อานิสงส์ถวายอารามสงฆ์

อานิสงส์ถวายอารามสงฆ์ (ความปรารถนาพระอุบาลี เอตทัคคะด้านพระวินัย)

     การสั่งสมบุญเป็นหน้าที่หลักของมวลมนุษยชาติทั้งหลาย  เพราะบุญเป็นเบื้องหลังของความสุขและความสำเร็จทุกๆ อย่าง  เพราะการเดินทางไกลในสังสารวัฏอันยาวไกล ที่หาเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุดไม่ได้นี้ จำเป็นต้องมีเสบียงในการเดินทางคือบุญกุศล ซึ่งจะเป็นเหตุทำให้เราไม่พลัดตกไปในอบายภูมิ แต่กลับจะได้เวียนวนอยู่ในสุคติโลกสวรรค์ ได้มีโอกาสชำระกาย วาจา ใจให้สะอาดบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น จนกระทั่งหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เข้าสู่อายตนนิพพานอันเป็นเป้าหมายปลายทางของชีวิต  ดังนั้น การสั่งสมบุญจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปกับการทำธุรกิจการงาน การดำเนินชีวิต โดยเฉพาะบุญที่เกิดจากการเจริญสมาธิภาวนาที่เป็นบุญพิเศษที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวง สามารถไปถึงฝั่งนิพพานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น 

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ในอันนสูตรว่า

“ตสฺมา วิเนยฺย มจฺเฉรํ    ทชฺชา ทานํ มลาภิภู
ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ    ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินํ

     บุคคลพึงนำความตระหนี่ออกไปเสีย พึงข่มความตระหนี่ซึ่งเป็นตัวมลทิน  แล้วพึงให้ทานเถิด เพราะบุญทั้งหลายเป็นที่พึ่งของเหล่าสัตว์ในโลกหน้า”

     เราจะได้ยินกันเป็นประจำว่า เวลาตายไปแล้วต้องเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเวลาถึง ๕๐๐ ชาติบ้าง ๑,๐๐๐ ชาติบ้าง พวกเราอาจสงสัยว่า กระบวนการส่งผลของกุศลวิบากนั้นเป็นอย่างไร  สมมุติว่าเราได้ทำบุญถวายภัตตาหารเป็นสังฆทานแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระอริยสาวก เมื่อถวายทานเสร็จ พระพุทธองค์ก็สอดญาณดูกำลังบุญที่ติดอยู่ในศูนย์กลางกาย ท่านมองด้วยธรรมจักขุของกายธรรมอรหัตที่ทำให้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งปราศจากกิเลสอาสวะ ทรงรู้ได้ด้วยญาณทัสสนะ ดังนั้นจึงทั้งเห็นแจ้งและรู้แจ้งที่เรียกว่า ตรัสรู้  

     ได้ทรงเห็นเป็นภาพว่า บุญที่ได้ถวายภัตตาหารเป็นสังฆทานนี้ จะส่งผลเป็นภาพที่ต่อเนื่องกันไป เช่น เกิดเป็นพระราชาของเทวดาเป็นเวลา ๕๐ ชาติ จะเห็นเป็นภาพต่อๆ กันไปอย่างเดียวกันนี้ถึง ๕๐ ครั้ง แล้วเห็นต่อไปอีกว่า เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองทวีปทั้ง ๔ คือ สมมติว่า ๕๐๐ ชาติ ก็เห็นภาพอย่างนี้ ๕๐๐ ครั้ง ต่อๆ กันไปอย่างนั้น เห็นไปตลอดสาย  เกิดเป็นพระราชาธัมมิกราชอีก ๑,๐๐๐ ชาติ ก็เห็นไป ๑,๐๐๐ ครั้ง ทรงเห็นแจ้งอย่างไร ก็ทรงมีพุทธพยากรณ์อย่างนั้น  จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ในยุคสมัยของใคร ก็ตรัสบอกไปตามภาพที่เห็นนั้น   พระองค์มองต่อกันไปจนถึงภพชาติสุดท้าย ด้วยญาณทัสสนะและธรรมจักขุอย่างนี้จึงเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้งเหมือนเอาเลนส์ใจซ้อนใส่เข้าไปด้วยกันหลายๆ เลนส์  นับเลนส์ไม่ถ้วน  แล้วส่องขยายให้เห็นชัดๆ อย่างนั้น  นี่คือลักษณะการส่งผลของวิบากที่เป็นบุญอย่างย่อๆ เพื่อให้เข้าใจกันได้ง่ายๆ  

     * ครั้งหนึ่ง ในสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้เสด็จเข้าไปนครหงสาวดีเพื่อแสดงธรรมให้พระบิดาฟัง พราหมณ์คนหนึ่งมีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ได้เข้าไปร่วมฟังธรรมในมหาสมาคมนั้นด้วย ท่านได้ยินพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ดาบสตนหนึ่ง ซึ่งได้ใช้อิทธิปาฏิหาริย์ นำดอกไม้มาบังแสงแดดให้กับพุทธบริษัทที่มาฟังธรรม ซึ่งนั่งล้อมรอบพระองค์กว้างเป็นระยะทางถึง ๑ โยชน์ พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า ต่อไปในอนาคตกาล ดาบสท่านนี้จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในสมัยของพระโคตมพุทธเจ้า และเป็นผู้เลิศในด้านพระธรรมกถึก

     พราหมณ์สุชาติได้ยินคำพยากรณ์เช่นนั้น จึงปรารถนาจะอยากได้บุญใหญ่เช่นนั้นบ้าง จึงตัดสินใจรวบรวมทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีอยู่ นำไปซื้อที่ดินเพื่อสร้างวัดขึ้น เมื่อดูชัยภูมิแล้ว เห็นว่าที่ดินบริเวณหน้าพระนครเหมาะสมต่อการสร้างวัด จึงได้ซื้อสวนชื่อว่าโสภณะ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าพระนคร แล้วจึงเริ่มสร้างสังฆารามถวายสงฆ์ นอกจากสร้างวัดแล้ว ยังทำการตกแต่งเรือนยอด ปราสาท มณฑป ถ้ำและที่จงกรม เพื่อให้ดูเหมือนเป็นวัดป่า อะไรที่ยังขาดตกบกพร่องก็แสวงหามา เพื่อที่ว่าพระภิกษุจะได้ปฏิบัติธรรมอย่างสะดวกสบาย  ภายในวัดจึงพรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคทุกชนิด  

     ท่านได้ตั้งการอารักขาด้วยการก่อสร้างกำแพง เพื่อไม่ให้สัตว์ร้ายหรือผู้ไม่หวังดี เข้ามาก่อกวนความสงบ สร้างที่พักอาศัยให้ญาติโยมที่ตั้งใจมาปฏิบัติธรรม ภายในวัดได้จัดแบ่งเขตเป็นสัดส่วน ทั้งเขตสังฆาวาสและเขตของอุบาสกอุบาสิกา   เมื่อเห็นว่าทุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแล้ว จึงได้ถวายภัตตาหารแด่ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นจำนวนถึงหนึ่งแสนรูป แล้วกล่าวคำถวายแด่สงฆ์ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

     เมื่อพระบรมศาสดาทรงฉันเสร็จ พราหมณ์ได้กราบทูลว่า “อารามชื่อโสภณะนี้ ข้าพระองค์ซื้อด้วยทรัพย์ที่แสวงหามาตลอดทั้งชีวิต ทุ่มเทสร้างขึ้นเพื่อหวังบุญเป็นที่ตั้ง ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายสังฆารามในครั้งนี้ ขอจงเป็นพลวปัจจัยให้ข้าพระองค์ ได้เป็นภิกษุผู้ทรงพระวินัยในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้าด้วยเถิด”

      พระบรมศาสดาได้ทรงตรวจดูว่า ความปรารถนาของพราหมณ์นี้จะสำเร็จหรือไม่  ครั้นเมื่อพิจารณาเห็นแล้ว จึงทรงพยากรณ์ว่า “ผู้ใดได้มอบถวายสังฆารามที่สร้างเรียบร้อยแด่พระพุทธเจ้า  เราตถาคตกล่าวสรรเสริญเขาผู้นั้น จตุรงคเสนา คือ พลช้าง พลม้า พลรถ และพลเดินเท้า จักแวดล้อมผู้นั้นอยู่เป็นนิจ นี้เป็นผลแห่งการถวายสังฆาราม  เครื่องดุริยางค์หกหมื่นและกลองทั้งหลายที่ตกแต่งไว้อย่างเหมาะสม จักประโคมห้อมล้อมผู้นั้นอยู่เป็นนิจ  ผู้นั้นจักรื่นเริงใจอยู่ในเทวโลกเป็นเวลาสามหมื่นกัป จักเป็นท้าวสักกะเสวยเทวรัชสมบัติถึงพันครั้ง  จักได้เสวยสมบัติทั้งหมดที่ราชาแห่งทวยเทพจะพึงครอบครอง จักเป็นผู้มีสมบัติตักไม่พร่อง เป็นพระเจ้าจักรพรรดิในแว่นแคว้นหนึ่งพันครั้ง เสวยราชสมบัติอันไพบูลย์ในแผ่นดินนับครั้งไม่ถ้วน  ในอีกแสนกัปแต่กัปนี้ไป เธอจักได้เป็นสาวกของพระโคตมพุทธเจ้า ได้ฉายานามว่า อุบาลี  เธอจักเป็นผู้ทรงพระวินัย เป็นผู้ฉลาดในฐานะและอฐานะ  ดำรงไว้ซึ่งพระศาสนาของพระชินเจ้า ”  

     เมื่อท่านพราหมณ์สุชาติได้ยินคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเช่นนั้นแล้ว ก็บังเกิดความปีติใจเหมือนกับว่ากำลังจะได้สมบัติใหญ่ตามที่พระบรมศาสดาทรงพยากรณ์เอาไว้แล้วซึ่งจะบังเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้กันเลยทีเดียว  ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จะแสวงหาโอกาสอุปัฏฐากบำรุงพระบรมศาสดาพร้อมทั้งหมู่ภิกษุสงฆ์ โดยเที่ยวแวะเวียนเข้าออกระหว่างวัดกับบ้านเป็นประจำมิได้ขาด  จิตใจผูกพันอยู่เพียงกับวัดที่ตนเองได้ก่อสร้างขึ้นมาเท่านั้น

     ครั้นเมื่อละสังขารแล้ว ได้ประสบกับผลบุญที่เกิดจากการถวายสังฆารามในครั้งนั้น ตรงตามพุทธพยากรณ์ที่ได้รับจากพระบรมศาสดาที่กลายเป็นความจริงทุกประการ จนกระทั่งมาถึงภพชาติสุดท้ายท่านได้ออกบวชเป็นพระเถระชื่อว่า อุบาลีได้เป็นผู้เลิศในด้านทรงจำพระวินัย จนได้รับตำแหน่งเอตทัคคะอันยอดเยี่ยม ท่านได้ถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิต ถึงกับเปล่งอุทานว่า  ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์เดือดร้อนเพราะเคราะห์คือความมืด เสาะแสวงหาแสงสว่างคือญาณ เพื่อให้รอดพ้นจากความมืด จึงได้พบพระศากยมุนีผู้ทรงกำจัดความมืดคือกิเลสออกไปได้ พระองค์ได้ทรงกำจัดความมืดในใจให้ข้าพระองค์

     ข้าแต่พระมุนี ข้าพระองค์หมายใจไว้แสนกัปเพื่อขอบำรุงพระองค์ นมัสการทั้งเช้า ทั้งเย็น เหมือนทวยเทพมุ่งหมายเถาอาสาวดี  การปรนนิบัติและการนมัสการของข้าพระองค์ไม่เป็นโมฆะ  บัดนี้ ข้าพระองค์ปราศจากอุปธิ สงบระงับแล้ว เบิกบานแล้วเพราะพุทธบารมี  ข้าพระองค์ได้ปรารถนาตำแหน่งนี้มาเป็นเวลาแสนกัป บัดนี้ได้บรรลุประโยชน์นั้นแล้ว  ภพทั้งหมดข้าพระองค์ถอนแล้ว  วิชชา ๓  วิชชา ๘  ปฏิสัมภิทา ๔  วิโมกข์ ๘  และอภิญญา ๖  เหล่านี้  ข้าพระองค์ได้ทำให้แจ้งแล้ว
 
      เราจะเห็นได้ว่า บุญทั้งหลายที่ได้ทำเอาไว้อย่างดีแล้ว สามารถทำความปรารถนาที่เราทั้งหลายต่างตั้งใจเอาไว้ให้กลายเป็นจริงได้  ถ้าหากตั้งใจทำตามมโนปณิธานอย่างแน่วแน่  ขอเพียงไม่ย่อท้อ ไม่สิ้นหวัง มีความมานะบากบั่น สั่งสมบุญกันเรื่อยไป  สักวันหนึ่งก็จะสมปรารถนา “บุญ”  คำเดียวมีคุณค่าต่อชีวิตจิตใจของเราอย่างมาก  ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ ต้องอาศัยบุญเป็นหลัก โดยเฉพาะบุญที่จะนำพาตนเองและสรรพสัตว์ไปสู่การรื้อวัฏฏะเพื่อมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรมนั้นต้องเป็นบุญใหญ่มากๆ  และต้องสร้างกันไปอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน ให้มีความมุ่งมั่นตั้งใจหมั่นสร้างบารมีในทุกรูปแบบให้ครบถ้วนบริบูรณ์ แล้วสักวันหนึ่งเราจะสมปรารถนา ได้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ในชีวิตกันทุกๆ คน

* มก. มหากปิชาดก เล่ม ๗๐ หน้า ๕๖๓

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/11353
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับอานิสงส์แห่งบุญ ๑

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article

1 thought on “อานิสงส์ถวายอารามสงฆ์”

  1. ✨น้อมกราบหลวงพ่อธัมมชโย#คุณครู
    ไม่ใหญ่ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ
    🌿🌷🏵️🌼💐🌺💮🌺💐🌼🏵️🌷🌿

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *