
ตั้งใจมองให้เห็นก็ไม่เห็น ว่าไม่เห็นมันก็เห็นตอนทีเผลอ จะให้ทำอย่างไรดีนะเออ ถ้าอยากเจอต้องมองไปอย่างนั้นเอง
ตะวันธรรม
(เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ…………) …ทีนี้เรามาดูตรงนี้ที่มันยากว่าจะทำใจอย่างไรมาหยุดอยู่ที่ฐาน ที่ ๗ เพราะเราไม่คุ้นเคยเลยที่จะเอาใจมาอยู่ตรงนี้ มันมีแต่ออกไป ทางลูกนัยน์ตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย นึกคิดเรื่อยเปื่อย ไป แต่พอให้เอามาอยู่ตรงนี้ที่ฐานที่ ๗ มันยาก
ยากตอนแรก ๆ ยากสำหรับผู้ใหญ่ ง่ายสำหรับเด็กเพราะว่า เด็กนั้น ระบบประสาทของเขาทั้งกายวาจาใจยังบริสุทธิ์อยู่ ยังไม่ได้ รับการหล่อหลอมด้วยระบบของความคิด คิดว่าจะเอาอย่างไร จะ ทำอย่างไร เอาที่ไหน เอากับใคร อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นต้น มัน เลยทำให้ใจฟุ้ง
พอยิ่งอายุผ่านกาลเวลามามากเข้าก็คุ้นเคยจนชิน เพราะ ฉะนั้นระบบประสาทจิตใจจึงไม่ค่อยจะบริสุทธิ์ มักจะหมอง คือ ถ้าคิดออกว่า จะเอาที่ไหน เอากับใคร เอาอย่างไร มันก็ไม่มีปัญหา ไม่มีแรงกดดัน แต่ถ้าคิดไม่ออก มันก็มีแรงกดดัน ตรงนี้มันเป็น ความเครียดที่ทำให้ใจหมอง ไม่บริสุทธิ์
เราถูกโลกหล่อหลอมอย่างนี้ ยิ่งโตนานวันเข้าก็ยิ่งหมอง หนักเข้า ยิ่งเครียดหนักเข้า การจะนึกไว้ที่ศูนย์กลางกาย โดยใช้ระบบ ไม่คิดยาก แต่เด็กง่าย เด็กอย่างลูกเณรหรือเด็กตัวเล็ก ๆ ๕ ขวบ ๖ ขวบ ถึง ๑๐ ขวบ พอบอกหลับตา เขาก็หลับตา พอบอกว่าให้ มองไปกลางท้อง เขาก็มองนะ แต่เขามองเบา ๆ เขามองแล้วเขา ไม่ได้คิด เพราะฉะนั้นจิตก็หยุดนิ่ง ประกอบกับบริสุทธิ์อยู่แล้ว บริสุทธิ์ในที่นี้คือระดับความอินโนเซ้นท์ ไม่ใช่บริสุทธิ์ขนาดหมด กิเลส เพราะฉะนั้นเด็กจึงเข้าถึงได้ง่าย นั่งนิ่งได้นานทีเดียว เพราะ ไม่ได้ผ่านขบวนของความคิด แต่อย่างไรก็ตามผู้ใหญ่ก็สามารถ ทำได้ อย่าเพิ่งไปท้อกันเสียก่อน ทีนี้มันมีวิธีที่จะวางใจตรงนี้
โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปรับลูกนัยน์ตา ต้องอยู่ในองศา เดิม อย่ากดลงไปโฟกัสลงไปที่ศูนย์กลางกาย อย่างนี้ ไม่ถูก คือพยายามที่จะโฟกัส ยิ่งกดลูกนัยน์ตา ยิ่งเครียด ยิ่งเพ่งคิ้วจะขมวดเข้าหากันเลย แล้วมันก็เหนื่อย ไม่ ได้ผล เพราะจิตมันหยาบ ความจริงเราไม่ต้องใช้ความ พยายามอะไร เหมือนเราเดินไป ทั้ง ๆ ลูกนัยน์ตาอยู่ใน องศาที่มองไปข้างหน้า ดูคน ดูแผ่นป้าย ดูรถรา แต่เรา รู้ว่าข้าง ๆ มีคนอยู่ ผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า ทั้ง ๆ ที่เรามองเหมือนไม่ได้มอง ก็เรายังมองอยู่ แต่มอง ด้วยสำนึกลึก ๆ มองผ่าน ๆ อย่างนั้น
เพราะฉะนั้นเวลาเราหลับตา อย่ากดลูกนัยน์ตา ถ้าเราไม่ฟัง ผ่าน หรือฟุ้งจนลืมฟัง คำ ๆ นี้จะมีความหมายมาก คือลูกนัยน์ตา จะอยู่ที่เดิม อยู่ในระดับที่เหมือนเรามองไปข้างหน้า แต่เราปิด เปลือกตา แล้วก็ทำความรู้สึกของใจด้วยสำนึกที่ละเอียดอ่อน มอง เหมือนไม่ได้มอง แต่ว่าไม่ได้มองก็เหมือนมอง
คล้าย ๆ มีละอองดาวเล็ก ๆ หรือเพชรใส ๆ ที่มีคุณค่าอย่าง มหาศาล มากจนกระทั่งเราไม่กล้าที่จะไปแตะต้อง ไปสัมผัส มันมี คุณค่ามากเหลือเกิน จนเราไม่สามารถไปแตะต้องได้ถึง จึงได้แต่ มองผ่าน ๆ
ให้เราทำความสำนึกอย่างละเอียดลึก ๆ ที่แผ่วเบา ถึงเพชร เม็ดนี้ที่ใส ๆ มีมูลค่ามหาศาล มองผ่าน ๆ โดยลูกนัยน์ตาอยู่ที่เดิม และทำความรู้สึกเป็นสำนึกอย่างละเอียดที่แผ่วเบาวางไว้ตรงกลาง เพชรที่ใส ๆ แค่แตะแผ่ว ๆ มองผ่าน ๆ ด้วยสำนึกละเอียดลึก ๆ ที่เบา ๆ สบาย ๆ คล้ายดวงดาวในอากาศ ที่เป็นธุลีประดุจละออง ของดาวพวยพุ่งมาที่ศูนย์กลางกายเป็นประกายระยิบระยับ นั่งมอง อย่างนี้ แล้วถ้าจะภาวนาก็ภาวนาโดยไม่ต้องใช้กำลัง ถ้าใช้กำลังเขา เรียกว่าท่อง ภาวนาเป็นเสียง สัมมา อะระหัง ที่ละเอียดอ่อน คล้าย เสียงเพลงที่เราชอบ หรือบทสวดมนต์ที่เราท่องคล่องปากขึ้นใจ ดังขึ้นมาในใจ ถ้าเราจะใช้ต้องใช้แบบนี้ ใช้ให้เป็น อย่างนี้ถึงจะถูก หลักวิชชา
สำหรับผู้ที่วางใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ไม่เป็น ต้องหมั่น ฝึกฝน สมมติว่า วันนี้เราทำไม่ได้ เพราะแรงไป อดที่จะไปโฟกัส ไม่ได้ กดลูกนัยน์ตามองไปไม่ได้ก็ช่างมัน พรุ่งนี้ฝึกใหม่วางแผ่ว ๆ แต่ถ้าแผ่วเกินไป อ้าว มันเผลอหลับหรือฟุ้ง เราก็ฝึกใหม่
นั่งฝึก ยืนฝึก เดินฝึก นอนฝึก ทำภารกิจอะไรเราก็ฝึกไป เรื่อย ๆ เพราะมันไม่มีทางลัดอื่นใดที่จะให้เข้าถึงจุดที่หยุดนิ่งได้ นอกจากความพยายาม แล้วก็หมั่นสังเกต ปรับปรุง ปรับใจเรา ทุกรอบ ทุกครั้ง ทุกวัน
ถ้าเรามีฉันทะขนาดหลงใหล ไม่ได้ตายเถอะ ต้องเอาให้ได้ อย่างนี้เราจะสมหวัง สักวันหนึ่งเราก็จะฝึกได้ ทำได้
เราจะรู้จักคำว่า “พอดี” เมื่อเรา “พอใจ” มันจะสบาย ๆ ชาว ต่างประเทศได้ง่ายเพราะเขาไม่รู้อะไรมาเลย เหมือนซื้อตั๋วไปดูหนังที่ไม่รู้ เรื่องมาก่อน เขาฟังแล้วเขาก็ทำตามอย่างง่าย ๆ แค่ทำตัวให้สบาย ๆ ทำใจให้สงบ เดี๋ยวก็จะพบแสงสว่าง พบดวงธรรมอย่างง่าย ๆ
หลวงพ่อเชื่อว่า ลูกหลวงพ่อทุกคน นักเรียนอนุบาลฝันในฝัน ทุกท่านทั่วโลกทำได้ ถ้าไดทำอย่างอย่างสม่ำเสมอ และทำตามที่ได้แนะนำอย่างนี้ เดี๋ยวเราจะสมหวัง
วางใจที่ฐานที่ ๗ ย ังไม่ได้ วางฐานอื่นก่อนก็ได้
ทีนี้ ถ้าหากว่าเรายังวางใจไว้ที่ฐานที่ ๗ ยังไม่ได้ เราจะเริ่ม จากฐานอื่นไปก่อนก็ได้ ตรงไหนก็ได้ที่เรามีความรู้สึกพึงพอใจ ชอบ สบายใจ
จะนึกว่าตัวเราอยู่ในศูนย์กลางกายที่ขยายไปแล้วเต็มห้อง หรือสุดขอบฟ้าก็ได้ แล้วใจเรานิ่งสบาย ๆ มันจะมีแสงแวบไป แวบมา เป็นดวงก็มี ข้างหน้า ข้างหลัง ซ้าย ขวา ล่าง บน ก็มี ก็ให้ เฉยไว้ เล่นตัวไว้เรื่อย ๆ อย่าไปสนใจ ทั้ง ๆ ที่อยากมองใจจะขาด ถ้าเราจ้องก็จะหาย เผลอหายอีก
เพราะฉะนั้นนิ่งอย่างเดียว พอถูกส่วนเดี๋ยวจะมาอยู่ ณ ที่เรา พึงพอใจเอง แล้วพอใจนุ่มนวลควรแก่การงานแล้ว ก็น้อมเข้ามา ที่ฐานที่ ๗ หรือบางทีมันลงมาอยู่ตรงกลางเองเลย มันจะเป็น อย่างนี้นะ
นึกถึงสิ่งที่คุ้นเคย
ทีนี้ถ้าเรานึกดวงแก้วก็ไม่ออก องค์พระก็ไม่ได้ เราก็นึกถึง หลวงปู่ฯ บ้าง คุณยายอาจารย์ฯ บ้าง หรือจะนึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย ก่อนก็ได้ เริ่มจากตรงนั้นไปก่อน จะเป็นเพชรนิลจินดา ผลหมาก รากไม้ อะไรได้ทั้งนั้น แต่ต้องเป็นวัตถุสิ่งของที่นึกแล้วสบายใจ ใจสูงส่งบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น เราก็นึกอย่างนี้ไปก่อนก็ได้ ไม่ผิดวิธี พอใจ มันนิ่ง ใจมันสบายแล้ว เดี๋ยวก็มาเอง จากฟุ้งมากจะมาฟุ้งน้อย จาก ฟุ้งน้อยก็มาไม่ฟุ้ง จากมืดก็มาสว่าง มันก็จะเป็นไปตามขั้นตอน
ฟุ้งก็ช่างมัน
ใครที่นั่งแล้วยังฟุ้งอยู่ ก็ช่างมันนะลูกนะ เป็นเรื่องธรรมดา เรา เป็นมนุษย์ธรรมดา ในชีวิตประจำวันมันก็ต้องคิด ความคิดอะไรที่วน อยู่ในใจเรามากก็ฟุ้งมาก ถ้ามีความคิดอะไรอยู่ในใจเราน้อย มันก็ ฟุ้งน้อย ถ้าเราหัดตัดใจ ไม่อาลัยอาวรณ์ หรือหัดหักใจให้ได้ มันก็ ฟุ้งน้อย ถ้าหัดตัดใจไม่ได้มันก็ฟุ้งมาก เราก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา
จะฟุ้งเป็นภาพเป็นเสียงหรือมาทั้งภาพทั้งเสียงก็ช่างมัน ช่างมัน ๒ คำนี้ แล้วก็นั่งเฉย ๆ ไปเรื่อย ๆ เมื่อเราทำอย่างนี้ไป เรื่อย ๆ ไม่ช้ามันจะฟุ้งในระดับที่เราไม่รำคาญ ทั้ง ๆ ที่ฟุ้งเท่าเดิม แต่เราไม่รำคาญ นั่นเราเป็นต่อแล้ว และพอเรานั่งในครั้งถัด ๆ มา รู้สึกว่า เออ มันเริ่มโล่ง เริ่มโปร่ง เริ่มสบาย เริ่มรู้สึกตัวขยาย เริ่มรู้สึกตัวหาย หรือเวลามันหมดเร็วเหลือเกิน นั่นก็เป็นมิเตอร์วัด ว่า ใจเราเริ่มรวมเป็นสมาธิแล้ว แต่เขาเรียกว่า “ขณิกสมาธิ” ยังเป็น สมาธิอ่อน ๆ อยู่ เราก็ฝึกไปเรื่อย ๆ
ถ้าเรารักที่จะเข้าถึงพระธรรมกาย อยากเข้าถึงความสุขที่แท้ จริง เราก็จะขยันฝึก ฝึกไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวสักวันหนึ่งเราก็จะสมหวัง
แต่อย่าคิดเลยเถิดวิตกกังวลว่า โอ้ กว่าจะเห็นคงตายมั้ง ก่อน ตายมั้ง หรือชาติหน้ามั้ง อย่าเลยเถิดไปขนาดนั้นนะลูกนะ มันไม่ถึง ขนาดนั้นหรอก มันจะเร็ว ๆ นี้
จุดที่จะถึงมันใช้เวลาแค่วินาทีเท่านั้น ถ้าเวลาใจหยุดนิ่ง ๆ ได้ ถ้าเราตั้งใจทำความเพียรกันอย่างจริงจัง และหมั่นปรับปรุงให้ถูก หลักวิชชา วินาทีเพชรวินาทีพลอยนั้นจะต้องมาถึงเราอย่างแน่นอน อาจจะคืนนี้ก็ได้ อาจจะพรุ่งนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้นให้นั่งให้สบายใจ ให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ต้องนั่งอย่างนี้นะลูกนะ หมั่นทบทวนที่ แนะนำไป
คืนนี้ก็เช่นเคย ใครเหนื่อย ใครเพลีย ใครตึง ก็ปล่อยให้หลับ ที่กลางกาย กลางอู่แห่งทะเลบุญ ใครเมื่อยก็ขยับ ฟุ้งก็ลืมตา แล้วก็ ว่ากันใหม่ ทำอย่างนี้นะลูกนะ ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึง พระรัตนตรัยในตัวทุก ๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบ ๆ
พุธที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
โอวาทหลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก 1 บทที่ 21 www.dhamma01.com
น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับโอวาท
คำสอนและธรรมทานทรงคุณค่า
จากหลวงพ่อธัมมชโย#คุณครูไม่ใหญ่
ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุครับ