การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ ที่ยอมสละชีวิตเป็นเดิมพันนั้น ต่างจากการฆ่าตัวตายอย่างไร

คำถาม: 
หลวงพ่อเจ้าคะ มีคนสงสัยว่า การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ ที่ยอมสละชีวิตเป็นเดิมพันนั้น ต่างจากการฆ่าตัวตายอย่างไรคะ ?

คำตอบ: 
ต่างกันอย่างยิ่งเลย การสร้างบารมีต่างกันอย่างยิ่งกับการฆ่าตัวตาย ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจคำว่าสร้างบารมีก่อน คำว่าบารมีมีความหมายอยู่ ๒ อย่าง 
            อย่างที่ ๑. บารมีคือบุญ เวลาเราทำความดีต่างๆ ก็เกิดบุญ บุญนี้เมื่อเกิดแล้วก็เก็บอยู่ในใจ เหมือนไฟฟ้า เมื่อเกิดแล้วเราก็เก็บชาร์จเอาไว้ในแบตเตอรี่ได้ นอกจากเก็บ เอาไว้ในใจแล้ว บุญยังสามารถกลั่นใจให้ใสเป็นแก้ว ใสเป็นเพชรได้อีกด้วย
            บุญที่เกิดขึ้นนั้น ก็มีคุณภาพต่างๆ กัน ถ้าตั้งใจทำบุญแบบธรรมดาๆ ก็ได้ บุญคุณภาพอย่างหนึ่ง แต่ถ้าตั้งใจทำบุญประเภทเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำบุญ ก็ได้บุญที่มีคุณภาพพิเศษขึ้นมาอีก บุญที่มีคุณภาพพิเศษๆ อันเกิดจากเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการ ทำอันนี้ ท่านเรียกว่าสร้างบารมี เรียกว่าบารมีก็ได้ 
            อย่างที่ ๒. หมายถึงนิสัยดีๆ ของเรา เช่น เมื่อเราทำความดีโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันเป็นประจำครั้งแล้วครั้งเล่า ชาติแล้วชาติเล่า ในที่สุดก็เกิดเป็นนิสัยดีๆของเราขึ้นมา คือนิสัยชอบเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการสร้างบุญสร้างความดี สรุปสั้นๆ การสร้างบารมีนั้นมี ๒ อย่างคือ 
            ๑.   สร้างบุญที่มีคุณภาพชั้นเยี่ยมให้เกิดขึ้นในใจ  
            ๒.  เป็นการสร้างนิสัยดีๆ ขึ้นมา  
            ถ้าคนไหนสร้างบารมีอย่างที่ว่ามานี้ ใจของเขาที่ผ่องใสเป็นปกติแล้ว ฉลาดอย่างที่ว่านี้ ยังมีสติสัมปชัญญะควบคุมเอาไว้อย่างดีอีกด้วย จึงไม่เผลอไปคิด พูด ทำ ในสิ่งไม่ดี นี้เป็นหลักของการสร้างบารมี 
             ถ้าเจาะลึกลงไปอีก ถามว่าทำไมคนเราจึงต้องมาสร้างบารมีอีก พระอรหันต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องทรงสร้างบารมีทั้งนั้นเลย สร้างไปทำไม? บารมีนี่ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน สร้างบุญสร้างความดีกันนี่ สร้างทำไม ย่อๆ สั้นๆ ในใจของคนเรานั้น ตั้งแต่วันที่เกิดมาแล้ว มันมีสิ่งไม่ดีอยู่ในใจ ทำนองเดียวกับเชื้อโรคที่อยู่ในกายของเรา ทันทีที่เราคลอดจากมารดาร่างกายเราก็มีเชื้อมีโรคบางอย่างติดมาแล้วที่ร่างกายนั้น จึงต้องมาฉีด วัคซีนต่างๆ ป้องกันเอาไว้   
            แต่สิ่งที่เราไม่เห็นก็คือ ในใจก็มีเชื้อร้ายอยู่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกเชื้อร้ายที่เพาะมาปลูกฝังอยู่ในใจนั้นว่า กิเลส มันคอยกัดกร่อนบ่อนทำลายให้ใจของเรา นอกจากอ่อนล้าลงไปแล้วยังไม่พอ มันยังบีบคั้นให้ใจของเราคิดร้ายๆ อีกด้วย คิดโลภ โกรธ หลง อิจฉาตาร้อนสารพัดแล้วจะทำอย่างไร? จะยอมมันหรือ? ถ้ายอมมัน ก็เกิดเป็นกรรมร้ายๆ ที่เราต้องไปทำต่อไปแล้วเราก็ต้องเดือดร้อนเพราะกรรมร้ายที่เราทำ
            เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฉลาดมีปัญญาเขามองว่า ต้องสร้างภูมิคุ้มกันต่อการบีบคั้นของกิเลสขึ้นมาให้ได้ เหมือนเวลาเราฉีดวัคซีนลงไป วัคซีนนั้นฆ่าเชื้อโรคได้ฉันใด ถ้าเราสร้างภูมิคุ้มกันให้กับใจเราด้วยการสร้างบารมีลงไป เมื่อบารมีแก่กล้าเข้า ก็ฆ่ากิเลสที่อยู่ในใจได้ฉันนั้น 
             เพราะฉะนั้น การสร้างบารมี จึงเป็นเรื่องของคนที่มีใจผ่องใสเป็นปกติ มีความฉลาดเฉลียวเป็นปกติ สติสัมปชัญญะบริบูรณ์เป็นปกติไม่ใช่เรื่องของความ เผลอไผล เมื่อเป็นอย่างนี้จึงต่างกับการฆ่าตัวตายของมนุษย์ทั้งหลาย มนุษย์ที่ฆ่าตัวตายนั้น มันเกิดด้วยความขาดสติมากกว่า พอขาดสติ มนุษย์จึงได้ฆ่าตัวตาย ตอนขาดสตินั้นใจมืด ตื้อยิ่งกว่าเข้าถ้ำ ยิ่งกว่าเอาใจไปจุ่มใน Indian ink เสียอีก ใจมันขุ่นคลั่กยิ่งกว่าโคลน เพราะฉะนั้น มันเต็มไปด้วยความโง่ จึงไม่เห็นคุณค่าของร่างกาย ที่ประกอบด้วย เลือด เนื้อของมนุษย์ว่าร่างกายนี้กว่าจะได้มานั้นยากมาก สร้างบุญมาไม่รู้กี่โกฏิกี่กัป กว่าจะได้ร่างกายมาเป็นมนุษย์ ซึ่งเหมาะที่สุดในการทำความดีทุกรูปแบบ
            แต่เมื่อได้มาแล้ว แทนที่จะเอาไปทำความดี กลับอาศัยความน้อยอกน้อยใจ ความอึดอัดขัดข้องบ้าง ซึ่งเรื่องเหล่านั้นมันแก้ได้ มีทางแก้ไขทั้งนั้น แต่ว่าเอาแต่ใจตัว ขาดสติอย่างยิ่ง ก็เลยฆ่าตัวตายด้วยอำนาจแห่งความขุ่นมัว หรือความมืดบอดของใจ อย่างนั้น    
             เพราะฉะนั้นก็ฝากกับทุกๆคนไว้ มองภาพให้ชัดว่า การฆ่าตัวตายนั้น เป็นเรื่องของคนที่ขาดสติสัมปชัญญะ เข้าข่ายบ้าด้วยซ้ำ ไม่เห็นคุณค่าของร่างกายมนุษย์ ไม่เห็นคุณค่าของชีวิต แต่นักสร้างบารมียอมตายกันทีเดียว ถ้าจะสร้างความดีกันอย่างยิ่งยวด ยอมตายเลย ถ้าตายตอนนั้น ตายก็ใจใส มันต่างกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ขอให้ตั้งใจสร้างบารมีกันทุกคนเลย ยิ่งสร้างบารมีได้มากเท่าไหร่ ใจก็ผ่องใส เป็นเรื่องของ ฝ่ายขาวมากขึ้นเท่านั้น การฆ่าตัวตายก็เป็นเรื่องของฝ่ายดำเขา 
            อยากจะให้ทุกคนได้ศึกษา บารมีทั้ง ๑๐ ทัศ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงสร้างไว้ด้วย  ตั้งแต่ 
             ๑.  ทานบารมี  ตั้งใจให้ทานกันแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อป้องกันแก้ไข ไม่ให้ใจของเรา ย้อนกลับไปโลภ ไปอยากได้ของใคร  มีแต่จะให้ ไม่มีกอบโกยเข้ามา 
             ๒.  รักษาศีลบารมีของเราให้ดี สร้างศีลบารมีของเราให้ดี เพื่อกำจัดความ โกรธที่ติดตัวข้ามภพข้ามชาติมา
            ๓.  สร้างเนกขัมมบารมี คือสละเรื่องเพศเรื่องกาม ตัดออกจากใจเสียให้ได้ แล้วจะได้ไม่ต้องไป เลี้ยงลูก เลี้ยงสามี เลี้ยงภรรยากับใครเขาอีก เหมือนหลวงพ่ออย่างนี้ เนกขัมมบารมีมาบวช สบายจริงๆ 
             ๔.  สร้างปัญญาบารมีของเราเยอะๆ ศึกษาธรรมะเยอะๆ แล้วมันก็เป็นความ ฉลาดติดตัวข้ามชาติไป 
            ๕. วิริยะบารมี คือถอยไม่เป็น สิ่งใดที่เป็นความดี รู้แล้วเดินหน้าสร้างความดี นั้นเรื่อยไป นี่ยกเป็นตัวอย่าง 
             ส่วนขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี บารมีทั้ง ๑๐ เหล่านี้ไปศึกษาในเรื่องทศชาติให้ดี มีตำราให้ศึกษาอยู่แล้ว ศึกษาค้นคว้า ให้ดี แล้วชาตินี้อย่าโง่ฆ่าตัวตายกับเขานะ มันโง่ข้ามชาติเลย น่าเสียดาย ฝากไว้ด้วย 

โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)
วันที่
ที่มา
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *