
เราไม่ได้ใครจะได้เล่าลูกเอ๋ย
ทำเสบยใจสบายได้แหง๋แหง๋
ก็พวกเราท่านผู้รู้เขาดูแล
ล้วนแต่ธาตุแก่แก่ในนิพพาน
ตะวันธรรม
(เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ……..)
…อย่าท้อ
อย่าทอดทิ้งความเพียร ทำไปทุกวัน
แม้ว่าในช่วงนี้เราอาจจะมีความรู้สึกว่า
ผลการปฏิบัติยังไม่เกิดขึ้นชัดเจน
คือยังเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัยในตัว
หรือยังมืดมัวอยู่ ก็อย่าไปวิตกกังวล
เพราะทุกครั้งที่เรานั่งหลับตา ฝึกใจให้หยุดนิ่ง แม้แสง
สว่างยังไม่เกิด หรือสุขจากสมาธิยังไม่ได้ ภาพต่างๆ ยังไม่มี
มาให้เราดูก็ตาม ก็ไม่ได้แปลว่าเราฝึกแล้วไม่ก้าวหน้า หรือไม่
ได้อะไรเลย ซึ่งเรามักจะใช้คำนี้กันอย่างผิดๆ ว่า เราไม่ได้อะไร
เลย หรือไม่ก้าวหน้า
ที่จริงมันก้าวหน้า แต่เราไม่รู้ตัว เพราะมันเห็นไม่ชัดเจน
เหมือนเราปลูกต้นไม้ เรารดน้ำพรวนดินไป รดน้ำทุกวันวันละ
กระป๋อง เรามองไม่ออกหรอกว่า ต้นไม้มันเจริญเติบโตทุกวัน
จากผลการรดน้ำของเรา เรามองไม่ออกว่า มันโตขึ้นวันละกี่มิล
กี่เซ็นต์ แต่เมื่อเรารดไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็จะมีดอกมีผลให้เรา
ได้ชื่นชม สิ่งที่เราทำแล้วไม่มีผลเป็นไม่มี แต่ทุกอย่างก็ต้องมี
เวลาของมัน
การปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน ก็มีเวลาสว่างของเขา เมื่อ
เราบ่มอินทรีย์ให้แก่กล้าขึ้นไปทุกวันด้วยการหมั่นเจริญสมาธิ
ภาวนา วันนี้มืดแต่ก็ไม่ได้หมายถึงจะมืดตลอดกาล เหมือน
ความมืดในยามราตรี มันก็มีเพียง ๑๒ ชั่วโมง ไม่ได้มืดไปถึง
๑๓, ๑๔, ๑๕ ชั่วโมง หรือมืดตลอดกาลก็ไม่ใช่ มันก็มีเวลา
สว่างเหมือนกัน เมื่อถึงเวลา
ถ้าเราคิดอย่างนี้ว่า ยิ่งมืดก็ยิ่งดึก ยิ่งดึกก็ยิ่ง
ใกล้สว่าง จะได้มีกำลังใจ แต่ตอนนี้ทำความเข้าใจ
ก่อนว่า ที่ว่าไม่มีผลหรือไม่ได้อะไรเลยนั้นไม่จริง
สมาธิจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละเล็กทีละน้อยอย่างที่
เราไม่รู้สึกตัว นึกไม่ออก ไม่ชัดเจน แต่ว่าเมื่อถึงวัน
เวลาแล้ว มันก็ให้ได้ผล เป็นรางวัลสำหรับผู้ทำ
ความเพียร คือใจก็จะค่อยๆ โล่ง ค่อยๆ โปร่ง ค่อยๆ
เบาสบาย ตัวก็จะขยายออกไป จนกระทั่งไร้น้ำหนัก
ไร้ตัวตน ตกศูนย์ไป ดวงธรรมเกิด กายภายในเกิด
ตามเห็นกายภายในเข้าไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เข้าถึง
พระรัตนตรัยในตัวเอง ตามขั้นตอนของสมาธิ
เพราะฉะนั้นให้นั่งไปเรื่อยๆ เหมือนเรานั่งรถไฟจะไปที่
หมาย รถไฟเสียงมันก็บอกอยู่แล้ว ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ก็นั่งกัน
เรื่อยไป สุดท้ายก็ไปถึงปลายทางจนได้ เราก็ต้องนั่งเรื่อยไปนะ
ทำให้ได้ทุกวัน อย่างสม่ำเสมอ อย่าให้ขาดเลยแม้แต่เพียง
วันเดียว ไม่ว่าเราจะทำงานหนัก จะเหน็ดเหนื่อย หรือนอนดึก
ก่อนนอนเราก็ต้องนั่งธรรมะ หรือจัดสรรเวลาทำการบ้านที่ให้ไว้
สิ่งนั้นก็จะค่อยๆ สั่งสมไป สั่งสมบุญ สั่งสมบารมี อินทรีย์ของ
เราก็ถูกบ่มให้สุกงอมขึ้นมา ถ้าเป็นการเรียนหนังสือเหมือนกับ
เราค่อยๆ เก็บคะแนนสั่งสมไปเรื่อยๆ เดี๋ยวบุญของเราก็มาก
ขึ้นเอง พอถึงขีดถึงคราวมันก็พรึบขึ้นมาเป็นรางวัลให้แก่เรา
ในสมัยพุทธกาลก็มีอย่างนี้ แม้แต่ผู้ที่ใกล้ชิดพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า ทั้งเป็นนักบวชก็มี ทั้งเป็นฆราวาส คฤหัสถ์ก็มีอีกเหมือน
กัน ที่ว่ากว่าจะเข้าถึงธรรมก็มีระยะเวลาเขาเหมือนกัน บางคน
ก็เร็ว บางคนก็ช้า ขึ้นอยู่กับการสั่งสมบุญบารมีข้ามชาติมา ถ้า
เราทำมามาก ขยันมามากชาติในการทำความเพียร สั่งสมบุญ
มาเยอะ สิ่งที่ยากในกาลก่อนมันก็มาง่ายในตอนนี้ พอฟังธรรม
ไม่กี่คำก็บรรลุแล้ว สว่างแล้ว เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวแล้ว
ที่เรายากในปัจจุบันก็เพราะขี้เกียจในอดีตนั่นแหละ ไม่ได้
ตั้งใจทำกันจริงจัง เพราะฉะนั้นก็เลยมายากชาตินี้ แต่แม้ยาก
ก็ยากไม่มาก มันก็ยากพอสู้ เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นจะต้อง
ไปรู้ว่า เมื่อไรเราจะเห็น เพราะถ้าใครถามคำนี้ก็จะตอบได้ว่า
เมื่อหยุด เราถึงจะเห็น
ทีนี้เราอยากจะเห็นเมื่อไร มันก็แล้วแต่เรา ถ้าหยุดตอนนี้
มันก็เห็นตอนนี้ ถ้าหยุดพรุ่งนี้มันก็เลื่อนไปอีกวันหนึ่ง ถ้าหยุด
อาทิตย์หน้าก็เลื่อนไปอีก ๑ อาทิตย์ ถ้าทำๆ หยุดๆ ก็อีกนาน
ถ้าทำไม่หยุดเลย มันก็เร็วหน่อย เดี๋ยวความหยุดมันก็จะเกิด
ขึ้นกับเรานะลูกนะ
เพราะฉะนั้น อย่าไปท้อ ให้ทำความเพียรกันต่อไป ให้
สม่ำเสมอ เพราะนี่คือกรณียกิจ เป็นกิจที่แท้จริง หรือพูดภาษา
ชาวบ้านว่า เป็นงานที่แท้จริงของชีวิตหนึ่งที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
มาพบพระพุทธศาสนา แม้ไม่พบก็ตาม ชีวิตหนึ่งที่เกิดมาก็เพื่อ
การนี้ ถ้าพบพระพุทธศาสนาก็รู้เรื่องเร็ว แต่ถ้าไม่พบพระพุทธ
ศาสนาก็รู้เรื่องช้า เพราะว่าไม่มีใครจะมาสอนกันเรื่องเหล่านี้
มักจะสอนว่าตายแล้วสูญบ้าง หรือตายแล้วไปสวรรค์
บ้าง ถ้าเชื่ออย่างนั้น อย่างนี้ก็จะไปสวรรค์ แล้วก็เป็นสวรรค์
ที่นิรันดรคล้ายๆ นิพพานของเรา แต่ความจริงชีวิตมันไม่ง่าย
อย่างนั้น เพราะว่ายังมีกิเลสกันอยู่ เมื่อกิเลสยังไม่หมด อยู่ๆ
จะไปนิพพาน จะไปสวรรค์นิรันดรเลยไม่ได้ มันต้องขจัดเชื้อที่
ทำให้เวียนว่ายตายเกิดให้หมดไปเสียก่อน มันถึงจะไม่เกิด ก็
คือการทำพระนิพพานให้แจ้งนั่นเอง หรือถ้าจะย่นระยะเวลา
ในการเกิดก็ต้องทำพระรัตนตรัยนี้ให้แจ่มแจ้ง คือท่านมีอยู่ใน
ตัวเรานี่แหละ แต่ถูกความมืดด้วยนิวรณ์มาบดบังเป็นเครื่อง
กั้นให้มันมืด
เพราะฉะนั้น เราจำง่ายๆ ว่า ถ้าจะให้สว่างก็ต้องหยุดนิ่ง
ฝึกใจไปเรื่อยอย่างสบายๆ ด้วยความเบิกบาน สนุกสนาน
เหมือนคนที่เขาสนุกกับการทำงาน สนุกกับการเรียน สนุกกับ
การเล่น หรือสนุกกับการดูการละเล่น เพลิดเพลินในสิ่งที่ตัว
ชอบอะไรอย่างนั้น
ต้องมีความสุขสนุกสนานกับการเจริญภาวนา
สิ่งที่ยากมันก็จะง่าย สิ่งที่ง่ายมันก็ง่ายมากเพิ่ม
ขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นแสนง่ายล้านง่าย
ทุกอย่างยังเป็นความลับของชีวิตที่ทำให้เราไม่รู้เรื่องเลย
ไม่รู้เรื่องเลยนี่ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า อวิชชา ไม่มีความรู้
เรื่องราวความจริงของชีวิต มันมาบดบังหนาแน่น ทั้งหุ้ม
ทั้งเคลือบ ทั้งเอิบอาบ ซึมซาบ ปนเป็น สวมซ้อน ร้อยไส้ บังคับ
ในธาตุ ในธรรม ในเห็น ในจำ ในคิด ในรู้ บังคับกันหนาแน่น
มองไม่เห็นเลย เราก็ไม่รู้
เหมือนคนตาบอด อยู่ในที่มืด แถมโดนผูกตาเสียอีก ทำให้
ไม่รู้อะไรเลย อวิชชาที่เขาเข้ามาบังคับนี่ก็เหมือนกัน มันหนา
แน่นหลายชั้นมาก ไม่ใช่แค่ ๓ ชั้นที่ยกตัวอย่างไว้ แต่ว่ามันนับ
ชั้นไม่ถ้วน สิ่งเหล่านี้ก็เลยเป็นความลับของชีวิต จนกว่าเมื่อไร
เราทำความสว่างให้เกิดขึ้นในใจของเราโดยการหยุด การนิ่ง สิ่ง
เหล่านี้ก็จะถูกเปิดเผยออกมา
เมื่อไรใจเราติดที่ศูนย์กลางกาย เหมือนติดกาวอย่างดีติด
ไว้กับกลางกาย ความสว่างก็จะเจิดจ้า ยิ่งเข้าถึงพระธรรมกาย
พระรัตนตรัยในตัว ก็จะยิ่งเจิดจ้าเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ
อย่าขี้เกียจนั่ง อย่าท้อ วันนี้นั่งไม่ได้ผล เลิกเสีย
เถอะ เอาไว้ขยันเมื่อไรก็มานั่งต่อ เราจะมานั่งตาม
อารมณ์อย่างนี้ มันไม่เหมาะ มันต้องให้เป็นกิจวัตร
เหมือนเราอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ไม่ต้องมีใคร
มาเตือนเรา พอถึงเวลาเราก็ทำกิจวัตรนั้น ภาวนา
นี่เป็นกิจสำคัญยิ่งกว่าการอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน
เสียอีก เราก็จะต้องทำให้สม่ำเสมอ ให้ติดเป็น
นิสัย เป็นจริตอัธยาศัย จนกระทั่งเป็นขันธสันดาน
นั่นแหละ มันติดกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่า
ไปทำตามอารมณ์ ต้องคุมอารมณ์ให้ได้
แล้วเมื่อไรที่เราถึงจุดที่ความสว่างเกิด เมื่อเราได้สุขของ
สมาธิที่เกิดขึ้น ความรู้สึกว่าทำตามอารมณ์นั้น เบื่อๆ อยากๆ
หรือมีอารมณ์ก็นั่ง ไม่มีอารมณ์ก็ไม่นั่งก็จะหมดไป เราจะมีความ
สุขสนุกสนานกับการทำภาวนา
จากการที่เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวนี่ยังมีสิ่งที่เราจะต้องเรียน
รู้กันอีกเยอะเลย เรียนรู้เรื่องภพภูมิต่างๆ ๓๑ ภูมิ กามภพ
รูปภพ อรูปภพ นิพพาน ภพสาม โลกันตร์ ยังมีสิ่งที่ต้องเรียน
รู้กันอีกเยอะ ซึ่งมันคุ้มกับการลงทุนปฏิบัติธรรม ฝึกใจให้หยุด
นิ่ง ไม่มีวิชาใดหรือศาสตร์ใดๆ ในโลกที่จะทำให้เราแจ่มแจ้ง
หายสงสัยได้นอกจากพุทธศาสตร์ เพราะพุทธศาสนาคือศาสตร์
แห่งความรู้ของท่านผู้รู้ที่จะทำให้แจ่มแจ้ง และมีความสุข เป็น
ความรู้คู่ความสุข คู่คุณธรรม ฉะนั้นเราต้องขยัน เพราะมีสิ่งที่
จะต้องไปเรียนรู้กันอีกเยอะ
เหมือนอย่างพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ของเรา ท่านศึกษา
ท่านก็มีความสุขในการเรียนรู้ทั้งวันทั้งคืน คุณยายอาจารย์ฯ
ก็เช่นเดียวกัน จะศึกษาเรียนรู้กันตลอด ๒๔ น. มันมีสิ่งที่ต้อง
เรียนรู้ไปเรื่อยๆ นี่คือสิ่งที่เราควรจะทุ่มเทชีวิตจิตใจให้มาก สิ่งใด
ที่คุ้มสิ่งนั้นจึงควรแก่การอุทิศตนสำหรับศึกษาเรียนรู้เพื่อการนี้
เมื่อความรู้ภายในเราสว่าง เมื่อเราสว่างแล้วเดี๋ยวโลกก็
สว่างตาม จากคำแนะนำที่ดีที่มีพลังของเรานี่แหละ เพราะเรา
มีประสบการณ์ภายใน จะทำให้โลกสว่างตาม แล้วเมื่อสว่าง
กันไปพร้อมๆ กันจะมีสิ่งที่เรานึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเกิดขึ้น
ในยุคของเรา
ให้ลูกทุกคนเอาใจหยุดนิ่งๆ ให้ใจใสๆ อยู่ที่กลางกายนะ
ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
วันอาทิตย์ที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
โอวาท หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา ที่มา หนังสือง่ายแต่ลึก ๒ บทที่ ๓๔ www.dhamma01.com
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุครับ