วิธีนั่งสมาธิ ง่ายแต่ลึก ยากตรงหยุดแรก

หยุดแรกคือหยุดโม้การคุย
หยุด ถัดมาคือลุย หยุดไว้
หยุด สามหยุดฉลุยในหยุด
หยุดสี่หยุดห้าไซร้ หยุดให้สุดธรรม
ตะวันธรรม

(แนะนำได้ท้าทายจากบูชา พระรัตนต…ฌ แขวะกันเดินแล้ว เร่งแซง…ถ้าเรา
ตั้งใจจะสู้จาก….)
…ถ้าเราฝึกทุกวันหนักกัน เรา… ก็จะคุ้นเคยกับหัวเรื่อง: การ
วางใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ใจก็จะนิ่งได้ง่ายขึ้น แต่เดิมฝึก
ใหม่ ๆ ก็มีความสามารถฟุ้งขณะนี้มากบ้างน้อยตั้งขึ้นบ้าง แต่พอเราฝึกบ่อยๆ
ความสามารถฟุ้งก็จะหมดไปเองจะเหลือก็เพลงแค่ความสามารถ มากเกินไปตั้งใจ
ซึ่งทำให้เกิดอาการตึงเครียดที่ระบบผู้ซื้อสินค้าประสาทและกล้ามเนื้อตอนนี้
เราก็คุณต้องผ่อนคลายปรับให้พอดีๆ

ความพอดี = พอใจ
พอดี สังเกตอยู่ที่เราพึงพอใจ แม้ยังไม่เห็นอะไรก็ตาม

มันจะเกิดความพึงพอใจว่า จะต้องวางใจอย่างนี้ หยุดใจอย่างนี้
อยู่นิ่งๆ อย่างนี้ แล้วก็ไม่ต้องไปกังวลอะไรเลย ปล่อยอย่างนั้นไป
เรื่อยๆ ใจก็จะนิ่งเข้าไป

ถ้าถูกวิธี ตัวก็จะโล่ง โปร่ง เบาสบาย สบายในระดับที่เราเกิด
ความพึงพอใจ ทำให้กระตือรือร้นที่จะนั่งในรอบต่อๆ ไป แม้ยังไม่
เห็นอะไรก็ตาม นั่นแปลว่า เราทำถูกหลักวิชชาแล้ว

ทีนี้เราก็รักษาความนิ่งนั้นให้นานขึ้น ให้แน่นขึ้น เข้าไปสู่ความ
นิ่งนี้บ่อยๆ ทำบ่อยๆ ก็จะนิ่งได้ง่ายขึ้น พอใจหยุดถูกส่วนเข้า เรา
จะรู้สึกว่า ใจมันเกลี้ยงๆ เหมือนถูกกลั่นให้บริสุทธิ์ และมีความ
พึงพอใจเพิ่มขึ้น เมื่อเราหยุดได้แล้วมันจะมีความสุข มีปีติ สบาย
กาย สบายใจ อยากอยู่ตรงนี้ไปนานๆ นั่นน่ะ เราทำถูกวิธีแล้ว

แต่ถ้านั่งแล้วเรายังตึงกระบอกตา ตึงหน้าผาก นิ้ว
กระดก ไหล่ยก ท้องเกร็ง แสดงว่า เราตั้งใจมากเกินไป
อย่าไปฝืนทำต่อ ต้องค่อยๆ ผ่อน ลืมตาขึ้นมาสักนิด
หนึ่ง แล้วก็ปรับใหม่ ฝึกกันไปอย่างนี้แหละ เดี๋ยวเราก็
จะมีผลการปฏิบัติที่ดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

หลับตาทุกครั้งใจก็ถูกกลั่นให้บริสุทธิ์ขึ้น
การหลับตาแต่ละครั้ง แม้ว่าเรายังไม่ได้เข้าถึงแสงสว่าง ดวงธรรม
หรือกายในกายภายใน ก็ไม่ได้แปลว่าเราไม่ก้าวหน้า แม้ไม่มีอะไร
ใหม่ๆ มาให้เราดู แค่เราหยุดนิ่งเฉยๆ ใจของเราก็จะถูกกลั่นให้
บริสุทธิ์เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเมื่อถึงจุดที่ถูกส่วนก็จะพรึบ
ขึ้นมาเอง มันจะสว่าง แล้วเราก็จะมีความรู้สึกพึงพอใจกับความ
บริสุทธิ์นั้น

ใจที่บริสุทธิ์นี้มันมีความสุขมากกว่าใจที่ไม่บริสุทธิ์ที่ถูกเคลือบ
ด้วยเบญจกามคุณ ด้วยความยินดียินร้ายในรูป เสียง กลิ่น รส
สัมผัส ธรรมารมณ์ ปริมาณความสุขจะแตกต่างกันเลย ยิ่งแสงสว่าง
ภายในเกิดขึ้น ก็จะยิ่งเพิ่มปริมาณแห่งความพึงพอใจมากขึ้นไป
เรื่อยๆ มันชวนให้เราติดตาม อยากศึกษาเรียนรู้เพิ่มขึ้นไปอีก

ใจยิ่งนิ่งนุ่มเบาสบาย แสงสว่างนั้นก็จะค่อยๆ ขยายครอบคลุม
ไป เราก็จะเห็นจุดกึ่งกลางแหล่งกำเนิดของแสงสว่างเป็นจุดเล็กๆ
ใสๆ เหมือนดวงดาวในอากาศบ้าง เหมือนพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
บ้างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันบ้าง หรือบางคนโตเท่ากับฟอง
ไข่แดงของไก่บ้างเกิดขึ้นมา

นั่นแหละคือรัตนะภายใน เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างสูง เป็นธรรม
ดวงแรก รัตนะดวงแรก ที่เทียบกับรัตนะ เพราะมันใสเหมือนแก้ว
เหมือนเพชรใสๆ ที่มีทั้งมูลค่าและคุณค่า หลังจากนั้นเราไม่ต้องทำ
อะไรเลย ให้ทำอย่างเดิม คือ หยุดนิ่งเฉยไปเรื่อยๆ นั่งหน้ายิ้มๆ
หลับตาพริ้มๆ

มันยากอยู่ที่หยุดแรก หยุดแรกๆ นี่จะยากสัก
นิดหนึ่ง เพราะเราไม่คุ้นเคยกับการหยุดใจไว้ภายใน
เราคุ้นกับการหยุดใจไว้ภายนอก ไปที่คน สัตว์ สิ่งของ
ธุรกิจการงาน บ้านช่อง อะไรต่างๆ เหล่านั้น หยุดใจ
ภายนอกได้แค่ความเพลินๆ หมดเวลาไปวันๆ แต่ถามว่า
มีความสุขไหม มันก็ไม่ได้มีความสุข มันก็แค่เพลินๆ

ไม่สุขไม่ทุกข์ แต่เราคิดว่า มันเป็นความสุข เพราะเรา
ไม่รู้จักว่า ความสุข เป็นอย่างไร
จะรู้จักคำว่า ความสุข หรือสิ่งที่ความสุขมี หรือ
เข้าถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า ความสุข เข้าถึง
จิตวิญญาณของความเป็นสุข เนื้อหนังของความสุข
มันต้องใจหยุดนิ่ง คำๆ นี้จึงจะปรากฏเกิดขึ้น

เพราะฉะนั้นอย่าท้อในกรณีที่เรายังทำไม่ได้ ยังไม่เป็น ไม่ได้
แปลว่า เราจะทำไม่ได้ตลอดชาติ แต่ฝึกบ่อยๆ นั่งไปทุกวัน แม้ใน
อิริยาบถอื่น ยืน เดิน นอน ก็ฝึกทำความคุ้นเคยกับการวางใจ
เบาๆ นึกเบาๆ แตะใจเบาๆ ในกลางท้อง โดยไม่กดลูกนัยน์ตา
ต้องอาศัยการฝึกนะลูกนะ ต้องฝึก อยู่ๆ จะให้เป็นมาตั้งแต่เกิด
มันคงเป็นไปได้ยาก แล้วก็ยังไม่เห็นมีใครเป็นกัน ต้องอาศัยการฝึก
ทั้งนั้น

ลูกทุกคนอยู่ในวิสัยที่ฝึกได้ ที่จะเข้าถึงได้ ไม่ยากนัก ค่อยๆ
ทำไป

เพราะฉะนั้นวันนี้แม้เรายังไม่มีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นมาให้เราดูใน
กลางกาย ก็ไม่ได้แปลว่าไม่ก้าวหน้า แต่ว่ามันดีขึ้นไปเรื่อยๆ เราก็
ฝึกไป แล้วก็นั่งนานๆ ขึ้น นิ่งนานๆ เข้า อย่างที่เขียนไว้ในบทเพลง
นั่นแหละ นั่นถอดประสบการณ์ออกมาเป็นบทเพลง ต้องทำอย่างนี้
แค่นี้เท่านั้นถึงจะได้

ประสบการณ์เมื่อใจตกศูนย์
ทีนี้พอถึงจุดที่ใจจะตกศูนย์ มันกลวงข้างในแล้ว เป็นโพรง
เหมือนท่อบ้าง เหมือนหลุมลึกๆ เหวลึกๆ หรือบางทีเป็นที่โล่งลึกๆ
มีความมืด จนกระทั่งเราหวั่นไหว เพราะไม่เคยมีประสบการณ์
อย่างนี้มาก่อน มักจะกลัวกัน สะดุ้งหวาดเสียว กลัวว่ามันจะมีอะไร
ลึกๆ ในนั้น จะตายหรือเปล่า ชีวิตเราจะสิ้นสุดวันนี้หรือ หรือจะ
หลุดไปเห็นสิ่งที่ไม่ดีอะไรต่างๆ จะเกิดความสะดุ้งหวาดเสียวก็มีบ้าง
บางคน

สิ่งที่ลูกควรทำก็คืออย่าสูญเสียความสงบของใจ ให้ใจหยุด
นิ่งเฉยๆ อย่างนั้นเรื่อยไป อย่าให้ใจสูญเสียความเป็นกลางๆ ไม่ยินดี
ยินร้ายในอารมณ์ต่างๆ หรือประสบการณ์ใดๆ นิ่งต่อไป แล้วมัน
ก็จะผ่านไป

แต่ถ้าหากมันวื้ดลงไปแล้วเราสะดุ้งหวาดเสียว เราก็อนุญาต
ให้หวาดเสียวได้สักครั้ง สองครั้ง บ่อยๆ เข้ามันก็จะค่อยๆ คุ้นไป
เพราะมันไม่มีอันตรายอะไร จะมีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น พระเดชพระคุณ
หลวงปู่ฯ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านถึงย้ำว่า หยุดนี่ให้ใช้ได้ตลอด
ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ เราก็หยุดนิ่งไปเรื่อยๆ

แม้แสงสว่างแสงแรก แสงแก้วแสงแรกบังเกิดขึ้นก็อย่าลิงโลดใจ
ตื่นเต้นจนเกินไป แต่ถ้าห้ามไม่ได้ก็ช่างมัน ถ้ามันหายไปก็เริ่มต้นใหม่
อย่างง่ายๆ นี่ก็เป็นสิ่งที่ลูกทุกคนอย่าฟังผ่านนะ เพราะไปถึงตรงนั้น
จริงๆ แล้ว เรามักจะลืมสิ่งที่ได้แนะนำเอาไว้ ลืมหลักวิชชากันหมด
ก็ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาเมื่อใจบริสุทธิ์หยุดนิ่งในระดับหนึ่ง
แสงสว่างภายในมันก็เกิดขึ้น เราก็นิ่งไปเรื่อยๆ

แล้วก็อย่าเพิ่งไปแสวงหาคำตอบว่า แสงมันมาจากไหน เป็น
อย่างไร นี่ถูกหรือผิด แสงอะไร ใครฉาย ใครส่อง ใครเปิดไฟหรือลืม
ปิดไฟอะไรอย่างนี้ ให้นิ่งต่อไป
เพราะกว่าจะเห็นแสงนี้ได้ เราก็นั่งกันมาหืดขึ้นคอแล้ว มันไม่ใช่
ช่วงที่เราจะแสวงหาคำตอบอะไร สิ่งที่จะต้องทำ คือ หยุดนิ่งเฉยๆ
อย่างเดิม ลองทำกันดูนะ
อาทิตย์ที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มาหนังสือง่ายแต่ลึก 1 บทที่ 20 www.dhamma01.com

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *