมรับว่าต้องค่อยๆ กกไป เราก็ยอมรับว่า เห็นได้ ๑๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว ก็ทำใจอย่างเดิม

อย่าเปลี่ยนวิธีการเด็ดขาด ไปได้ยินคนอื่นเขามีประสบการณ์ภายในดีกว่าเรา กลับมาคิดจะหาวิธีปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อจะให้ดีเท่าเขา อย่าคิดนะลูกนะ
นั่นโบราณเขาถึงบอกว่า เห็นช้างขี้อย่าไปขี้ตามช้าง
ช้างก็คือช้าง เราก็คือเรา เขาทำได้อย่างนั้น เราคิดแค่นี้พอว่า สักวันหนึ่งเราก็ต้องได้อย่างนั้น
แต่ในวันนี้เรายอมรับว่าเราได้ ๑๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว เราก็ค่อยๆ สั่งสมไป
คงจำกันได้หลวงพ่อบอกว่าไม่มีทางลัดอื่นใดเลยที่จะทำให้เรามีประสบการณ์ภายในที่ยิ่งๆ ขึ้นไป นอกจากความเพียรและทำถูกวิธีเท่านั้น คือ ต้องทำสม่ำเสมอทุกวัน ทั้งวันได้ก็ยิ่งดี ทั้งวันไม่ได้เราก็เอาเป็นช่วงๆ ไป
ทำช่วงเช้าได้ เอ้า วันพรุ่งนี้ก็อาจจะช่วงสาย
แล้วมันก็ค่อยๆ เต็มวันไปเอง

พอใจของเรายอมรับ ใจก็หยุด พอหยุดใจก็เย็น พอเย็นก็เห็นภาพชัดขึ้นกว่าเดิม
จาก ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ก็เป็น ๒๐ เปอร์เซ็นต์ เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน

เหมือนการเลี้ยงลูก ค่อยๆ เลี้ยงก็เห็นการเปลี่ยนแปลงของลูกรักเราได้ชัดเจน
ปลูกต้นไม้ก็เช่นเดียวกันก็เห็นการเจริญเติบโตให้ได้ชื่นใจขึ้นมาเรื่อยๆ ก็ยังต้องยอมอย่างเดิม ยอมรับว่ามันเท่านี้
พอยอมมันก็หยุด พอหยุดมันก็เย็น พอเย็นก็เห็นภาพ เอ้า ชัดกว่าเดิมอีกแล้ว
จาก ๒๐ เป็น ๔๐ เปอร์เซ็นต์ ก็รักษาตรงนี้ อย่าให้เสื่อมลงมา
แม้มันไม่เจริญขึ้นก็ให้คงที่เอาไว้

จำนะลูกนะ จำและทำด้วย รับทราบแล้วก็รับปฏิบัติด้วย
ก็ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ๔๐ เปอร์เซ็นต์ ยอม…หยุด…เย็น ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ ๕๐ เปอร์เซ็นต์
เห็นไหมจ๊ะว่า ถ้าเรายอม…หยุด…เย็น เดี๋ยวก็เห็นจ้าขึ้นเรื่อยๆ เราก็มีความสุขเพิ่มขึ้น และเป็นสุขทุกครั้งที่นั่ง
จะไม่มีความรู้สึกว่าฝืนนั่ง หรือพยายามที่จะนั่งให้เกิดสมาธิหรือให้ใจสงบ

ไปได้ยินใครเขาพูด เขาปฏิบัติดี มีประสบการณ์ภายในก้าวหน้ากว่า เราก็ฟังไว้
ก็ชื่นชมอนุโมทนากับเขา แต่อย่ามาน้อยเนื้อต่ำใจว่า เราไม่เท่าเขา หรือกลับมาเร่งจะให้เท่าเขา เหมือนเขา หรือดียิ่งกว่าเขา อย่าทำนะลูกนะ

เราไปเห็นอีกสวนหนึ่ง โอ้โห ต้นไม้มันใหญ่ สวนที่บ้านเราเพิ่งสูงแค่เมตร แต่สวนอื่นเขา ๕ เมตรไปแล้ว
ก็จะพยายามไปรีด ไปเค้น ไปดึงให้มันยืดขึ้นมา มันไม่ได้นะลูกนะ
มันก็มีขบวนการสั่งสมของมัน
ใจภายในก็เช่นเดียวกันต้องค่อยๆ สั่งสมความละเอียด
และก็หมั่นสังเกตว่า เรามีความสุขเพิ่มขึ้นในการนั่ง
เพราะว่าเราไม่เร่งร้อน เรายอม เราหยุด เราเย็น ยอมรับชีวิต อย่าไป Spoil ชีวิตมันมากนัก
ยอมนะ ใจเย็นๆ สบายๆ มันก็จะเบิกบานยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
ความเบิกบาน ความสุขที่อยากจะนั่งจะเป็นพลังส่งให้เราก้าวหน้าขึ้นทุกวัน

เครื่องเสริมการปฏิบัติธรรม
นอกเวลาเราก็หมั่นสังเกตว่า อะไรจะเป็นเครื่องเสริมให้ใจเราก้าวหน้ากว่านี้ เช่น การปลูกมะม่วง เขาเสริมรากที่โคนต้น จากเดิมรากเดียวต้นเดียวไม่แข็งแรง เอาสัก ๒ ราก ๓ ราก ๕ ราก ให้มันแข็งแรงขึ้น
เอ้า เราก็เสริมสิ รักษาศีล ๕ ของเราให้บริบูรณ์ หรือรักษาศีล ๘ แบบเดินสายกลาง ทุกวันพระ วันโกน หรือหลังวันพระอีกวัน เราก็ถือกันไปแบบสายกลาง เพราะว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องเพศเรื่องเดียว มันยังเกี่ยวพันกับการรับประทาน และอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องเกี่ยวข้องกับสังคม
ส่วนทานบารมีเราก็สั่งสมไป
ศีลเราก็รักษา

แล้วก็สำรวจจิตใจของเราให้มันผ่องใสเสมอ ให้อารมณ์ดีๆอย่าให้ขุ่นมัว
หมั่นดักความคิดในใจว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรเป็นกลางๆ อะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป อะไรไม่ใช่บุญ ไม่ใช่บาป
เราก็หมั่นสังเกต เหมือนร่างกายของเรา นอกจากรับประทานอาหารธรรมดาแล้ว ยังมีอาหารเสริมขึ้นมาอีก
เพื่อพยุงร่างกายให้แข็งแรง
แล้วยังไม่พอยังต้องออกกำลังกาย ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ มันต้องมีเครื่องช่วยเสริมเข้ามาอย่างนี้

ใจก็เหมือนกันนะลูกนะ ให้หมั่นสังเกต หมั่นดักความคิดในใจ
ถ้าเป็นอกุศลเราก็ไม่รับไว้ แต่ถ้ามันเกิดเราก็ทำเฉยๆ มันอยู่กับเราไมน่านหรอก เดี๋ยวก็ผ่านไป มันก็เกิดชั่วคราวเดี๋ยวมันก็ดับ พอเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เดี๋ยวอารมณ์นั้นก็เสื่อมสลายหายไป นี่คือเครื่องเสริม

พอเสริมอย่างนี้หนักเข้า เวลาเรามานั่งธรรมะ ใจจะรวมได้เร็ว
เมื่อวานนี้ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว วันนี้เราก็นิ่งเฉยเริ่มต้นใหม่
เริ่มต้นใหม่มันก็ไป ๕๐ เปอร์เซ็นต์อีกก็ไม่เป็นไร ยอมมันไปก่อน
เราเข้าออกตรง ๕๐ เปอร์เซ็นต์นี้ให้คล่อง ต่อไปจะชำนาญมากเข้า
แต่เดิมนั้นต้องใช้เวลา ๑ ชั่วโมง ถึงจะไปถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์
ต่อมาแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว ต่อมาก็ลดลงมาเรื่อยๆ
จนกระทั่งแค่ ๕ นาที มันก็ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว
ฝึกจนกระทั่งคล่องไปเลยตรง ๕๐ เปอร์เซ็นต์
พอเราไม่เร่งร้อนว่าให้ถึง ๑๐๐เปอร์เซ็นต์ หรือยิ่งกว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ พอทำอย่างนี้หนักเข้า มันก็ก้าวหน้าไปเอง

หนทางที่เราเดินบ่อยๆ หญ้ามันไม่รกหรอก แล้วเราก็จะเจนทาง ตรงไหนมีก้อนอิฐ ตรงไหนมีตอ มีหลุม มีบ่อ เราก็หลบเลี่ยงได้
ทางเดินของใจก็เช่นกัน ทำให้มันคุ้น เดี๋ยวเราก็จะรู้ว่า อ๋อ ตรงนี้มันเป็นหลุม เป็นบ่อ เป็นตอของการปฏิบัติธรรม มันสะดุดทุกทีเวลา
มาถึง
อย่างนี้เราก็สังเกตออก แล้วในที่สุดก็ชำนาญไปเรื่อยๆ จาก ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ก็เป็น ๖๐, ๗๐ , ๘๐ , ๙๐, ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

แม้ได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว ยอม…หยุด…เย็น ก็ยังต้องเอามาใช้นะลูกนะ
ยอมว่าเราเพิ่งได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่คนอื่นเขา ๒๐๐ เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว ยอมไปก่อน เออ ตอนนี้เราถึงดวงนะ แต่เขาถึงกายภายในไปแล้ว ช่างเขานะลูกนะ
อย่าลืมใช้วิธีเดิมวิธีเดียว
คือยอม…หยุด…เย็นเท่านั้น

เหมือนเรารับประทานอาหาร ใช้วิธีเดียว คือ ตักข้าวเข้าปาก
วิธีเดียว ถ้าใส่ทางจมูกต้องเจาะคอ นั่นมันผิดธรรมชาติ
ฟังเสียงก็เหมือนกันวิธีเดียววิธีเดิมนั่นคือ ต้องผ่านช่องหู
เพราะฉะนั้นการทำให้ก้าวหน้าก็ใช้วิธีเดิมวิธีเดียวเท่านั้น

เพราะฉะนั้นเราเห็นดวงชัดใสแจ่มทีเดียวนะ กลมดิ๊ก สว่าง เจิดจ้า
เอ๊ะ ทำไมไม่เห็นกายภายในเหมือนอย่างคนอื่นเขาเห็นล่ะ
เอาล่ะสิ ตัวอุปสรรคพญามารมันสอนเราในตัวแล้วนะ
มันมากระซิบในใจว่า เอ๊ะ เราเห็นดวงขนาดนี้ มันน่าจะเห็นกายแล้วนะ
ทำไมยังไม่เห็น ตัวนั้นมันกระซิบอยู่ในใจ อย่าไปเชื่อนะลูกนะ
เราก็ยังทำ ยอม หยุด แล้วก็เย็นต่อไป เย็นไปเรื่อยๆ ไม่ช้าหรอกจะเร็ว
ทำที่หลวงพ่อบอกจะเร็วมากๆ และนั่งจะมีความสุขทุกครั้ง
ถ้านั่งแล้วไม่มีความสุขก็อย่าไปนั่งมันเลย นั่งไปทำไม
ถ้าอยู่เฉยๆ สุขมากกว่า ก็เพราะว่านั่งผิดวิธีจึงไม่มีความสุข จึงไม่ได้รับความสุขที่เกิดจากการเจริญภาวนา

เพราะฉะนั้นเรายอม ได้ดวงแล้ว แต่ยังไม่เห็นกายก็ช่างมัน
สองตัวนะ “ช่างมัน”
อีกสามตัว คือ “ยอม หยุด เย็น”
ยอมว่าเราหยุดใจได้แค่นี้ ใจมันก็จะได้หยุด แล้วมันจะได้เย็นใจ
พอใจอยู่เย็นมันก็เป็นสุข เราคงเคยได้ยิน อยู่เย็นเป็นสุข อยู่ร้อนมันเป็นทุกข์
จำนะลูกนะ จำไว้ให้ดีๆ
ถ้าจำได้แล้ว ต่อจากนี้ไป นิ่งตรงกลางอย่างสบายๆ
เราถึงตรงไหน ยอม หยุด แล้วก็เย็นนะลูกนะ
ต่างคนต่างทำกันไปเงียบๆ
เสาร์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๕

โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก 1 บทที่ 15 www.dhamma01.com

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *