ศาสดาเอกของโลก (๑) – พุทธประวัติ

ศาสดาเอกของโลก (๑) พุทธประวัติ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่งกว่านี้ของพระองค์ไม่มีอีกแล้ว พวกเราควรดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพระพุทธองค์ โดยมุ่งทำความบริสุทธิ์ กาย วาจา ใจ เป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องอื่นให้เป็นเรื่องรองลงมา เรามีกิจที่ต้องทำให้รู้แจ้งว่า เราเกิดมาจากไหน มาทำไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิต  เพราะฉะนั้น เราควรต้องหมั่นฝึกฝนอบรมจิตใจให้หยุดให้นิ่ง จนกระทั่งเข้าถึงผู้รู้แจ้งภายใน คือพระธรรมกาย

มีวาระพระบาลี กล่าวไว้ในอังคุตตรนิกาย เอกนิบาตว่า
“เอกปุคฺคโล ภิกฺขเว โลเก อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ
พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย
หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ กตโม เอกปุคฺคโล
ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เลิศเมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์แก่มหาชนเป็นอันมาก เพื่อความอนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์สุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  บุคคลผู้เลิศคือใคร คือ  พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ”

ช่วงนี้ใกล้ถึงวาระสำคัญอันเป็นมหามงคลสำหรับเหล่าพุทธศาสนิกชนอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ วันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมศาสดาของพวกเรา ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ทีเดียวที่พระพุทธองค์มีวันประสูติ วันตรัสรู้และวันปรินิพพานมาพ้องตรงกัน คือตรงกับวันขึ้น ๑๕ คํ่า เดือน ๖ ฉะนั้นวันวิสาขบูชาจึงเป็นวันที่เราควรมาตรึกระลึก นึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์

ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ จำเป็นจะต้องรู้จักประวัติของพระองค์ท่านให้แจ่มแจ้ง และซาบซึ้งในพระคุณของพระพุทธองค์ เราจะได้เกิดปีติและภาคภูมิใจว่า ตัวเราได้มาอยู่ในร่มเงาบารมีธรรม และยังได้อาศัยหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์มาประพฤติปฏิบัติจนกระทั่งเข้าถึงความสุขที่แท้จริง ทำให้ชีวิตมีแต่ความสำเร็จและสมหวังในทุกสิ่ง

ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราควรมาระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าให้เป็นพุทธานุสติ ระลึกนึกถึงพระพุทธองค์ในขณะที่ใจหยุดนิ่ง เราจะได้รู้สึกซาบซึ้งในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยการทำตัวของเราประหนึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของสรรพสิ่งทั้งมวล ให้ทำใจนิ่งๆ ไว้ตลอดเวลา

ประวัติของพระพุทธองค์เป็นประวัติที่ยิ่งใหญ่ และการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้น บังเกิดได้ยากยิ่ง บางยุคบางสมัยก็ไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเลย โลกว่างเว้นจากพระสัทธรรม หมู่สัตว์ตกอยู่ในความมืดมิด คือ อวิชชาที่หาทางออกไม่พบ การอุบัติขึ้นของพระองค์นั้น เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับมวลมนุษยชาติ ประวัติของท่านชัดเจนแจ่มแจ้ง มีที่มาที่ไปตั้งแต่เริ่มสร้างบารมีนับภพนับชาติไม่ถ้วน สร้างความดีมาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยที่ท่านแบกมารดาอยู่บนบ่าขณะว่ายน้ำอยู่กลางทะเล เนื่องจากเรือสำเภาแตกเพราะพายุในครั้งนั้น

ขณะกำลังแบกมารดาอยู่กลางทะเล ท่านก็เกิดมหากรุณาขึ้นในใจทันที เกิดความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ คือ ปรารถนาที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ เพราะท่านมองเห็นว่า ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ก็ต้องตรอมตรมในทะเลทุกข์เช่นนี้  ขนาดแบกมารดาอยู่บนบ่า  ยังมีกรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย   ถึงเพียงนี้ ทั้งที่ตนเองยังอยู่ท่ามกลางทะเลที่มองไม่เห็นฝั่ง แต่ยังได้ตั้งความปรารถนาอันยิ่งใหญ่นั้นกลางทะเล และท่านก็ตระหนักดีว่า ความปรารถนานั้นไม่ใช่ได้มาโดยง่าย แต่จะต้องได้มาด้วยความยากลำบากนับภพนับชาติไม่ถ้วนทีเดียว

เมื่อคิดดังนั้น ท่านเริ่มสั่งสมบุญบารมี เพื่อให้ได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตนตั้งไว้ แม้ความปรารถนานั้นจะต้องพบอุปสรรคมากมายเพียงใด ท่านก็ไม่ย่อท้อ ขนาดที่ว่าอวกาศโล่งๆ เต็มไปด้วยกองไฟลุกโชน แล้วให้ท่านก้าวเดินไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง โดยฝั่งโน้นจะเป็นฝั่งที่ทำให้ท่านบรรลุเป้าหมาย ท่านก็จะไป จะฝ่าเปลวเพลิงไปโดยไม่กลัว  ไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบาก แล้วท่านทำเช่นนั้นได้จริงๆ ด้วย

บางคนตั้งความปรารถนาสูงส่งไว้ แต่ครั้นประสบอุปสรรค ก็เลิกละความตั้งใจ บางคนพบอุปสรรคปานกลางก็เลิกความตั้งใจ แต่พระพุทธเจ้าต้องประสบปัญหาอุปสรรคมากมาย ขนาดต้องแลกด้วยเลือดเนื้อและชีวิต พระองค์ก็ไม่หวั่นไหว บางท่านจากที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แต่เมื่อพบอุปสรรคและเห็นว่า เส้นทางการเป็นพระพุทธเจ้าช่างยาวนานเหลือเกิน ก็เปลี่ยนความปรารถนาเป็นเพียงพระอัครสาวก หรือเป็นพระอรหันต์ธรรมดา แต่พระองค์กลับมีมโนปณิธานอย่างแรงกล้า ตั้งแต่ว่ายน้ำดำผุดดำว่ายอยู่ในมหาสมุทรโดย ไม่ได้คำนึงถึงอุปสรรคใดๆ คิดถึงแต่เป้าหมาย และมุ่งจะทำความปรารถนานั้นให้สำเร็จให้ได้

ท่านได้สร้างบารมีเช่นนั้นมายาวนานนับภพนับชาติไม่ถ้วน จนกระทั่งเกิดอุปมาว่า ท่านได้สละเลือดเนื้อและชีวิต เฉพาะที่เป็นเลือดก็มากกว่าน้ำในท้องทะเลมหาสมุทร สละเนื้อเป็นทานมากกว่าแผ่นดินบนพื้นชมพูทวีป ที่ควักลูกนัยน์ตาก็มากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า และที่ตัดศีรษะบูชาธรรม มากยิ่งกว่าผลมะพร้าวในชมพูทวีป

นั่นคือข้อความที่อุปมาไว้ ท่านทำเช่นนั้นนับภพนับชาติกันไม่ถ้วน หลายท่านได้อ่านพุทธประวัติหรือประวัติการสร้างบารมีของพระพุทธองค์กันมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลักษณะที่เป็นชาดกในคัมภีร์ต่างๆ หรือในหนังสือพระเจ้าสิบชาติบ้าง ห้าร้อยชาติบ้าง นั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของประวัติอันยาวนานของพระพุทธองค์เท่านั้น อันที่จริง พระพุทธองค์สร้างบารมีมานานถึง ๒๐ อสงไขย แสนมหากัป โดย ๘ อสงไขยแรก เพียงคิดอยากเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยังไม่กล้าบอกใคร  เมื่อความคิดดี ติดแน่นอยู่ที่ศูนย์กลางกายมากเข้า   ก็เปล่งวาจาบอกคนรอบข้าง  เมื่อพบพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ท่านจะเข้าไปกราบนมัสการ ทำบุญกุศลกับพระองค์นั้น แล้วกราบทูลความปรารถนาดีของท่านว่า อยากจะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตบ้าง พระพุทธเจ้าก็ได้ชื่นชมอนุโมทนา ทรงอวยพรให้ท่านสมหวังดังใจปรารถนาเรื่อยมา

ท่านได้พบพระพุทธเจ้ามามากมายหลายพระองค์ แต่ยังไม่ได้รับคำยืนยันหรือคำพยากรณ์ใดๆ อย่างไรก็ตามท่านก็สร้างบารมีอย่างไม่ย่อท้อ  ครั้นครบ ๑๖ อสงไขย  ในสมัยที่ท่านเป็นสุเมธดาบส ท่านยังได้นอนทอดร่างเป็นสะพาน เพื่อให้พระทีปังกรพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันตขีณาสพเดินข้ามโคลนตมไป ท่านจึงได้รับคำพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้าพระองค์แรกว่า อีก ๔ อสงไขยแสนมหากัป สุเมธดาบสจะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า  สมณโคดม  ญาณทัสสนะของพระพุทธเจ้านี้ทรงแจ่มแจ้งทีเดียว

ท่านเห็นยิ่งกว่ามองเห็นด้วยตาเนื้อ บอกได้ทันทีว่าจะเป็นเจ้าชายพระนามว่า สิทธัตถะ มีพระราชบิดาชื่อสุทโธทนะ พระมารดาชื่อสิริมหามายา เกิดที่ไหน อย่างไร ทรงเห็นแจ้งทะลุปรุโปร่งหมด เพราะพระพุทธองค์เห็นด้วยธรรมจักษุ เห็นด้วยตาธรรมกายที่แจ่มใสชัดเจน เห็นทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต พุทธพยากรณ์จึงไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่นิดเดียว

เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว ตั้งแต่นั้นมา ท่านจึงได้ชื่อว่าเป็นนิยตโพธิสัตว์ ผู้พร้อมจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน แม้จะได้รับคำพยากรณ์แล้ว แต่ท่านมิได้หลงระเริงยินดีเพียงแค่นั้น มีแต่จะทำความให้ทับทวียิ่งขึ้นไปอีก ฉะนั้น การบังเกิดขึ้นแต่ละภพแต่ละชาติของท่าน จึงเป็นไปเพื่อสันติสุขอันไพบูลย์ของมวลมนุษยชาติเท่านั้น ถ้าบังเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ เป็นพระราชาพระเจ้าจักรพรรดิก็ปกครองแผ่นดินโดยธรรม มนุษย์ยุคสมัยนั้นจะรักษาศีล ๕ ตามท่านไปด้วย ข้าวปลาอาหารบังเกิดขึ้นด้วยอานุภาพของพระเจ้าจักรพรรดิ และด้วยบุญที่มหาชนได้ตั้งใจรักษาศีล บ้านเมืองจึงสงบร่มเย็นเป็นสุข ไม่ต้องทำมาหากินให้ลำบาก โลกแห่งสันติภาพได้เกิดขึ้นในยุคของพระองค์นี่แหละ

ทุกภพทุกชาติ ท่านมุ่งแสวงหาทางพ้นทุกข์อย่างเดียว แม้เป็นลูกเศรษฐี ก็ไม่ได้ยินดีในสมบัติ ท่านเป็นผู้ที่สอนตนเองได้  เมื่อออกบวชก็ตั้งใจทำภาวนาแนะนำมหาชนให้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์กันมากมาย ใจท่านคิดอย่างเดียวว่า ทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ และช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏได้ พระองค์สร้างบารมีมาทุกรูปแบบ ทรงเป็นแบบอย่างของยอดนักสร้างบารมีที่พวกเราควรศึกษา ควรรำลึกนึกถึงบ่อยๆ แล้วดำเนินตามปฏิปทาของพระพุทธองค์ จะทำให้เรามีกำลังใจในการสร้างบารมียิ่งๆ ขึ้นไป ฉะนั้น ให้เราหมั่นนั่งสมาธิ เจริญพุทธานุสติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ใจของเราจะได้ใสบริสุทธิ์ และเข้าถึงธรรมตามพระพุทธองค์ไปด้วย

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/9339
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับศาสดาเอกของโลก

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

1 thought on “ศาสดาเอกของโลก (๑) – พุทธประวัติ”

  1. น้อมกราบสาธุ สาธุ สาธุครับ
    🏵️🌼🌺🌸💮🌸🌺🌼🏵️

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *