กัณฑ์ ๒ โพธิปักขิยธรรมกถา อริยอัฏฐังคิกมรรค

กัณฑ์ที่ ๒ โพธิปักขิยธรรมกถา อริยอัฏฐังคิกมรรค หน้า ๕๗
เทศนาในช่วงปีพุทธศักราช ๒๔๙๑

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ (๓ หน)

กตมา จสา ภิกฺขเว มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา จกฺขุกรณี ญาณกรณี อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติฯ อยเมว อริโย อฎฺฐํคิโก มคฺโคฯ เสยฺยถีทํฯ สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธีติฯ
วิ.ม.(บาลี)๔/๑๓/๑๘

อาตมภาพจะได้แสดงธรรมิกถา แก้โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ซึ่งเป็นทางตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทุกพระองค์มา โดยเฉพาะพระธรรมที่จะแสดงในวันนี้ แสดงในมรรคทั้ง ๘ ที่พระองค์ได้ทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๔ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี

ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเตือนพระภิกษุปัญจวัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติต่างๆที่ตถาคตเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งนั้นเป็นไฉน อย่างไร ทำดวงตา ทำญาณ เครื่องรู้ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อความดับ คือหนทางมี ๘ ประการนี้แหละ สมฺมาทิฏฺฐิ ความเห็นชอบ สมฺมาสงฺกปฺโป ดำริชอบ สมฺมาวาจา กล่าววาจาชอบ สมฺมากมฺมนฺโต ทำการงานชอบ สมฺมาอาชีโว เลี้ยงชีพชอบ สมฺมาวายาโม ทำความเพียรชอบ สมฺมาสติ ระลึกชอบ สมฺมาสมาธิ ตั้งใจไว้ชอบ ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้ เป็นหนทางตัดกิเลสได้ กล่าวตามคำของบาลีและคลี่คลายความเป็นสยามภาษา

ต่อไปนี้ จะได้อรรถาธิบายขยายความ คำที่พระตถาคตเจ้าแสดงเฉพาะ ที่ตรัสรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง เพราะเราท่านทั้งหลาย ส่งใจไปไม่ถูกทางของพระพุทธเจ้า จึงเข้าถึงพระพุทธเจ้าไม่ได้ ถ้าแม้ว่าเราท่านส่งใจเข้าไปถูกทางกลางแล้ว จะถูกทางไป ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์

ในทางที่ไปนั้น เราจำจะต้องรู้ความหมาย ที่พระตถาคตเจ้าชี้แจง ในคำที่ว่า ตรัสรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ที่พระตถาคตเจ้าเข้าถึง ซึ่งกลาง เข้าถึงซึ่งกลางอย่างไร เข้าถึงใจ เข้าถึงเนื้อแท้ เราจะต้องพินิจพิจารณา ถ้าว่าจะกล่าวโดยสามัญโวหารแล้ว ต้องกล่าวว่า ใจเข้าถึง แต่ว่าต้องรู้จักคำว่า “ใจ” เสียก่อน พระตถาคตตอบว่า อยู่กลาง พระตถาคตคือคำว่าธรรมกาย ตัวพระธรรมกายคือพระตถาคต เราจะต้องเข้าถึงซึ่งกลางพระตถาคต

จะเข้าอย่างไรกลาง อยู่ตรงไหน กลางก็อยู่ตรงกลางของกายมนุษย์ อยู่ศูนย์กลางแค่ราวสะดือ พระตถาคตเข้าไปถึงในนั้น และเข้าถึงทั้งตัวทางนั้น การเข้าถึงจะต้องเข้าถึงทั้งตัว จะแบ่งเอาอะไรไปถึงนั้นไม่ได้ ต้องถึงทั้งองค์พระธรรมกาย จะเข้าไปอย่างไร ธรรมกายโตเท่าไหนหน้าตักกว้าง ๒๐ วา เกตุดอกบัวตูม ธรรมกายโตถึงเท่านั้น จะเข้าไปอยู่อย่างไร ก็พระตถาคตเจ้าเข้าไปเดินจงกรม ในเมล็ดพันธุ์ผักกาดได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดก็ไม่โตขึ้น พระตถาคตเจ้าก็ไม่เล็กลง แต่ว่าเข้าไปเดินจงกรมอยู่ในเมล็ดพันธุ์ผักกาดได้ ภิกษุรูปหนึ่งคิดว่า พระพุทธเจ้า กายพระองค์มิใช่เล็กอย่างเมล็ดพันธุ์ผักกาด เมล็ดพันธุ์ผักกาดก็ไม่ได้โตขึ้น พระองค์เข้าไปในที่แคบอย่างนั้น ทำไมเข้าไปได้ ไม่ได้แน่นอนภิกษุรูปนั้นมีความสงสัย พระผู้มีพระภาคจึงรับสั่งให้ภิกษุรูปนั้น เอากระจกส่องหน้าไปที่มหาเจดีย์ใหญ่ เมื่อถึงแล้วให้เอากระจกเล็กนั้นส่องที่มหาเจดีย์ ก็ไปปรากฏเงาในกระจกทั้งองค์ กระจกก็ไม่โตขึ้น เจดีย์ก็ไม่เล็กลง ภิกษุนั้นเห็นเข้า ก็หมดความสงสัยว่า อ้อ เป็นพุทธวิสัยอย่างนี้

จึงที่ว่า พระตถาคตเข้าถึงเฉพาะซึ่งกลาง เข้าไปหมดทั้งพระธรรมกาย ธรรมกายเข้าไปเข้าไปถึงกลางขั้นต้นจากกายมนุษย์ เมื่อเข้าไปถึงกลาง เมื่อพระธรรมกายเข้าไปในกลางธรรมกาย เข้าทางไหนตรงนี้ลำบาก ถ้าว่าไม่เห็นปรากฏละก็ เข้าไม่ถูก ฟังก็ไม่รู้ เป็นของแปลกประหลาด เข้าตรงระหว่างตรงกลาง เข้าตรงไหนล่ะ เข้าด้วยวิธีหยุด ธรรมกายของพระองค์ก็หยุด หยุดในหยุด ธรรมกายหยุด หยุดในหยุด ธรรมกายหยุด หยุดในหยุดๆๆ ธรรมกายก็ดับหยาบ เข้าไปหาละเอียด ยิ่งหนักเข้าไปทุกที ไม่ไป ไม่มา ไม่นอก ไม่ใน เหล่านี้เรียกว่า เข้าถึงกลาง เพราะฉะนั้นเข้ากันไม่ถูก พวกนักปฏิบัติ เข้ากลางไม่ถูก เป็นลูกพระตถาคตไม่ได้ ถ้าเข้ากลางถูก จึงเป็นลูกพระตถาคตได้ เหตุฉะนั้นวิธีเข้ากลางจึงสำคัญนัก เมื่อเข้ากลางถูก ก็เป็นลูกพระตถาคตทีเดียว

เวลานี้ เราจะต้องการไปตามทางที่พระตถาคตเจ้าไปบ้าง เราไม่มีธรรมกาย เราไม่เห็นธรรมกาย เราจะเข้าทางไหน เราใช้กายมนุษย์นี่แหละ ที่เรียกว่า ใช้ใจของมนุษย์ก่อน กายมนุษย์เราต้องพร้อม เรียกว่า กายมนุษย์ละเอียต ถัดกายมนุษย์มามีกายละเอียดอีกชั้นหนึ่งเรียกว่า กายทิพย์ กายนี้อยู่ในท้อง เป็นกายละเอียด เมื่อเข้าไปในกลางกำเนิดของกายมนุษย์ อยู่ที่กลางกำเนิดของกายมนุษย์ เจ้าของกายมนุษย์รู้ แต่ไม่รู้ว่าใจหยุด รู้ว่ากายหยุดเท่านั้น แต่ว่ามันไม่เห็น คือใจมนุษย์ละเอียดนั่นเองหยุดนิ่งอยู่กลางกายมนุษย์ อย่าเขยื้อน หยุดนิ่งเหมือนยังกับเสา ไม่ให้เขยื้อนล่ะ เราก็รู้แต่เพียงว่า กายของเราหยุด แต่ที่จริงใจเราหยุด ถ้าไม่หยุดเวลาใด ก็ไม่ถูกกลางเวลานั้น

พอหยุดเข้าแล้ว ต่อไปจะเห็นอะไร ถ้าหยุดถูกส่วน ก็เห็นดวงใส เป็นดวงศีล ถ้าจะแยกออก ก็เป็นสมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโวเป็นอริยมรรค เหล่านี้พอเห็นเข้า เป็นดวงไส กายมนุษย์ก็หยุดนิ่งกลางสิ่งนั้น พอหยุดนิ่งถูกส่วนเข้า ละเอียดเข้าไปๆ พอละเอียดหนักๆ เข้าดวงใสนั้นก็ว่าง เห็นดวงสมาธิ ดวงสมาธินั้นเป็นเนื้อหนังของสมาธิ ถ้าจะแยกออกไป ก็เป็นสมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธิ หยุดนิ่งให้ถูกส่วน ละเอียดหนักเข้า ดวงสมาธิก็ว่างออกไป เห็นดวงปัญญา ดวงปัญญาเมื่อจะแยกออก ก็เป็นสมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป เหล่านี้รวมเป็นอริยมรรค ๘ เมื่อหยุดนิ่งอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า ดวงปัญญาก็ว่างไปๆ ส่วนกายมนุษย์ ก็ละเอียดลงไปๆ พอละเอียดถูกส่วนเข้า ก็จะเห็นกายทิพย์ทีเดียว เมื่อเข้าถึงศีล สมาธิ ปัญญา ในกายมนุษย์ พอละเอียดถูกส่วนเข้า ไปเห็นกายทิพย์ ต่อไปนี้หมดหน้าที่ของกายมนุษย์

ทีนี้เป็นหน้าที่ของกายทิพย์ต่อไป กายทิพย์ก็ต้องเอากายทิพย์ละเอียด ถ้าหยุดนิ่งอยู่กลางกำเนิดของกายทิพย์ หยุดนิ่งอยู่กลางกำเนิดอย่างนั้น เหมือนกับกายมนุษย์ที่ปฏิบัติมาข้างต้น พอถูกส่วนก็หยุดนิ่ง หยุดนิ่งก็จะเห็นดวงใส ดวงใสนั่นคือ ศีลในกายทิพย์ หยุดนิ่งอยู่กลางดวงศีลในกายทิพย์ กายทิพย์ก็ละเอียดลงไปเห็นดวงสมาธิ หยุดนิ่งอยู่กลางดวงสมาธิในกายทิพย์ กายทิพย์ก็ละเอียดลงไปเห็นดวงปัญญา หยุดนิ่งอยู่กลางดวงปัญญาอีก พอถูกส่วนเข้าดวงปัญญาก็ว่างลง เห็นกายรูปพรหม

พอเข้าถึงกายรูปพรหม หยุดนิ่งอยู่ในกายรูปพรหม อยู่กลางกำเนิดศูนย์กลางกายรูปพรหมละเอียด พอถูกส่วนเข้าก็เห็นดวงศีล หยุดนิ่งอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้าก็เห็นดวงสมาธิ หยุดนิ่งอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้าก็จะเห็นดวงปัญญา หยุดนิ่งอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้าก็เห็นกายอรูปพรหม ทีนี้หมดหน้าที่ของกายรูปพรหม

กายอรูปพรหม หยุดนิ่งอยู่ก็ถูกส่วนอีก พอถูกส่วนเข้าก็เห็นดวงศีล หยุดนิ่งอยู่กลางดวงศีลเห็นดวงสมาธิ หยุดนิ่งอยู่กลางดวงสมาธิเห็นดวงปัญญา หยุดนิ่งอยู่กลางดวงปัญญาพอถูกส่วนเข้าก็จะเห็นกายธรรม มีรูปเหมือนพระปฏิมากรเกตุดอกบัวตูมหน้าตักไม่ถึง ๕ วา คือหย่อน ๕ วา ยังไม่ใช่ธรรมกายชั้นพระอริยบุคคล เป็นเพียงโคตรภูบุคคล นี่แหละเป็นธรรมกายตัวพระตถาคตล่ะ

แต่ว่าที่มาจะถึงตัวพระตถาคตนี้ ต้องมาตามอัฏฐังคิกมรรค ๘ ประการ คือ สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธิ จึงมาถูกทางของพระตถาคตเจ้า ถ้าไม่มาทางกลาง ก็ไม่มาเห็นพระตถาคตเจ้า ถ้ามาเห็นได้ก็ทางนี้ล่ะมาถึงกายธรรม เมื่อพระตถาคตในเบื้องต้น ยืนยันรับเป็นพยานว่า จกฺขุกรณี มีความเห็นเป็นปรกติ ญาณกรณี มีความรู้เป็นปรกติ เพราะเหตุว่า กายมนุษย์เห็นไม่เป็นปรกติ รู้ก็ไม่เป็นปรกติ เพราะไม่มีญาณ กายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม ไม่มีญาณ ส่วนกายธรรมมีญาณ พูดถึงญาณ จกฺขุกรณี กระทำให้เห็นเป็นปรกติ

กายมนุษย์เห็นไม่ปรกติ คือเห็นอย่างไร ที่ถูกเห็นว่าไม่ถูก ที่ไม่ถูกเห็นว่าถูก อย่างใดไม่จริงเห็นว่าจริง อย่างใดจริงเห็นว่าไม่จริง ที่ไม่สวยไม่งามเห็นว่าสวยงาม ที่สวยงามเห็นว่าไม่สวยงาม ผิดกันอย่างนี้ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม ก็เช่นเดียวกัน ส่วนกายธรรมไม่เห็นอย่างนั้น เห็นเป็นปรกติ เห็นอย่างไรก็รู้อย่างนั้น เพราะว่ากายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม มีความเห็นไม่เป็นปรกติ รู้ก็ไม่เป็นปรกติ

ส่วนกายธรรมมีความเห็นเป็นปรกติ รู้เป็นปรกติ เห็นตลอดหมด รู้ด้วยญาณ ก็รู้ตลอดหมด ตรงกับความเห็นทุกอย่าง ไม่ต่างกัน เห็นตามถูก รู้ตามถูก สิ่งใดเป็นสุขก็เห็นว่าเป็นสุข กายธรรมเมื่อเข้าถึงแล้วสงบ เมื่อเป็นกายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม ไม่สงบฉะนั้นจะเรียกว่า อุปสมาย ไม่ได้ อภิญฺญาย กายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม จะรู้ยิ่งไม่ได้ กายธรรมรู้ยิ่งได้ ที่ว่ากายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม รู้ยิ่งไม่ได้ คือรู้ไม่ชัด รู้เหมือนฟ้าแลบ ไม่ชัด
เหมือนญาณเ มื่อมีญาณแล้วรู้ชัดเหมือนกลางวัน อย่างนั้นเรียกว่า อภิญฺญาย เรียกว่า รู้ยิ่งจริง ยิ่งกว่ากายมนุษย์ ยิ่งกว่ากายทิพย์ ยิ่งกว่ากายรูปพรหม ยิ่งกว่ากายอรูปพรหม สมฺโพธาย รู้พร้อม รู้พร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ตามจริง ทุกสิ่งรู้พร้อมเสร็จทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดที่จะไม่รู้ เมื่อมีรู้เรียกว่า รู้ด้วยญาณของธรรมกาย นี้เรียกว่า สมฺโพธาย รู้พร้อม นิพฺพานาย เพื่อนิพพาน ไปเพื่อนิพพาน ธรรมกายนี้เข้าถึงแล้ว ไม่ไปที่อื่นดอก ในใจไปเพื่อนิพพานอย่างเดียว ไม่ไปที่อื่นเลย

นี่แหละจะได้ชื่อว่า ถูกความประสงค์ของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ มาทางนี้เป็นทางของพระตถาคต ไม่แวะวกเข้ากลางหนทางทั้ง ๒ คือกามสุขัลลิกานุโยค การประกอบตนให้พัวพันด้วยกาม และอัตตกิลมถานุโยค การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า ข้อปฏิบัติเป็นกลางจริง เมื่อเรารู้จักของจริงอย่างนี้แล้ว ธรรมกายเป็นตัวพระตถาคตเจ้า เรารู้จักอย่างนี้เราจะต้องถึงพระตถาคตเจ้า เราจะต้องทำใจของตนให้หยุดเสมอ ให้ถูกส่วนเข้า พอหยุดถูกส่วนเข้า ก็เห็นดวงใส เราจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ คือยึดพระพุทธ รัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เป็นที่พึ่ง

ธรรมกายนี้แหละ เป็นตัวพุทธรัตนะหละ นี่เรารู้จักพุทธรัตนะแล้ว รัตนะ แปลว่ากระไร รัตนะแปลว่า แก้วธรรมกายใสแจ๋วคือ แก้ว นั่นแหละ

เมื่อรู้จักพุทธรัตนะแล้ว ก็ต้องรู้จัก ธรรมรัตนะด้วย ธรรมรัตนะคือธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย ใจที่หยุดนิ่งอยู่กลางกายที่เป็นกายมนุษย์ ทำให้เกิดกายทิพย์ ใจของกายทิพย์จะหยุดอยู่กลางกายทิพย์ ใจของกายรูปพรหมจะหยุดอยู่ในกลางกายรูปพรหม ใจของกายอรูปพรหมจะหยุดอยู่ในกลางกายอรูปพรหม ธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายก็เท่ากัน เหมือนเราส่องเงาหน้า ไปปรากฏในกระจกเท่ากันทุกอย่าง หน้าตักธรรมกาย ๒๐ วา ดวงธรรมกลมรอบตัวใส ธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม รวมเรียกว่า ธรรมรัตนะทั้งนั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่ไหว้ใคร ไหว้ธรรมดวงนี้เท่านั้น ธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายนั้นเรียกว่า ธรรมรัตนะ เราไม่ได้ธรรมดวงนั้น เราก็เป็นธรรมกาย เป็นลูกพระตถาคตเจ้าไม่ได้ ไม่ได้ธรรมดวงนั้น กายทิพย์ก็เป็นไม่ได้ กายรูปพรหมก็เป็นไม่ได้ กายอรูปพรหมก็เป็นไม่ได้ กายธรรมก็เป็นอยู่ไม่ได้

คนที่ไม่รู้จักไม่รู้จะไหว้อะไร ไหว้อะไรๆเรื่อยเปื่อยไป หนักเข้าก็ไหว้ต้นไม้ใหญ่ๆ ภูเขาใหญ่ๆ อารามใหญ่ๆ เป็นต้น คือธรรมดาคนเราเมื่อมีทุกข์เข้า ก็ย่อมจะต้องถึงซึ่งที่พึ่งเพื่อพันทุกข์ บางคนถึงภูเขาใหญ่ๆเป็นที่พึ่ง บางคนถึงป่าใหญ่ๆ เป็นที่พึ่ง บางคนถึงอารามใหญ่ๆเป็นที่พึ่ง บางคนถึงเจดีย์ ต้นไม้เป็นมหาสักการะ เชื่อว่าเทวดาจะปกปักรักษาไว้ได้ ไม่เป็นอันตราย

พระพุทธเจ้ารับสั่งว่าภูเขา ต้นไม้ และอะไรๆเหล่านี้ไม่ใช่ที่พึ่งหรอก พันจากทุกข์ ไม่ได้หรอก ผู้ใดถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง นั่นแหละเป็นที่พึ่งได้ เพราะฉะนั้น จะพึ่งพวกภูเขา อารามใหญ่ๆ เหล่านั้นไม่ได้ ต้องพึ่งพระพุทธเจ้า พุทธรัตนะนั้นแหละเป็นที่พึ่งจริง ธรรมรัตนะก็เป็นที่พึ่งจริง สังฆะรัตนะก็เป็นที่พึ่งจริง

พระพุทธเจ้าท่านพบพระธรรมกายก่อน พระอรหันต์สาวก ก็มีธรรมกายแบบเดียวกับท่านเหมือนกัน มากน้อยเท่าใด ตั้งแต่พระโกณฑัญญะ ภัททิยะ วัปปะ มหานามะ อัสสชิ ท่านเหล่านี้ล้วนแต่มีธรรมกายแบบเดียวกัน หรือพวกเพื่อนพระยสอีก ๕๐ ท่าน ท่านก็มีธรรมกายแบบเดียวกัน มากน้อยเท่าใด เหล่านี้เรียกว่า สังฆรัตนะ แปลว่า แก้ว ซึ่งเป็นสาวกของพระบรมศาสดา สังฆรัตนะคือธรรมกายมีมากน้อยต่างๆ ถึงอย่างนั้นได้มีเห็นเป็นปรากฏขึ้นในศาสนาของพระสมณโคดมบรมศาสดา

เมื่อรู้จักพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ อย่างนี้แล้ว เราจะต้องทำตัวของเราให้เข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ อย่างนี้ถ้าไม่เข้าถึง จะปฏิบัติศาสนาสักโกฏิชาติ ก็ไม่อาจสามารถรู้รสศาสนาได้ จะปฏิบัติไปสักเท่าใดก็ตาม ก็เหมือนกับคนไม่รู้จัก เบญจโครสในน้ำนมสด คือไม่รู้ว่ารสเป็นอย่างไร เป็นแต่คล้ายๆกับคนรับจ้างเขาเลี้ยงโค พอเลี้ยงเสร็จแล้ว เวลาเย็นก็ไล่โคกลับ รับเอาค่าจ้างที่เลี้ยงไปเท่านั้นเท่านี้ส่วนน้ำนมโค ไม่ได้รับประทาน เจ้าของเขาเอาไป

เบญจโครส คือรสนมโค ๕ อย่าง เอานมโคทิ้งไว้ให้เปรี้ยว เรียกว่า นมเปรี้ยว เอานมเปรี้ยวมาเคี่ยวให้ขัน เรียกว่า นมข้น นมข้นมีรสอันหนึ่งเมื่อมาเคี่ยวให้แข็งเป็นก้อนเรียกว่า เนยก้อน มีรสอย่างหนึ่ง เอาเนยก้อนมาเจียวให้ใส มีรสอย่างหนึ่ง รสนม รสนมเปรี้ยว รสนมที่เคี่ยวเหมือนน้ำตาลองุ่น รสนมที่เป็นก้อนและเจียวเป็นนมใส นั้นรวมเรียกว่า เบญจโครส รสนมโค ๕ อย่างนี้ ผู้รับจ้างเลี้ยงโคไม่ได้เคยลิ้มรสเลย เจ้าของโคได้ลิ้มรสเบญจโครสนั้น ฉันใด ผู้ปฏิบัติศาสนาทำตัวของตัวไม่เข้าถึงพระรัตนตรัย ก็ได้ชื่อว่าไม่รู้จักศาสนาเลย เหมือนอย่างคนรับจ้างเลี้ยงโค ถึงเวลาก็ทำหน้าที่เท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น ใครไม่รู้จักธรรมรส รีบทำให้เข้าถึงพระรัตนตรัยเถิด ใครรู้เขาก็ย่อมรู้ในใจ คนอื่นยังไม่รู้จักรสพระพุทธศาสนาเลยเขาก็รู้ชัดอย่างนี้ เหตุฉะนั้นให้รีบตั้งใจแน่นอน ทำใจของตัวให้หยุด จะเข้าถึงพระรัตนตรัยโดยแท้ ถ้าไม่ตั้งใจให้แน่นอนอย่างนี้ ก็เป็นเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโค ไม่รู้จักรสธรรมปฏิบัติว่าเป็นประการใด
นี่แหละที่ได้ชี้แจงแสดงมา ในมัชฌิมาปฏิบัติ ว่าด้วยอริยมรรคตามพระบาลีและคลี่ความเป็นสยามภาษา ตามอัตโนมตยาธิบายพอสมควรแก่เวลา ด้วยอำนาจความสัตย์ที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ ขอความสุขสวัสดี จงบังเกิดแก่ท่านทั้งหลาย บรรดาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า อาตมภาพชี้แจงแสดงมา สมควรแก่เวลา ขอสมมติยุติธรรมิกถาโดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้

เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

โอวาท พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)

อ้างอิงเนื้อหา หนังสือ รวมพระธรรมเทศนาพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
เพื่อการศึกษาและดำรงไว้ซึ่งคำสอน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *