อเนกวรรณเทพบุตร (เทพบุตรท่านหนึ่งที่ทำให้พระทัยของท้าวสักกะต้องหวั่นไหว)

อเนกวรรณเทพบุตร (เทพบุตรท่านหนึ่งที่ทำให้พระทัยของท้าวสักกะต้องหวั่นไหว)

เวลาที่มีคุณค่ามากที่สุด คือ เวลาแห่งใจหยุดนิ่ง เป็นเวลามีคุณค่ายิ่งกว่าเวลาที่เราได้เพชรได้พลอย หรือได้อัญมณีอันล้ำค่าทั้งหลายในโลกนี้ เพราะเราได้ไปเอารัตนะภายใน เมื่อเราประพฤติปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสัจธรรมนำพาชีวิตให้เข้าถึงความสุข หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งมวล เราย่อมจะได้พบกับพระรัตนตรัยภายใน คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ อันเป็นที่พึ่งที่ระลึกทั้งในภพนี้และภพหน้า ปัจจุบันนี้มนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่า ควรจะแสวงหารัตนะภายนอกหรือรัตนะภายใน เมื่อไม่รู้ก็ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องในตัว มัวส่งใจไปกับเรื่องนอกตัว ชีวิตจึงต้องวนเวียนอยู่ในกระแสแห่งความทุกข์ระทม แต่เมื่อได้ลงมือปฏิบัติธรรม จึงจะเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต แล้วมุ่งแสวงหาสาระอันแท้จริง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย คือ พระรัตนตรัยภายใน จะได้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย

มีถ้อยคำธรรมภาษิตที่ปรากฏอยู่ใน อเนกวัณณวิมาน ว่า

“ข้าพเจ้าได้ชักชวนคนอื่นๆ ให้ทำบุญว่า ท่านทั้งหลายจงบูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าผู้ควรบูชาเถิด เมื่อท่านทั้งหลายละอัตภาพนี้แล้ว จักได้ไปเสวยสุขในสุคติสวรรค์ ข้าพเจ้าได้กระทำกุศลกรรมอย่างนั้นแล้ว จึงได้เสวยสุขอันเป็นทิพย์ด้วยตน และบันเทิงอยู่ในท่ามกลางหมู่ทวยเทพ”

ผลแห่งการทำจิตให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย และบุญที่เกิดจากการชักชวนมหาชน ให้มาตามระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เลย มีผลที่ยิ่งใหญ่ไพศาลอย่างน่าอัศจรรย์ หากมีจิตเลื่อมใสอย่างเต็มที่ อานิสงส์ที่ไม่มีประมาณก็จะบังเกิดขึ้น จะทำให้เราสมบูรณ์ด้วยสมบัติอันเลิศ ทั้งมนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติ และนิพพานสมบัติ มีความสุขความสำเร็จไปทุกภพทุกชาติ ใจจะเกาะเกี่ยวอยู่กับบุญกับพระรัตนตรัย ทำให้ชีวิตรอดพ้นจากอบายภูมิแน่นอน

ธรรมภาษิตข้างต้นนี้ เป็นเครื่องยืนยันการไปสู่สุคติโลกสวรรค์ว่า ถ้าทำจิตให้เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้จะทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ หรือดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็ได้รับอานิสงส์เสมอกัน เพราะอานุภาพของพระรัตนตรัยไม่มีประมาณ เป็นอจินไตย ไร้ขอบเขตของจินตนาการที่มนุษย์ทั่วๆ ไปจะคาดเดาได้ ผลบุญจากการทำจิตให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ประกอบกับบุญใหญ่ที่เกิดจากการเป็นต้นบุญ ชักชวนให้มหาชนได้มารำลึก นึกถึงคุณของพระรัตนตรัยอันไม่มีประมาณ สามารถส่งผลให้บุคคลนั้นได้เสวยสุขอยู่ในสุคติโลกสวรรค์อย่างเดียวยาวนานมาก

ผู้ที่ได้เสวยผลบุญเป็นตัวอย่างดังธรรมภาษิตเบื้องต้นนี้ ได้แก่ อเนกวรรณเทพบุตร ซึ่งเป็นอีกท่านหนึ่งที่ทำให้พระทัยของท้าวสักกะต้องหวั่นไหว เพราะเกรงว่าเทพบุตรท่านนี้จะมาแย่งชิงความเป็นจอมเทพในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนท้าวสักกะต้องเสด็จจากบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ทอดทิ้งทิพยสมบัติในสวรรค์ชั่วคราว และลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อทำบุญกับพระอรหันต์ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ เป็นการต่อเติมบารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ และความเป็นใหญ่ในสวรรค์ให้กับตนเองอีกครั้ง

* สำหรับประวัติการสร้างบารมีของอเนกวรรณเทพบุตรผู้ทำให้พระทัยของท้าวสักกะหวั่นไหวนั้นมีอยู่ว่า นับจากนี้ถอยหลังไปสามหมื่นกัป อเนกวรรณเทพบุตรผู้มีศักดิ์ใหญ่นี้ ได้เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สุเมธ ท่านได้บวชเป็นภิกษุ และก็ตั้งใจบำเพ็ญไตรสิกขาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ คือ ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ นั่งสมาธิเจริญภาวนาและหมั่นฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ได้ศึกษาธรรมะจากพระอาจารย์หลายท่าน เป็นการเพิ่มเติมปัญญาบารมีให้กับตัวเอง แต่ครั้นบวชได้เพียง ๗ พรรษา เกิดความไม่ยินดีในเพศสมณะ จึงลาสิกขาไปเป็นคฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือนตามเดิม

เมื่อลาสิกขาแล้ว ท่านไม่ได้ประมาทในชีวิตเหมือนชาวโลกทั่วไป ยังมีใจรักในการทำความดี ยังพอมีสมณสัญญาติดมาบ้าง คือ ท่านได้ไปปัดกวาดและดูแลศาสนสมบัติที่ลานพระเจดีย์ ได้รักษาศีล ๕ มิให้ขาด มิให้ด่างพร้อยเป็นประจำ และยังรักษาอุโบสถศีลในวันพระอีกด้วย ท่านมักจะไปฟังธรรมที่วัด และเที่ยวชักชวนคนอื่นๆ ให้มาทำบุญตลอดต่อเนื่อง

ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พุทธศาสนิกชนได้ช่วยกันสร้างมหารัตนเจดีย์ เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้า ท่านไม่มีโอกาสได้ร่วมบุญสร้างรัตนเจดีย์ แต่ก็ยังมีจิตเลื่อมใส ได้เดินทางไปนมัสการกราบไหว้รัตนเจดีย์ที่คลุมด้วยข่ายทองคำเป็นประจำ เนื่องจากตัวท่านเองเป็นคนยากจนทรัพย์ แต่ไม่จนใจที่จะหาบุญใส่ตัว แม้จะไม่ได้ทำทานอย่างเต็มที่เหมือนคนอื่น แต่ก็ได้ตั้งกัลยาณจิตชวนคนมาสักการะพระเจดีย์ด้วยจิตที่เลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะท่านได้ทำหน้าที่ผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตรให้กับสาธุชนที่ยังไม่ศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ให้มาบูชามหารัตนเจดีย์ของพระพุทธเจ้า โดยท่านชักชวนด้วยคำพูดง่ายๆ ว่า “ท่านทั้งหลาย พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ขอเชิญท่านผู้มีบุญจงบูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าผู้ควรบูชาเถิด หากพวกท่านละจากโลกนี้แล้ว จะได้ไปสวรรค์”

อุบาสกได้ขยันชักชวนผู้คนให้มาบูชามหารัตนเจดีย์ ท่านทำอยู่อย่างนั้นเป็นอาจิณจนตลอดชีวิต ผลบุญอันยิ่งใหญ่ที่กระทั่งแม้ตัวเองก็คาดไม่ถึง เหลือเชื่อแต่ก็เป็นความจริง ได้บังเกิดขึ้นแก่ท่าน คือ อุบาสกได้ไปเสวยสุขอันเป็นทิพย์ ได้เป็นเทพบุตรมีศักดิ์ใหญ่ มีอานุภาพมาก เป็นผู้ที่เหล่าเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ แม้กระทั่งท้าวสักกเทวราชก็ยังต้องมาชื่นชมบารมี ท่านบันเทิงอยู่ในท่ามกลางหมู่ทวยเทพในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นเวลายาวนานมาก จนเมื่อครบอายุของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็จุติไปอุบัติในสวรรค์ชั้นสูงๆ ขึ้นไป

ครั้นมาในสมัยพุทธกาล ท่านย้อนกลับมาบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีกครั้งหนึ่ง พวกทวยเทพต่างรู้จักเทพบุตรท่านนี้ว่า เป็นผู้มีวรรณะ คือ มีรัศมีกายเปล่งปลั่งสว่างไสว เวลาจะท่องเที่ยวไปไหน รัศมีกายของท่านจะกลบรัศมีของเทพองค์อื่นๆ แม้กระทั่งพระอินทร์ยังต้องหลบเข้าไปอยู่ในเวชยันตปราสาทของตัวเอง จนกว่าเทพบุตรท่านนี้จะผ่านไป ด้วยเกิดความละอายที่รัศมีกายของตัวน้อยกว่า เพราะพระองค์เองเป็นถึงจอมเทพแต่กลับสว่างไสวสู้อเนกวรรณเทพบุตรไม่ได้

สมัยนั้น ท่าน พระมหาโมคคัลลานะ เที่ยวจาริกไปในเทวโลก อเนกวรรณเทพบุตรเห็นพระเถระ ก็บังเกิดความเคารพเลื่อมใสได้ลงจากราชรถ แล้วเดินเข้าไปหาท่าน ยืนประคองอัญชลีทำความนอบน้อมพระเถระ และได้สนทนาธรรมกับท่าน พระเถระได้กล่าวชื่นชมว่า “ดูก่อนเทพบุตร ตัวท่านนี้เป็นประดุจท้าวสุนิมมิตเทวราช ผู้เป็นใหญ่ในเทวดา ไม่มีใครเสมอเหมือน ไม่มีใครยิ่งกว่าท่านด้วยยศ ด้วยบุญและด้วยฤทธิ์ หมู่ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ต่างชุมนุมกันสักการบูชาท่าน ดุจเทวดาสักการะพระมหาจุฬามณี และเทพอัปสรเหล่านี้ต่างฟ้อนรำ ขับร้อง บันเทิงอยู่รอบๆ ท่าน ท่านเป็นผู้บรรลุเทพฤทธิ์มีอานุภาพมาก ครั้งเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ รัศมีของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ” เทพบุตรมีมหาปีติจึงได้เล่าบุพกรรมของตัวเองให้พระเถระฟัง พระเถระได้รับฟังแล้วก็อนุโมทนา จากนั้นอำลากลับลงมายังโลกมนุษย์ตามเดิม

จากเรื่องนี้ เราจะเห็นได้ว่า บุญใหญ่จากการบูชาพระเจดีย์ และชักชวนผู้มีบุญให้มานมัสการพระเจดีย์นั้น เป็นบุญใหญ่มาก ที่นอกจากจะทำให้เราได้สวรรค์สมบัติแล้ว ยังมีรัศมีกาย มีวิมานที่สว่างไสว และเป็นที่เคารพสักการบูชาของเหล่าเทวดาอีกด้วย จึงอยากเชิญชวนให้ทุกท่านได้มาเอาบุญใหญ่ จากการบูชาเจดีย์ต่างๆ ซึ่งปู่ย่าตายายของพวกเราได้ช่วยกันสถาปนากันขึ้นมา เพราะท่านเหล่านั้นตระหนักดี ถึงบุญที่เกิดจากการทำจิตให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยโดยผ่านเจดีย์ต่างๆ เหล่านั้น จะได้มีสุคติเป็นที่ไปกันทุกคน ดังนั้น อย่าได้พลาดบุญใหญ่ครั้งนี้ เพราะว่า ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินํ บุญทั้งหลา ย เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลายในปรโลก

* มก. เล่ม ๔ ๘ หน้า ๖ ๑๙

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/15560
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *