คำถาม:
กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ ปัจจุบันนี้หลายคนสงสัยว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อแรกประสูติ ทรงดำเนินไปได้ ๗ ก้าวนั้น เป็นไปได้จริงหรือคะ?เราจะอธิบายให้เขาเชื่อได้อย่างไรคะ?
คำตอบ:
เรื่อง พอประสูติแล้วเจ้าชายสิทธัตถะเดินได้ ๗ ก้าวนี่ อย่าว่าแต่คุณโยมเลย หรือเด็กในยุคนี้ เมื่ออาตมาเป็นเด็ก อาตมาก็สงสัยเหมือนกัน แล้วก็สงสัยอยู่นานด้วย สงสัยจนกระทั่งอยู่มหาวิทยาลัยปีท้ายๆ แล้ว ความสงสัยในเรื่องนี้จึงได้คลายไป
ทำไมจึงสงสัยกัน เพราะที่เราสงสัยคือ เรื่องที่พระองค์ทรงประสูติแล้ว ทรงดำเนินไปได้ ถ้าเปรียบกับทางโลก ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่เกินปัญญาของเราจะตรองตามทัน ไม่ได้หมายความว่าตรองไม่ได้ ตรองได้ แต่ว่าเราจะต้องมีพื้นฐานทางด้านความรู้ ทางด้านจิตใจของเราสูงพอ แล้วเราก็จะตรองตามทันได้
เหมือนคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ชั้นสูง ถ้าเอาวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งอยู่ในระดับสูงๆ แล้วส่งให้เด็กชั้นประถม เด็กชั้นมัธยมไปคิดเขา ก็จะคิดไม่ได้ เพราะว่าพื้นฐานของเขาไม่พอ เรื่องที่ถามนี้มันอยู่ในลักษณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเรียกว่า อจินไตย ซึ่งแปลว่า เป็นวิสัย เหนือวิสัยที่พวกเราทั่วๆ ไปจะตรองตามทันได้ เรื่องที่จัดว่าเป็นอจินไตยหรือว่าคนทั่วไปยากแก่การตรองตามนั้น มีอยู่ ๔ เรื่อง
๑. พุทธวิสัย หมายถึง เรื่องที่กำลังพูดกันอยู่นี้
๒. ฌานวิสัย คือ วิสัยของผู้ที่ได้สมาธิ(Meditation)ชั้นสูง จิตใจเขาผ่องใส แน่วแน่ มั่นคงกว่าคนทั่วไป ผ่องใสแน่วแน่มั่นคง จนกระทั่งเกิดอานุภาพพิเศษๆ ขึ้นมา เช่น สามารถระลึกชาติได้อย่างนี้ มันเกินกว่าที่เราจะตรองตามทัน
๓. เรื่องวิบาก หรือว่าผลแห่งกรรม พอทราบว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่เนื่องจากเรื่องของกรรมเป็นเรื่องลึกซึ้ง มีความสลับซับซ้อนมาก เราได้แต่หลักใหญ่ๆ แต่เจาะลึกในเรื่องผลแห่งกรรม ที่มันเกิดต่อตัวเรา โดยรายละเอียดเราทำไม่ได้ เว้นแต่เราจะฝึกตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งให้ทาน รักษาศีล ทำภาวนามามากพอ แบบนั้นได้
ปัญญาของเรา ไม่สามารถแยกแยะออกให้ได้ชัดเจนมากนัก มันถูกจำกัด เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงให้หลักการคร่าวๆ เอาไว้ก่อนว่า วิบากกรรมหรือผลแห่งการทำกรรมเอาไว้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว มันมีผล แต่เจาะลงไปในรายละเอียดยังไม่ได้ สำหรับพวกเรา
๔. ความคิดเรื่องโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนสร้าง หรือ เกิดขึ้นมาเอง เกิดด้วยอาการอย่างไร อย่าเสียเวลาคิด ภูมิปัญญายังไม่พอ คิดได้สำหรับผู้ที่สามารถระลึก ชาติได้ ถอยหลังไปดูกันว่ามันเกิดมา อย่างนั้นได้อย่างไร แต่ถ้าเรายังทำอย่างนั้นไม่ได้ อย่าเพิ่งไปคิด
พอรู้หลักอจินไตย ว่าเป็นเรื่องเหมือนอย่างคำนวณในระดับสูงอย่างนั้แล้ว สำหรับพวกเรา ที่มีความรู้ในเรื่องธรรมะ เหมือแค่เด็กอนุบาล อย่าเพิ่งไปคิด
เพราะฉะนั้น รับฟังคร่าวๆ ไปก่อน ในการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เมื่อครั้งยังเพิ่งประสูติใหม่ๆ ก็ทรงดำเนินไปได้ถึง ๗ ก้าวนั้น เอาหลักคร่าวๆ ก่อนว่า
๑. ก่อนที่พระองค์จะทรงมาบังเกิดในชาตินี้ ทรงสร้างกรรมดีอย่างยิ่งยวดมาก่อน ที่ภาษาพระใช้คำว่าสร้างบารมีมา บารมีคืออะไร บารมี จริงๆ ก็คือบุญนั่นแหละ เมื่อคนเราทำความดีมากๆ ก็เกิดบุญ แต่ว่าบุญที่เกิดจากการเอาชีวิตเป็นเดิมพันนั้น เป็น บุญที่มีคุณภาพมากๆ ท่านเลยไม่เรียกว่าบุญ ท่านเรียกว่าบารมี
จากการที่พระองค์อบรมตัวพระองค์เองมาอย่างดี ด้วยบารมีอย่างที่ว่านั้นทำ ให้ได้ลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทั้ง ๓๒ ประการ คือ อวัยวะทุกส่วนของพระองค์ได้สัดส่วนกันดีเหลือเกิน คือได้สมดุลย์ทุกอย่างเหตุนี้ตั้งแต่อยู่ในพระครรภ์พุทธมารดาจึงไม่เหมือนใคร ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะว่าเมื่อพระองค์อยู่ในพระครรภ์ของพุทธมารดา ปรากฎว่าทรงนั่งสมาธิอยู่ในครรภ์ ไม่ได้คดคู้อย่างพวกเรา นั่นคือลักษณะพิเศษอีกอย่าง ก็เป็นผลแห่งกรรมดี ที่ทำมาอย่างยิ่งยวด
๒. ทรงอยู่ในพระครรภ์ถึง ๑๐ เดือนเต็มไม่ขาดไม่เกินทรงหล่อหลอมร่างกายของพระองค์มาอย่างดี
๓. ลักษณะของพระองค์ทุกสัดส่วน พอเหมาะพอดีสมดุลย์อย่างที่ว่า
๔. พุทธมารดาท่านมีสุขภาพดีมาก ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่ทรงอุ้มครรภ์อยู่ พุทธมารดาท่านรักษาศีลบริสุทธิ์และนั่งสมาธิด้วย ใจก็เป็นบุญกุศล ทำบุญตลอดเลยพูดง่ายๆพระองค์ทรงอยู่ในครรภ์ของพุทธมารดาเหมือนพระอรหันต์นั่งเข้านิโรธสมาบัติ อะไรอย่างนั้น อยู่สบายมากไม่ต้องคุดคู้เหมือนคนทั้งหลาย
เมื่อถึงเวลาที่พระองค์จะต้องทรงคลอด ความที่ตอนอยู่ในครรภ์ก็นั่งสมาธิ มีสติสมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลาทรงคลอด ถ้าเป็นมนุษย์ทั่วไปจะเอาศีรษะออก แต่พระองค์ทรงมีพระบาททั้ง ๒ ข้างออกก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทรงตัวได้ง่ายตั้งแต่คลอด พอทรงประสูติปุ๊บ เท้าแตะพื้น ยืนปั๊บ อาศัยกำลังบุญบารมี ที่พระองค์ทรงสั่งสมมาดี ยืน ทรงสติสัมปชัญญะ ได้รัดกุมครบถ้วนแล้วก็ก้าวย่างพระบาทไปได้
ตรงนี้ต้องบอกว่าแรงกรรมดี หรือแรงบารมีของพระองค์ที่ทรงสั่งสมมา ตรองตรงนี้บางทีอาจจะยาก เพราะนี่เป็นเรื่องของแรงกรรม เราคุ้นแต่แรงกรรมฝ่ายลบ เราไม่คุ้นต่อแรงกรรมฝ่ายบวก จะชี้ให้ดูแรงกรรมฝ่ายลบ เป็นอย่างไร ปลา พอเกิดขึ้นมา มันก็ว่ายน้ำได้ คนนั้นว่ายไม่ได้ มันเป็นแรงกรรมของปลา แต่พวกสัตว์ เช่น ปลา นก พวกนี้เป็นแรงกรรมฝ่ายลบ ที่ทำกันมาอย่างหนัก ก็เป็นอย่างนั้น
ส่วนพระองค์ มีแรงกรรมฝ่ายบวกที่เรียกว่าบารมี ทรงสั่งสมมาดี เมื่อถึงเวลาแรงกรรมฝ่ายบวกส่งเสริมเข้า ก็เลยทำให้พระองค์ พอทรงประสูติปุ๊บ ก็ย่างก้าวพระ บาทได้ปั๊บ
ตรงนี้ฝากไว้นิดเดียว เป็นเรื่องคร่าวๆ ที่จะเตือนใจให้เราว่าเวลาจะคิดเรื่องอะไร มนุษย์ทั่วไปเขาจะเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง และอะไรที่ต่างจากที่เขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้นั้นเพราะเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง แต่อย่าลืมว่าพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ท่านสร้างกรรมมาไม่เหมือนกับเรา เพราะฉะนั้นมันเป็นวิสัยของท่านที่เรียกว่าพุทธวิสัย อย่างที่ว่า มาแล้วตั้งแต่ต้น ขอให้รับฟังเอาไว้ อย่าเชื่อและอย่าปฏิเสธ แต่ลงมือฝึกสมาธิเยอะๆ เมื่อไหร่ใจใส ใจนิ่ง ใจสว่างพอ เรื่องที่หลวงพ่อตอบมาทั้งหมด ไม่ยากเลยที่จะเข้าใจเดี๋ยวจะอธิบายให้ชาวโลกฟังได้ดีกว่าหลวงพ่ออีก ตั้งใจฝึกสมาธิกันไป อีกหน่อยก็เข้าใจได้เองไม่ยากสำหรับเรื่องนี้
โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)
วันที่
ที่มา
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
บทความหลวงพ่อตอบปัญหา