คำถาม:
ลูกอยากกราบเรียนถามว่าคำโบราณท่านพูดว่า สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน จริงๆ แล้วมีความหมายว่าอย่างไรเจ้าคะ
คำตอบ:
ในเรื่องของการสวดมนต์ คำว่า “สวด” เป็นกิริยาของการท่องนั่นเอง การท่องเป็นทำนอง เป็นจังหวะ “มนต์” คืออะไร? มนต์สำหรับชาวพุทธก็คือคำเทศน์ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นสวดมนต์ของชาวพุทธ ก็เป็นเรื่องของการทบทวนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สวดไปก็ได้ความรู้ความเข้าใจในธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง และแน่นอนความสบายใจก็เกิดขึ้นด้วย เกิดขึ้นเพราะธรรมะที่เราสวดอย่างหนึ่ง และเกิดขึ้นเพราะว่ารำลึกถึงพระคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อีกอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นพร้อมๆ กันไป
ถามว่าขณะที่สวดมนต์อยู่ ใจเป็นสมาธิไหม? ก็เป็น แต่เป็นในระดับตื้น ไม่ได้เป็นสมาธิในระดับลึก เมื่อเป็นสมาธิในระดับตื้น ก็ให้คุณประโยชน์กับใจของเราได้ในระดับตื้น คือให้ความชุ่มชื่น ให้ความเบิกบานระดับหนึ่ง แล้วก็ได้ความปลื้มปีติที่ว่าเราได้ทบทวนคำสอนธรรมะของสมเด็จพ่อของเรา ด้วยเหตุว่าการสวดมนต์นำความปลื้มใจ นำสมาธิมาให้ระดับตื้น ท่านจึงได้อุปมาว่าเหมือนยาทา แต่ว่ายาทาชนิดนี้ ทาแล้วทะลุถึงใจนะ ไม่ใช่ยาทา ยาหม่องธรรมดา
ส่วนคำว่า “ภาวนา” หมายถึง การทำสมาธิอย่างต่อเนื่อง เมื่อเป็นการทำสมาธิอย่างต่อเนื่องกันเป็นชั่วโมง เป็นวัน บางทีทำต่อเนื่องกันเป็นเดือน เป็นปี นักทำสมาธิโดยทั่วๆ ไป แบบชาวโลก ทำสมาธิกันแต่ละครั้งก็ ชั่วโมงหนึ่ง , ๔๕ นาทีก็เป็นอย่างน้อย ใจก็ดื่มด่ำ นิ่ง หยุดลงไปเลย ที่ศูนย์กลางกายภายในตัว เมื่อใจนิ่งลงไปอย่างนั้น ใจก็รวมอยู่ที่ศูนย์กลางกาย
เมื่อเป็นอย่างนี้ ใจจึงหยุดนิ่งได้สนิทกว่าการสวดมนต์ เมื่อใจหยุดใจนิ่งได้สนิทกว่าการสวดมนต์ ความชุ่มชื่นที่เกิดภายในก็ตาม ความสว่างที่เกิดภายในก็ตาม ก็มีมากกว่าการสวดมนต์ ยิ่งกว่านั้น ถ้าทำได้ถูกส่วนจริงๆ การเห็นธรรมะที่ลึกซึ้ง ก็มีโอกาสเป็นไปได้ขณะที่ทำภาวนานี่เอง
เพราะฉะนั้นปู่ย่าตาทวดของเรา จึงได้อุปมาว่าการทำภาวนาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน อย่างต่อเนื่อง อุปมาเหมือนยากิน คือแก้ไข้แก้ป่วยได้หนักแน่น ลึกซึ้งมากกว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ ปู่ย่าตาทวดเราก็เลยอุปมาว่า การสวดมนต์เหมือนยาทา การภาวนาทำสมาธิเหมือนยากิน
อย่างไรก็ตาม อย่าไปคิดเปรียบว่าอะไรดีกว่ากันเลย เพราะว่าคำสอนของสมเด็จพ่อก็อยู่ในลักษณะที่เราจะต้องท่อง เมื่อท่องแล้วก็เอามาใช้ตรองเป็นหลักในการทำภาวนา เพราะฉะนั้นทั้ง ๒ อย่างนี้ขาดไม่ได้ ต้องไปด้วยกัน การสวดก็มีความจำเป็น เป็นยาทา ประเภททาแล้วเข้าถึงใจเลย ทำสมาธิก็ยิ่งจำเป็นมากขึ้น แต่ทั้งคู่นี้ต้องไปด้วยกัน ตามวัดวาอารามต่างๆ พระท่านตื่นกันตั้งแต่ตี ๔ ลุกขึ้นมาสวดมนต์ เพื่อมาทบทวนคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สวดมนต์กันเป็นชั่วโมงเสร็จแล้ว ท่านก็ทำสมาธิของท่านต่อ ท่านไม่ขาด ต้องคู่กันไปอย่างนี้
เมื่อทราบประโยชน์กันอย่างนี้แล้ว ก็ขอให้พวกเรา แม้อยู่ที่บ้านก็ควรสวดมนต์ก่อนนอนด้วยอย่างน้อย ถ้าตอนเช้าก่อนจะไปทำงาน ได้สวดอีกสักเที่ยวหนึ่งก็ยิ่งดี แต่ที่แน่ๆ ขาดไม่ได้คือต้องทำสมาธิ เพื่อให้ใจใสให้เต็มที่
ถ้าคืนนี้หลับไปแล้วไม่ได้ตื่น ลาโลกไปเลย ก็ลาโลกไปด้วยใจใสๆ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกันว่า ลาโลกไปขณะใจใสๆ สวรรค์หรือสุคติเป็นที่ไป ก็เลยไม่ต้องกลัวว่าตายแล้วจะไปไหน รู้แต่ว่าไปดีแน่นอน เพราะฉะนั้นทั้งสวดมนต์ด้วย ทั้งภาวนาด้วย อย่าให้ขาดแม้สักวันเลย
โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)
วันที่
ที่มา
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
บทความหลวงพ่อตอบปัญหา