แพทย์โกหกเพื่อให้คนไข้สบายใจ เป็นบาปหรือไม่

คำถาม:
หลวงพ่อครับ คนส่วนใหญ่คิดว่า การโกหกเพื่อให้คนสบายใจ เช่น แพทย์ปิดบังความจริงกับคนป่วยหนัก เพื่อให้เขาสบายใจ การโกหกอย่างนี้ไม่น่าจะเป็นบาป เราจะอธิบายให้เขาเข้าใจถูกต้อง ได้อย่างไรครับ 

คำตอบ: 
ครั้งใดที่เราโกหก ครั้งนั้นฟ้องว่า ความกล้าในการเผชิญต่อความจริงของเราได้สูญเสียไป โกหกแต่ละครั้ง ก็ทำให้ความกล้าในการเผชิญกับความจริงลดไปทุกครั้ง ในที่สุดคนอื่นจะเสียหายหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือกำลังใจของเราถดถอยลงไปทุกวัน ตรงนี้ที่บาปมันเกิดแล้ว ส่วนคนฟังจะเป็นอย่างไร ก็อีกเรื่องหนึ่ง เอาตัวให้รอดก่อนช่วยคนไข้ แต่เราอาการปางตายเข้าไปทุกวัน หลวงพ่อว่าไม่คุ้มหรอก
            ครั้งใดที่เราจะโกหกนอกจาก จะทำให้กำลังใจในการเผชิญกับความจริงหมดไปยังไม่พอ เวลาเราจะพูดอะไรเราต้องคิดก่อนทั้งนั้น ทันทีที่เราคิดตามความเป็นจริง ภาพมันก็จะปรากฏขึ้นในใจเราชัดเจนเหมือนในจอทีวี ถ้าเราโกหกเมื่อไหร่ เราจะต้องล้มภาพนั้นทิ้ง โกหกแต่ละครั้งก็เท่ากับล้มภาพนั้นทิ้งแต่ละครั้งเหมือนกัน เวลาเราดูทีวีบางครั้งเครื่องมันรวน ภาพในจอทีวีพอขึ้นมาแล้วก็ล้ม ทีวีประเภทนี้ถ้าไม่รีบซ่อมก็รีบเอาไปโยนทิ้งนะ 
            เราก็เหมือนกันถ้าโกหกไปเรื่อยๆ ก็คือหลอกตัวเองหรือล้มภาพทางใจที่ดีงาม ชัดเจนทิ้ง ต่อไปเวลาคิดอะไรภาพมันเริ่มไม่ชัด หรือภาพที่คิดแล้วชัดแล้ว แต่ตัวเองเกิดความไม่มั่นใจขึ้นมา เนื่องจากล้มทิ้งเสียจนเคย ตรงนี้อันตราย เพราะนอกจากล้มทิ้งแล้ว เราไปตั้งภาพหลอกขึ้นมาซ้อนอีกภาพหนึ่ง ทำให้ภาพที่เกิดขึ้นเป็นทั้งภาพจริงและภาพหลอก มันจะซ้อนถูกบันทึกกันไว้ในใจ เมื่อบันทึกไว้ในใจ พอเราพูดก็ตอกย้ำลงไปอีก พูดเท็จก็ตอกย้ำภาพเท็จ ย้ำลงไปเรื่อยๆ
            คุณภาพใจของคนที่พูดเท็จนั้นเสียหมดเลย เพราะเหตุที่คุณภาพทางใจของคนพูดเท็จมันเสียไปเรื่อยๆนี่แหละ ทุกครั้งที่พูดเท็จเราจึงพบว่า คนที่โกหกเก่งๆ พูดเท็จเก่งๆ คนพวกนี้นั้นบั้นปลายชีวิต มักจะเป็นคนหลงทั้งนั้น นบางคนอายุแค่ ๕๐, ๖๐ ก็เริ่มหลง แต่บางคนอายุ ๙๐ ไม่หลงเลย เรื่องเมื่อท่านเป็นเด็กๆท่านยังจำได้ เล่าให้เราฟังได้แม้ท่านอายุ ๙๐ แล้ว แต่บางคนอายุแค่ ๖๐ เท่านั้น เรื่องเมื่อวานก็จำไม่ได้เแล้ว อาการอย่างนี้เขาไม่เรียกว่าลืม เขาเรียกว่าหลง เพราะโกหกมาตลอดชีวิต เป็นนักโกหกนั่นเอง
            เพราะฉะนั้นถ้าเราจะรักษาคุณภาพของใจ
            ๑.  ไม่ให้หลงๆ ลืมๆ
            ๒.  ไม่ให้กลายเป็นคนขี้ขลาด อย่าโกหกนะ
            พ่อแม่โกหกลูกว่าอย่าซนนะ ถ้าไม่ซนเย็นนี้แม่กลับมาจะซื้อขนมมาฝาก   แค่ตอนเย็นลืมซื้อขนมมาฝาก ลูกทวงเอายังกลัวลูกเลย ลูกเราแท้ๆ พอเราตกอยู่ในภาวะเหมือนอย่างไปโกหก ความกล้าจะเจอหน้าลูกยังลดลงไปเลย เพราะฉะนั้นอย่าทำเด็ดขาดเรื่องโกหกใคร ไม่ว่าจะเป็นคนไข้หรือไม่ก็ตาม
            ถ้าบอกความจริงกับคนไข้ป่วยหนัก มันก็ต้องมีวิธี แทนที่จะบอกอย่างนั้น   ต้องตีประเด็นก่อน ถ้าบอกปุ๊บ ตายปั๊บ เราก็เสีย ถ้าอย่างนั้นแทนที่จะบอก เปลี่ยนประเด็นดีกว่า คุณ! ไม่มีใครในโลกนี้หรอกที่เกิดแล้วไม่ตาย มันก็ตายด้วยกันทุกคน แต่ข้อสำคัญมันตายตอนใจใสหรือใจขุ่น ถ้าใจใสสุคติเป็นที่ไป ใจขุ่นทุคติเป็นที่ไป คุณทำใจใสๆ เอาไว้ พอคุณทำใจให้ใสได้เท่าไหร่ ยาที่ให้คุณไปมันไม่สเตร็ท ยามันเดินง่าย คุณทำใจใสไว้นะ ยาที่หมอให้จะได้มีประสิทธิภาพ โอกาสหายของคุณจะได้มี แต่ว่าถ้าคุณยังเพ้อรำพัน ยังไม่ให้ความร่วมมือ ยังไม่พยายามที่จะทำสมาธิให้ใจใสได้ โรคของคุณมันก็ 50-50 นะ ทั้งหมดนั้นคือ
๑.  จะต้องพูดความจริงๆ แต่ค่อยๆ รับรู้ความจริงไปทีละน้อย อย่าให้ช็อค
๒.  สอนวิธีให้คนไข้รู้จักทำใจให้ผ่องใส เป็นการเตรียมพร้อมที่จะรองรับ
๓.  เมื่อได้จังหวะแล้ว ต้องบอกกันตรงๆ อย่าให้หลงตาย 
            ถ้าหลงตายเท่ากับว่าเราหลอกเขานะ คนไข้จะตายยังไปหลอกเขาอีก มันเกินไป จะตายก็ให้เขารู้ความจริงบ้าง จะได้เตรียมตัว ไม่งั้นถึงคราวเราเป็นอะไรบ้าง เดี๋ยวจะโดนหลอก เกิดอีกกี่ชาติก็โดนหลอกตลอดชาติ ไม่คุ้มกัน เพราะฉะนั้นห้ามไปหลอกใคร แต่ว่าถ้าความจริงเขายังรับไม่ได้ จะมีวิธีผ่อนปรนอย่างไรให้เขาค่อยๆ รับรู้ไปตามลำดับ จนกระทั่งบอกความจริงได้ชัดเจน อย่างนี้คือแพทย์ตัวจริง แม้คนไข้ตายก็ตายพร้อมกับใจใสๆ ตายพร้อมกับความรู้ตัว แล้วเขาก็จะเป็นคนกล้าที่จะเผชิญความจริงไปทุกภพทุกชาติ ทั้งคนไข้ทั้งหมอนั่นแหละ อย่างนี้มันจึงจะดี 

โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)
วันที่
ที่มา
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *