สองเรา (ตอน ๑)
ตอนลูกอายุ ๑๗ ปี ได้แต่งงานแบบคลุมถุงชนกับหนุ่มพ่อค้ารับซื้อพืชผลทางการเกษตรซึ่งอายุแก่กว่า ๕ ปีอยู่กินด้วยกันมา ๙ ปี มีลูก ๓ คน ชาย ๑ หญิง ๒
เมื่อคุณแม่ป่วยเป็นวัณโรคลูกก็จะไปนอนเฝ้าและดูแลท่านในโรงพยาบาล ทำให้สามีไม่ค่อยชอบใจ เขามาต่อว่าลูก เพราะรังเกียจเกรงว่า ลูกจะติดเชื้อวัณโรค เขาพูดจาว่ากล่าวไม่ให้ความเคารพต่อคุณพ่อคุณแม่ของลูกเลย เราจึงทะเลาะกัน ทำให้ลูกตัดสินใจหย่าขาดจากเขาแล้วก็ไปดูแลคุณแม่อย่างใกล้ชิดในช่วงเวลาสุดท้ายของท่าน ๘ วันต่อมา คุณแม่ก็เสียชีวิต
หลังงานศพของท่าน ลูกก็ได้สมัครไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ มีหน้าที่ทำอาหารและเลี้ยงเด็กในบ้านของนายจ้างคนหนึ่ง งานที่ทำหนักและเหนื่อยมาก เงินเดือนก็ได้น้อยลูกทำอยู่ ๒ ปี จึงกลับมาเมืองไทย แล้วหางานทำต่อที่กรุงเทพ เป็นพนักงานทำผมในร้านเสริมสวยแห่งหนึ่ง ทำอยู่ ๑ ปี ก็มีคนมาชวนลูกและเพื่อนในร้านไปทำงานร้านอาหารที่ประเทศเบลเยี่ยม
๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ลูกเดินทางถึงเบลเยี่ยม พอก้าวลงจากเครื่องบินก็เกิดเรื่องทันที คือ กระเป๋าเดินทางหาย เสื้อผ้าอย่างดีจำนวนหลายชุดที่ซื้อมาจากเมืองไทยรวมเป็นเงินแล้วไม่ต่ำกว่า ๔๐,๐๐๐ บาท ได้หายไปพร้อมกับกระเป๋าใบนั้น ลูกรู้สึกหดหู่ใจมากเพราะขณะนั้นเหลือแต่เสื้อผ้าติดตัวอยู่เพียงชุดเดียวเท่านั้น
ขณะที่ลูกกำลังมึนงง สับสน หมดอาลัยตายอยากในชีวิตนั้นเอง ก็มีหนุ่มใหญ่ชาวเบลเยี่ยมคนหนึ่ง อายุราว ๆ ๔๕ ปี เดินเข้ามาหาลูก ดูท่าทางเขาเป็นคนใจดี มาถึงก็สอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น พอรู้ก็รับเป็นธุระติดต่อกับพนักงานของสายการบินทันที
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็มาหาลูกที่ร้านอาหารเดือนละครั้ง เขาบอกว่า สงสารลูกมาทีไรมักจะให้ pocke tmoney ครั้งละ ๕,๐๐๐ – ๑๐,๐๐๐ ฟรังก์
หนุ่มใหญ่ใจดีคนนี้ แท้จริงแล้วเขาเป็นนักธุรกิจใหญ่ ระดับประธานบริษัทก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเบลเยี่ยมมีภรรยาและลูกสาว ๒ คน แต่ในช่วงที่เจอลูก เขาทะเลาะกับภรรยาอย่างรุนแรงถึงขั้นหมิ่นเหม่ต่อการแยกทางกัน
สามเดือนต่อมา ก็มีหนุ่มใหญ่ชาวเบลเยี่ยม อีกคนหนึ่งอายุราว ๕๑ ปี เป็นเจ้าของบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่งในย่านนั้น เขามาทานอาหารและดื่มเหล้าที่ร้าน พร้อมทั้งแสดงความสนใจในตัวลูก เขาบอกว่า ตอนนี้ผมกำลังมีทุกข์หนักเพราะภรรยาทิ้งไปมีสามีใหม่ แต่พอมาเจอลูกชีวิตเขาเหมือนได้เจอแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง เขาจะมาที่ร้านสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง
พอคบกันมาได้ระยะหนึ่ง เขาก็ขอลูกแต่งงาน ตัวลูกเองเห็นว่า เขามีความจริงใจต่อลูก ดูโหงวเฮ้งแล้วพอที่จะเป็นผู้นำที่ดีของครอบครัวได้ ก็เลยคิดว่าจะแต่งงานกับเขาอีกทั้งลูกและเพื่อนหญิงที่ทำงานด้วยกันก็อยากจะหนีออกจากร้านอาหารที่ทำอยู่ขณะนั้นเต็มที จึงขอให้หนุ่มใหญ่ชาวเบลเยี่ยมคนนี้ช่วย แล้วเขาก็ช่วยจัดการให้สำเร็จได้จริง ๆ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นลูกและเพื่อนจะต้องทนทำงานที่นี่อีกนานจนกว่าจะหมดสัญญาจ้าง
ส่วนหนุ่มใหญ่ใจดีคนแรก เขาก็ยังคงแวะมาหาลูกที่ร้านอาหารเดือนละครั้งตามปกติ พอทราบว่าลูกหนีออกจากร้านไปแล้วก็พยายามสืบเสาะแสวงหาจนพบลูก ซึ่งเช่าอพาร์ตเม้นท์อยู่กับเพื่อนอีกเมืองหนึ่ง พอสองเราเจอกัน ลูกก็บอกกับเขาว่า “ได้เจอคนที่คิดว่าจะแต่งงานด้วยแล้ว”
ทันทีที่ลูกพูดจบ สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น คือ เขาคุกเข่าลงกราบลูกและกอดขาลูกไว้พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญ พร่ำบอกกับลูกว่า “I love you อย่าให้ผมต้องสูญเสียคุณไปเลย ผมขอช่วยคุณอีกสักครั้ง คุณต้องกำรอะไร คุณอยากกลับเมืองไทยไม่ใช่หรือ คุณมีลูกเล็ก ๆ และพ่อแก่ ๆ คอยอยู่ที่นั่น”
ลูกนิ่งฟังเขา คิดในใจว่า ผู้ชายคนนี้เข้าใจความต้องการของเรา ลูกอยากกลับเมืองไทยมากจริง ๆ แต่ยังกลับไม่ได้ เพราะยังเก็บเงินได้ไม่มากพออย่างที่ตั้งใจไว้ เขาถามลูกว่า “ต้องการเงินเท่าไรจึงจะกลับเมืองไทยได้”ลูกตอบไปอย่างไม่มั่นใจว่า “๑ ล้าน” เขามีสีหน้าเต็มไปด้วยความหวังพร้อมถามลูกว่า “ถ้าได้เงิน ๑ ล้านแล้วจะเอาไปทำอะไรบ้าง ”ลูกตอบว่า “เอาไปสร้างบ้าน แล้วเปิดร้านขายของ” เขาควักเงินออกมา ๒ ปึกใหญ่ ปึกละ ๕ แสนฟรังก์ วางใส่มือลูกทันที ซ้ำยังจัดแจงจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวด่วนที่สุดเท่าที่จะหาได้ให้กับลูก
สามวันต่อมา เขาก็ส่งลูกกลับเมืองไทยโดยที่เขาก็ไม่ได้เรียกร้องหรือมีข้อผูกมัดใด ๆ ในตัวลูกเลย นอกจากคำพูดที่ว่า “สักวันหนึ่ง หากผมมีอิสระแล้ว ผมจะไปพบคุณ”
ขณะบินอยู่เหนือน่านฟ้ายุโรป ลูกเองรู้สึกมึนงงสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างกะทันหัน ลูกไม่รู้จะอธิบายให้หนุ่มใหญ่ที่มาขอลูกแต่งงานได้อย่างไร เขาจึงจะเข้าใจและไม่เสียใจ ลูกจึงตัดใจจากมาโดยไม่ได้กล่าวคำอำลาใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งความจริงลูกเองก็ไม่ได้อยากแต่งงาน เพียงแต่อยากจะสร้างหลักฐานของตนเอง และอยู่ท่ามกลางญาติพี่น้องที่เมืองไทยมากกว่า
เมื่อกลับเมืองไทยแล้ว ลูกก็ซื้อที่ดินและสร้างบ้านเสร็จเรียบร้อยภายในต้นปี พ.ศ. ๒๕๓๐ แล้วหันมาทำธุรกิจซื้อขายที่ดิน จนเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในท้องถิ่นนั้น
เดือนสิงหาคมปีเดียวกัน หนุ่มใหญ่ใจดีคนสำคัญของลูกก็เดินทางมาเยี่ยมที่เมืองไทยเป็นครั้งแรก เพื่อมาดูความเป็นอยู่ของลูก เขามาได้ ๑ สัปดาห์ ก็กลับ ปีถัดมาเขาได้ขยายกิจการบริษัทไปลงทุนที่สหรัฐอเมริกา พร้อมกับให้เลขาดำเนินการรับรองวีซ่าและจองตั๋วให้ลูกไปอเมริกาด้วย
ลูกไปเที่ยวอเมริกากับเขาเป็นเวลาเดือนเศษ แต่เราก็ยังคงไม่มีพันธะสัญญาว่าจะแต่งงานกันแต่อย่างใด เพราะเขายังไม่ได้หย่าขาดกับภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๒ เขาได้หย่าขาดจากภรรยาเรียบร้อย แล้วพาลูกไปเที่ยวอเมริกาอีกครั้ง หลังกลับจากอเมริกา เขาก็พาลูกนั่งรถไปดูคฤหาสน์หลังใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ ๒๔ ไร่ ในย่านที่ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงของประเทศเบลเยี่ยมขณะเดินชมคฤหาสน์เขาก็เปรย ๆ กับลูกว่า “บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ ผมไม่ได้สร้างไว้เพื่ออยู่คนเดียวหรอกนะ”
ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ เขาก็บินมาจดทะเบียนสมรสกับลูกที่เมืองไทย แล้วพาลูกกลับไปอยู่คฤหาสน์หลังนั้น ลูกเองจะกลับมาเยี่ยมลูกทั้งสามคน ที่เมืองไทยปีละ ๒ ครั้ง
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ลูกก็บินกลับมาคลอดลูกสาวที่โรงพยาบาล จ.อุดรธานี เมื่อลูกสาวแข็งแรงดีแล้วก็บินกลับเบลเยี่ยม ปลายปีเดียวกันนั้น สามีของลูกก็ล้มป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในหัวใจตีบ ต้องเข้ารับการผ่าตัด และในปีนั้นเอง คฤหาสน์ของเราก็ถูกปล้นต้องสูญเสียเงินในตู้เซฟไป ๑๓ ล้านบาท
ช่วงนั้นดูเหมือนว่าเหตุการณ์ร้าย ๆ จะประดังถาโถมเข้ามาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพที่ทรุดหนักของสามี วิกฤตเศรษฐกิจที่ส่งผลให้บริษัทต้องขาดทุนและ
เป็นหนี้ สามีจึงตัดสินใจปล่อยงานให้ผู้บริหารระดับรองจากเขาเข้ามาบริหารกิจการแทน ส่วนตัวเขาได้ขายสมบัติที่สะสมไว้นำมาใช้หนี้ทางธุรกิจ แล้วปลีกตัวมาอยู่ที่เมืองไทยกับลูกอย่างเงียบ ๆ สุขภาพของเขาไม่แข็งแรงเลย ในที่สุดก็มาเสียชีวิต เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๐ ข้างๆ ลูกและลูกสาวของเขา
ลูกมีวิบากกรรมใดจึงถูกคลุมถุงชนแต่งงาน และต้องหย่าขาดกับสามีคนแรก ด้วยสาเหตุที่เขาไม่ให้ความเคารพต่อคุณพ่อคุณแม่ของลูก ไม่ใช่เพราะการนอกใจ อย่างนี้จะเป็นเพราะกรรมกาเมฯ ของลูกหรือไม่คะ
คุณครูไม่ใหญ่
ลูกถูกคลุมถุงชนแต่งงาน และหย่าขาดจากสามีคนแรก ด้วยสาเหตุดังกล่าว ก็ไม่ใช่เกิดจากกรรมกาเมฯ ของลูกโดยตรง แต่เป็นเพราะคุณธรรมของลูกและสามีไม่เสมอกันในปัจจุบันจ้ะ คือ ตัวลูกมีความกตัญญูกตเวที
ลูกถูกคลุมถุงชนแต่งงานในชาตินี้ ก็เป็นภาพในอดีตของลูกที่เคยคลุมถุงชนลูกหลาน ในสมัยที่เกิดในสังคมเกษตรกรรม วิบากกรรมนี้มาส่งผล
๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://www.dhamma01.com/book/17
ต้นฉบับ หนังสือ ที่นี่มีคำตอบ ๗
กลับสู่
สารบัญ หนังสือที่นี่มีคำตอบ