คำถาม :
หลวงพ่อครับ คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาผู้อื่น จะมีผลเสียกับตัวเขาเองอย่างไรบ้าง และจะสามารถแก้ไขนิสัยนี้ได้อย่างไรครับ ?
คำตอบ :
เจริญพร คนที่ชอบอิจฉาตาร้อนเขา ไม่อยากให้ใครได้ดีเกินกว่าตัวเอง มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
นิสัยอิจฉาริษยาจะเกิดขึ้นกับคนที่มีความดีในตัวน้อยกว่าคนอื่น ถ้าเขามีคุณงามความดีในตัวมากกว่าคนอื่น เขาคงไม่จำเป็นจะต้องไปอิจฉาตาร้อนใคร แต่เพราะเขามีความรู้ความสามารถหรือ มีคุณงามความดีน้อยกว่าคนอื่น แล้วอยากได้ดีเท่าเขาหรืออยากจะให้ดียิ่งกว่าเขา แต่มันทำไม่ได้ แทนที่จะคิดแก้ไขตัวเอง เพื่อจะให้ได้ดีเท่าเขาหรือมากกว่าเขา กลับไปคิดในทางผิด ในทางร้ายเสีย ด้วยการแทนที่จะยกตัวเองด้วยคุณความดี ที่ทำขึ้นมาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป กลายเป็นว่าความดีไม่ทำ กลับจะขย้ำ จะเหยียบคนอื่นลงไป ด้วยฤทธิ์แห่งความเข้าใจผิด ก็กลายเป็นอิจฉาริษยา คือไม่อยากให้ใครได้ดี เกิดขึ้นมาแทน
เมื่อเรารู้ว่าต้นเหตุมันมาจาก ความที่ตัวเองมีคุณงามความดีน้อยอย่างนี้แล้ว มันก็สะท้อนให้เห็นว่า ในใจของคนที่อิจฉาริษยานี้มันก็จะมีแต่ความเศร้าหมอง คิดสร้างสรรค์ไม่เป็น คิดออกแต่ในเรื่องที่จะทำลายหรือทำร้ายคนอื่นร่ำไป จะทำลายทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง จะทำร้ายให้เจ็บกายเจ็บใจก็คิดได้เท่านี้
เพราะฉะนั้นคนที่ขี้อิจฉาริษยา ใจเศร้าหมองทั้งวัน เมื่อใจมันเศร้าหมอง แม้คำพูด ก็เป็นคำพูดที่ชวนให้เศร้าหมอง คือมีแต่เรื่องร้ายๆ ออกจากปาก คำพูดของเขาไม่มีดอกไม้ออกจากปากหรอก มีแต่พ่นพิษออกมา เมื่อเป็นอย่างนั้น มันก็จะเลยไปจนกระทั่งถึงการกระทำทางร่างกาย มันก็จะมีเรื่องร้ายๆ อาการร้ายๆ ออกมา ตั้งแต่กระทบกระแทกแดกดันอะไรกันโครมคราม หน้านิ่วคิ้วขมวดใส่กัน นี่ก็เป็นอาการของคนที่มีบุญน้อยแล้วไม่คิดจะทำบุญเพิ่ม แต่ไปคิดทำร้ายคนอื่นจึงมีอาการอย่างนี้
เมื่อเขามีอาการอย่างนี้ อะไรมันเกิดขึ้นกับเขา ความดีเก่าก็มีอยู่น้อยจึงสู้เขาไม่ได้ แล้วความดีใหม่ก็ไม่คิดจะทำเพิ่ม ตรงกันข้ามมีแต่เพิ่มความร้าย ความบาปเข้าไปทุกวัน มันก็เท่ากับการเผาทำลายล้างตัวเองไปทุกวันนั่นเอง นี้คือผลเสียของความเป็นคนขี้อิจฉาริษยา
ฉะนั้น พวกเราอย่าได้ไปเป็นอย่างนี้นะ ครั้งใดใจมันคิดจะอิจฉาชาวบ้านที่เขาดังกว่าเรา เด่นกว่าเรา ดีกว่าเราขึ้นมา ก็รีบหยุดเสีย คิดให้ได้ว่า ที่เรายังต้องตกต่ำอยู่อย่างนี้ เพราะว่าชาติที่แล้ว รวมทั้งชาตินี้ด้วย สั่งสมคุณงามความดีมาน้อยไป เตือนอย่างนี้เลย เมื่อเตือนอย่างนี้แล้ว หนทางจะแก้ไขมีเยอะ เพราะเราจับทิศทางถูกแล้ว
เมื่อบุญมันน้อยก็เติมบุญ โดยในเรื่องของการทำงานหาเลี้ยงชีวิตก็ตาม การทำงานในหน้าที่ที่มอบหมาย หมู่คณะมอบหมายมาให้ ไม่ว่าเราจะเป็นพระเป็นคน ทุกคนมีหน้าที่ประจำตัวอยู่แล้ว งานที่เราได้รับมอบหมายมาจากหมู่คณะก็ตาม จากครอบครัวก็ตาม หรืองานการเลี้ยงชีวิตเราก็ตาม ทำให้สุดฝีมือ
แล้วยังไม่พอ ปรับปรุงให้มันยิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าปรับปรุงอย่างไรแล้วมันก็ยังสู้เขาไม่ได้ ก็ไปกราบเท้าเขาซะ ขอความรู้จากเขา แล้วมันจะย่นระยะเวลาไม่ต้องไปตกนรกตั้งเยอะ ย่นระยะเวลาในการปรับปรุงฝีมือขึ้นมาก็ได้ตั้งเยอะ
จากนั้น หันหน้าเข้าวัด ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำบุญทำทาน ก็ทำซะ นับแต่นี้ไป หรือก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้รักษาศีล ก็รักษาซะ ไม่เคยนั่งสมาธิ(Meditation) ก็นั่ง ศึกษาจากหลวงพ่อ หลวงพี่ท่านว่าทำสิ่งเหล่านี้แล้วมันดียังไง? ทานทำให้รวย ศีลทำให้สวย สมาธิทำให้ฉลาดเฉลียว มีสติปัญญา จับหลักตรงนี้ให้ได้
จากนั้นถ้าจะเพิ่มอะไรเป็นรายละเอียดให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก็ค่อยๆ ศึกษาจากหลวงพ่อ หลวงปู่ท่าน ตัวอย่างเช่น เราก็มีทุกอย่างพร้อมแล้ว แต่ที่ไปอิจฉาเขาเพราะว่าบริวารไม่มี รวยก็แสนรวย สวยก็แสนสวย แต่เขาไม่รักเรา แทนที่จะกลับมาดูว่าทำไมเขาไม่รักเรา กลับไปโกรธเคืองคนที่ไม่รักเรา ไปอิจฉาคนที่มีคนรักเต็มบ้านเต็มเมือง อย่าทำอย่างนั้นให้ตั้งคำถามใหม่ให้เป็น คือแทนที่จะไปตั้งคำถามว่าทำไมเขาไม่รักเรา ให้ตั้งคำถามใหม่ว่า เรานั้นมันไม่น่ารักตรงไหน? แล้วก็เริ่มสำรวจตรวจสอบ ถ้าหาไม่เจอ ไปถามหลวงพ่อ
วิชาเจ้าเสน่ห์มีอยู่ ๔ ข้อ พุทธองค์ให้ไว้ มีดังนี้
๑. หมั่นให้ทาน ทานที่นี้ไม่ได้หมายถึงตักบาตร ทานในที่นี้หมายถึงมีอะไรก็ปันกันกิน ปันกันใช้ รวมทั้งปันกันดังด้วย ไม่ใช่ดังคนเดียว
๒. ฝึกเป็นคนพูดเพราะๆ สิ่งให้กำลังใจคนไม่มีอะไรเกินคำพูดเพราะๆ เอาคำเหล่านั้นมาให้กันบ้าง โดยไม่ต้องลงทุนอะไร
๓. ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ ช่วยใครได้ก็ช่วย อย่าหวง นี่คือที่มาของ
เสน่ห์
๔. ควรมีความจริงใจกับทุกคน ไม่แทงใครข้างหลัง ไม่ว่าใครลับหลัง มีแต่ความจริงใจ ความปลอดภัยให้ พูดง่ายๆ โปรยเสน่ห์ด้วยการให้ ให้ทั้งของ ให้ทั้งคำพูด ให้ทั้งกำลังใจ ให้ทั้งความปลอดภัยแก่เขา ไม่รักก็ให้มันรู้กันไปเลย
โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)
วันที่
ที่มา
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
บทความหลวงพ่อตอบปัญหา