คำถาม:
พระภิกษุที่มีบุคลิกดี มีเสียงดี เทศน์น่าฟัง ท่านทำบุญมาอย่างไรคะ?
คำตอบ:
ก็ขอบอกก่อนว่า บุคลิกดี เสียงดีนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ กับคนใดคนหนึ่ง ผู้ที่จะได้สิ่งนี้มา จะต้องฝึกตัวติดต่อกันมาหลายชาติทีเดียว
คนที่บุคลิกดีอย่างน้อยที่สุดต้องรักษาศีลมาดี ไม่เคยไปทุบตี ทำร้ายใคร รู้จักขวนขวายช่วยเหงืองานบุญงานกุศล มีความเคารพนบนอบผู้ใหญ่และผู้ปฏิบัติธรรม ผลของความดีนี้เลยส่งผลให้ข้ามภพข้ามชาติมาทำให้ได้บุคลิกดี
คนที่เสียงดี ถามว่าสร้างบุญอะไรมาหรือ? พวกนี้โดยทั่วๆ ไปก็คือ ข้ามภพข้ามชาติมาไม่นินทาคนอื่น ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ ได้สวดมนต์บูชาสรรเสริญพระรัตนตรัยเป็นประจำ ได้ยกย่องสรรเสริญบูชาบุคคลที่ทำความดี คนที่ควรบูชาในทุกโอกาส
คนที่ได้ลักษณะดีๆ มานั้นเป็นผลจากการทำความดีข้ามภพข้ามชาติของเขาเอง แต่ก็มีสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หลายคนพอได้ลักษณะที่ดีนี้มาแล้วมักจะลืมตัวใช้ความดีเหล่านี้ไปโอ้อวดข่มคนอื่น ผลที่สุดกลายเป็นว่า บุญที่อุตส่าห์สร้างมาข้ามภพข้ามชาติกลับนำไปใช้เป็นฐานสำหรับสร้างบาป
น่าเสียดายจริงๆ เหมือนอย่างคนในยุคนี้หลายๆ คน ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง อาจจะเป็นทางด้านการแสดง การร้องรำอะไรก็ตามที การที่เขามีชื่อเสียงดี รูปร่างดี แสดงได้ดีอย่างนั้น ก็แสดงว่าเขาได้ก่อเหตุดี สร้างกรรมดีในอดีตมามากพอสมควรทีเดียว
แต่มาชาตินี้ น่าเสียดายที่บางคนกลับเอาเสียงดีๆ ของตัวเองไปใช้ในทางที่ผิด เช่น แทนที่จะมาสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยต่อ เพื่อให้จิตใจจะได้อ่อนโยนนุ่มนวล แล้วก็ชวนคนอื่นให้สวดมนต์ตาม กลับใช้เสียงดีๆ ของตัวเองไปร้องเพลงยั่วยุกามเสียอีก ตัวเองก็ตกอยู่ในอำนาจกาม คนอื่นฟังก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย
ผลสุดท้ายเสียงเพราะๆ ซึ่งเกิดจากอำนาจบุญที่สร้างมาดีแล้วในอดีต กลับถูกนำมาใช้ก่อบาปในชาตินี้ น่าเสียดายจริงๆ และเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเฉพาะดาราทั้งหลายหรอก เราเองก็เป็นกัน
หลวงพ่อเองเมื่อก่อนนี้ก็เป็น ตั้งแต่เล็กมาก็ไม่รู้ตัวหรอกว่ามันเพราะอะไร รู้แต่ว่าถ้าจะปล้ำกับพรรคพวกรุ่นเดียวกันแล้วล่ะก็ถ้าตัวเท่าๆกัน เป็นจับขว้างกระเด็นไปหมดทั้งนั้น ต่อยกันพักเดียว เดี๋ยวเขาหมอบกันไปแล้ว ก็หลงชมตัวเองว่าข้าเก่ง
จนกระทั่งมาพบคุณยายจึงได้รู้ว่า เรี่ยวแรงแข็งขันเหล่านั้นน่ะมันมาจากอำนาจบุญของเรา ที่เกิดจากการขวนขวายช่วยเหลือกิจการที่ดีที่ชอบ ตรงกับหลักที่ว่า ผู้ให้ย่อม ได้รับ ผู้ให้กำลัง ย่อมได้กำลัง คือเป็นคนไม่ดูดายข้ามภพข้ามชาติมา อะไรที่เป็นความดี อะไรที่เป็นประโยชน์แก่หมู่คณะหรือส่วนรวมแล้ว เป็นต้องขวนขวายรีบเร่งอาสาสมัครเข้าไปทำออกหน้าเขาเลย
เพราะฉะนั้นก็เลยได้บุญตรงนี้ติดตัวมา แต่ว่าเมื่อได้แล้ว เนื่องจากไม่สามารถระลึกชาติหนหลังได้ ก็ใช้บุญตรงนี้ไปในการอาละวาดเกะกะระรานไปพักใหญ่
อยากจะชี้ให้ดูอีกด้วยว่า ทุกครั้งที่มีการนำเอาปมเด่นของตัวเองไปข่มเหง หรือเอาไปอวดคนอื่น เราจะมีโรคเกิดขึ้นมาอีกโรคหนึ่ง คือ โรคหิวคำชม ที่ไปข่มเขา ไปโอ้อวดเขา เพื่ออะไร ก็ต้องการคำชมว่าเก่งใช่ไหม? เสร็จแล้วไม่มีใครเขาชม เพราะว่าแต่ละคนก็เป็นโรคหิวคำชมด้วยกันทั้งนั้น เลยเป็นเหตุให้ทะเลาะกันเอง
ตรงนี้ขอฝากไว้ เมื่อเวลาทำงานแล้วไปพบผู้ร่วมงานประเภทหิวคำชม หรือถ้าจะต้องทำงานกับคนที่มีอะไรก็อยากจะอวดเพื่อให้เขาชมละก็ ดูภาวะให้ดี ในภาวะที่เขายังเป็นเด็กอยู่ หรือในภาวะที่เขามีปมด้อยอย่างอื่นอยู่มาก ก็ช่วยชมเขาหน่อย ให้ใจมันฟูขึ้นมาสักนิดจะได้สบายใจ แล้วงานการของหมู่คณะจะไปกันราบรื่น
ขอให้มองคนอวดเก่ง อวดดี อวดวิเศษทั้งหลายว่า คือคนที่กำลังเป็นโรคหิวคำชม แล้วเราก็ดูให้พอเหมาะว่าจะให้หรือไม่ให้คำชมนั้น ถ้าให้แล้วมันชักจะเหลิงจัดไป อย่าไปให้ เบรกเสียแรงๆ ด้วยก็จะยิ่งดี
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีข้อแม้ว่า ดูเรื่องของส่วนรวมเป็นหลัก อย่าให้เรื่องของส่วนรวมเสียหาย แล้วก็ปรับให้พอเหมาะ
คนเราอยู่ด้วยกันจำนวนมาก ก็ต้องรู้ใจกันอย่างนี้ แล้วมันแปลกเสียด้วย พวกหิวคำชมนี่ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเป็นได้ก่อความแตกแยกกันเรื่อยไป ขอให้ระวังไว้ด้วย
โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)
วันที่
ที่มา
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
บทความหลวงพ่อตอบปัญหา