มโหสถบัณฑิต ตอนที่ ๑๓ ( ปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์ )

มโหสถบัณฑิต ตอนที่ ๑๓ ( ปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์ )

        มนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต ทำให้ใช้เวลาที่ผ่านไปแต่ละวัน ด้วยการมุ่งแต่ทำมาหากิน ศึกษาเล่าเรียน วุ่นวายอยู่กับครอบครัว เพลิดเพลินสนุกสนานไปวันหนึ่งๆ และถึงแม้มีเป้าหมาย ก็มุ่งเพียงให้ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ อันเป็นเป้าหมายในชาตินี้เท่านั้น ไม่ได้ใส่ใจในเป้าหมายที่เป็นชาติหน้า และเป้าหมายหลัก คือ มรรคผลนิพพาน อีกทั้งเมื่อไม่ได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขาดกัลยาณมิตรคอยแนะนำ ชีวิตจึงเวียนวนอยู่ในกระแสโลก กระแสแห่งความทุกข์ระทม ต่อเมื่อได้ฟังพระสัทธรรม จึงจะเข้าใจชีวิตไปตามความเป็นจริง และมุ่งแสวงหาสาระอันแท้จริง เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด คือ พระนิพพาน

มีธรรมภาษิตใน ขุททกนิกาย มโหสถชาดกว่า
        ” แม่น้ำน้อยใหญ่ทั้งหลายย่อมหลั่งไหลไปสู่ทะเลใหญ่ ทะเลนั้นมีกำลังมากตลอดกาล ทะเลใหญ่นั้นแม้มีคลื่นกระทบฝั่ง ก็ไม่ล่วงฝั่งไปได้ ฉันใด กิจการที่คนเขลาประสงค์ ไม่ล่วงคนฉลาดไปได้ คนไม่ฉลาดย่อมไม่ล่วงคนมีปัญญาไปได้ในกาลไหนๆ ฉันนั้น ”

        นี่เป็นถ้อยคำของบัณฑิตนักปราชญ์ ที่สรรเสริญปัญญาว่าเป็นยอดกว่าทรัพย์สินเงินทอง หรือของมีค่าใดๆ ในโลกนี้ ดังจะได้นำเรื่องการโต้ตอบกันของบัณฑิตในสมัยก่อน ที่ท่านมีความเห็นว่า แม้ขาดทรัพย์แต่ไม่ไร้ปัญญา ยังประเสริฐกว่าคนมีทรัพย์แต่ไร้ปัญญาอย่างไร

        *เรื่องมีอยู่ว่า พระราชเทวีอุทุมพร ทรงรู้ว่าบัณฑิตทั้งสี่สามารถตอบปริศนาธรรมของพระราชาได้เพราะมโหสถ แต่ก็ได้ลาภสักการะเท่ากัน จึงกราบทูลพระราชาตามความเป็นจริง  พระราชาดำริว่า ที่ผ่านมาก็แล้วกันไป ทรงมีพระราชประสงค์จะทดลองปฏิภาณไหวพริบ แนวความคิดของบัณฑิตทั้งห้าว่า ใครจะแสดงความเห็นได้ถูกต้อง และถูกพระทัยมากกว่ากัน จึงคิดปัญหาอย่างหนึ่ง เรียกว่าสิริเมณฑกปัญหา ซึ่งเป็นปัญหาระหว่างปัญญาและทรัพย์ว่า อะไรจะประเสริฐกว่ากัน

        เช้าวันหนึ่ง เมื่อบัณฑิตทั้งห้ามาเข้าเฝ้าตามปกติ พระราชาได้ตรัสกับเสนกะว่า  ” ท่านอาจารย์เสนกะ บรรดาคน ๒ พวก คือ คนสมบูรณ์ด้วยปัญญาแต่เสื่อมจากสิริ และคนมียศแต่ไร้ปัญญา นักปราชญ์บัณฑิตยกย่องใครว่าประเสริฐกว่ากัน ”

        เสนกะ กราบทูลเฉลยปัญหานั้นทันทีว่า  ” ข้าแต่พระจอมประชาราษฎร์ คนฉลาด และคนเขลา คนบริบูรณ์ด้วยศิลปะ และหาศิลปะมิได้ แม้มีชาติตระกูลสูงย่อมเป็นผู้รับใช้ของคนหาชาติมิได้แต่มียศ ข้าพระองค์เห็นความดังนี้ จึงขอทูลว่า คนมีปัญญาเป็นคนเลวทราม ส่วนคนมีสิริเป็นคนประเสริฐ ”

        พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำของเสนกะ ก็ไม่ตรัสถามอาจารย์อีก ๓ คน แต่ข้ามไปถามมโหสถบัณฑิตว่า  ” ดูก่อนมโหสถ ระหว่างคนพาลผู้มียศ และบัณฑิตผู้ไม่มีโภคะ นักปราชญ์ยกย่องคนไหนว่าประเสริฐกว่ากัน ”

        มโหสถทูลตอบอย่างไม่ลังเลใจว่า  ” โปรดสดับเถิดพระมหาราชเจ้า คนพาลทำกรรมที่เป็นบาปหยาบช้า สำคัญว่าอิสริยยศของเราในโลกนี้ประเสริฐ คนพาลมองเห็นแต่ประโยชน์ในโลกนี้ ไม่เห็นประโยชน์ในโลกหน้า ต้องได้รับเคราะห์ร้ายในโลกทั้งสอง ข้าพระองค์เห็นความเหล่านี้ จึงขอกราบทูลว่า คนมีปัญญาประเสริฐแท้ ”

         เมื่อมโหสถบัณฑิตบรมโพธิสัตว์กราบทูลเช่นนั้น พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรมาทางเสนกะอีกครั้ง ทรงพอพระทัยที่จะฟังบัณฑิตของพระองค์แสดงความคิดเห็น จึงตรัสถามเสนกะว่า  ” มโหสถสรรเสริญคนมีปัญญาว่าเป็นผู้สูงสุด ท่านจะแย้งว่าอย่างไรล่ะ ”
        เสนกะทูลว่า  ” ข้าแต่พระมหาราชเจ้า มโหสถยังเด็ก แม้ทุกวันนี้ปากของเธอยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มโหสถจะรู้อะไร ฝูงนกบินไปบินมาตามต้นไม้ในป่าที่มีผลดกฉันใด ชนเป็นอันมากย่อมคบหาสมาคมผู้มั่งคั่งมีโภคทรัพย์มาก เพราะความต้องการด้วยทรัพย์ ฉันนั้น เพราะฉะนั้น คนมีสิริสมบัติเท่านั้นเป็นคนประเสริฐ ”

         พระราชาทรงสดับดังนั้น ก็ตรัสว่า  ” พ่อมโหสถบัณฑิต เจ้าจะกล่าวแก้อย่างไร ” 
        มโหสถบัณฑิตกราบทูลว่า  ” ข้าแต่สมมติเทพ เสนกะจะรู้อะไรเห็นแต่ทรัพย์เท่านั้น ไม่เห็นค้อนไม้อันใหญ่ที่จะตกลงบนศีรษะ เหมือนกาอยู่ในที่เทข้าวสุก เหมือนสุนัขอยากจะดื่มนมส้ม เพราะฉะนั้น คนมีปัญญาน้อยได้ความสุขแล้วย่อมประมาท เมื่อมีความสุขหรือความทุกข์ที่จรมาถูกต้องแล้วเขาย่อมหวั่นไหว เหมือนปลาดิ้นรนในที่ร้อน ข้าพระองค์เห็นความอย่างนี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาแลประเสริฐ คนเขลามียศหาประเสริฐไม่ ”

         เมื่อพระราชาตรัสถามเสนกะอีกว่า  ” ท่านอาจารย์เสนกะ ท่านจะแก้อย่างไร ” 
        เสนกะจึงทูลว่า  ” ข้าแต่พระมหาราชเจ้า โปรดฟังเถิด แม่น้ำน้อยใหญ่ย่อมไหลไปสู่แม่น้ำคงคา แม่น้ำเหล่านั้นทั้งหมดย่อมละชื่อ และถิ่นของตน แม่น้ำคงคาไหลไปสู่สมุทรย่อมไม่ปรากฏชื่อ คงได้แต่ชื่อว่ามหาสมุทรเท่านั้น ฉันใด สัตวโลกแม้มีฤทธิ์ย่อมไม่ปรากฏ เหมือนแม่น้ำคงคาเข้าไปสู่มหาสมุทร ฉันนั้น ข้าพระองค์เห็นความดังนี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาไม่ประเสริฐกว่าคนมีทรัพย์ ”

        พระราชาตรัสอีกว่า  ” พ่อบัณฑิต เจ้าจะแก้อย่างไร ” 
        มโหสถบัณฑิตกราบทูลว่า  ” โปรดสดับเถิดพระเจ้าข้า ข้าพระองค์จะกล่าวแก้ปัญหาที่ท่านอาจารย์กล่าว แม่น้ำน้อยใหญ่ ย่อมหลั่งไหลไปสู่ทะเลใหญ่ ทะเลนั้นมีกำลังมากยิ่ง ทะเลใหญ่นั้นแม้มีคลื่นกระทบฝั่ง ก็ไม่ล่วงฝั่งไปได้ ฉันใด กิจการที่คนเขลาประสงค์ไม่ล่วงคนฉลาดไปได้ คนมีสิริย่อมไม่ล่วงคนมีปัญญาไปได้ในกาลไหนๆ ฉันนั้น ข้าพระองค์เห็นความดังนี้ จึงทูลว่า คนมีปัญญาเป็นคนประเสริฐ คนเขลามียศหาประเสริฐไม่ ”

        เสนกะโต้ตอบกลับไปว่า  ” ข้าแต่สมมติเทพ มโหสถนี้ยังเป็นเด็กรุ่นจะรู้อะไร พวกข้าพระองค์ทั้งหมดแม้เป็นบัณฑิต   ยังเคารพบำรุงพระองค์ พระองค์ทรงเป็นใหญ่ครอบงำพวกข้าพระองค์ทั้งหลาย ดุจท้าวสักกเทวราชผู้เป็นเจ้าแห่งดาวดึงส์พิภพ ข้าพระองค์เห็นความดังนี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาไม่ประเสริฐ คนมีสิริเท่านั้นเป็นคนประเสริฐ ”

        มโหสถเห็นเสนกะยังไม่ยอมแพ้ จึงกราบทูลว่า  ” ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เสนกะนี้เป็นคนเขลานัก แลดูอยู่เฉพาะยศ และสิริเท่านั้น ไม่รู้ความวิเศษแห่งปัญญา โปรดฟังข้าพระองค์เถิด คนเขลามียศเป็นดุจทาสของคนฉลาด ในเมื่อมีกิจต่างๆ เกิดขึ้น คนฉลาดย่อมจัดการภารกิจนั้นได้ คนเขลาย่อมถึงความหลงในกิจนั้น ข้าพระองค์เห็นความอย่างนี้จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเท่านั้นเป็นคนประเสริฐสุด ”

        ครั้นพระบรมโพธิสัตว์แสดงภูมิปัญญา เหมือนผู้วิเศษคุ้ยทรายทองขึ้นจากเชิงเขาสิเนรุ เหมือนผู้มีฤทธิ์ยังดวงจันทร์เต็มดวงให้ปรากฏขึ้นในท้องนภา จนเสนกะบัณฑิตหมดคำโต้แย้ง และไม่อาจกล่าวแย้งได้อีก ได้แต่นั่งคอตก จากนั้นมโหสถ บัณฑิตได้กล่าวขึ้นอีกว่า  ” ปัญญาเป็นที่สรรเสริญของสัตบุรุษ ทั้งหลาย สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญปัญญาว่า ประเสริฐอย่างแท้จริง สิริเป็นที่ใคร่ของพวกคนเขลา คนเขลาใคร่สิริ ยินดีในโภคสมบัติ ก็ความรู้ของท่านผู้รู้ทั้งหลาย ใครๆ ไม่สามารถเปรียบด้วยอุปมาใดๆ ได้ คนมีสิริย่อมไม่ล่วงเลยคนมีปัญญาในกาลไหนๆ ผู้รู้ผู้มีปัญญาเท่านั้นเป็นคนประเสริฐ ”
        พระเจ้าวิเทหราชได้สดับการบันลือสีหนาทของมโหสถเช่นนั้น ทรงชื่นชมโสมนัส ทรงบูชามโหสถด้วยทรัพย์สมบัติ และเครื่องสักการะมากมาย เหล่าข้าราชบริพารต่างแซ่ซ้องสาธุการต่อชัยชนะของมโหสถในครั้งนั้น

        เราจะเห็นว่า นักปราชญ์บัณฑิตในสมัยก่อน ท่านสรรเสริญปัญญาว่าประเสริฐกว่าทรัพย์ โบราณจึงกล่าวว่า มีปัญญาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้ยินได้ฟังกันเช่นนี้แล้ว อย่าลืมที่จะแสวงหาดวงปัญญา แสวงหาความรู้ใส่ตัวให้มาก คนเราจะล่วงทุกข์ได้ ต้องอาศัยปัญญา และความเพียร ฉะนั้น ให้หมั่นนั่งธรรมะทุกๆ วัน
*มก. มโหสถบัณฑิต เล่ม ๖๓ หน้า ๓๗๐

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/539
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับการบำเพ็ญบารมี

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *