หลวงพ่อทัตตชีโว

ควรใช้หลักธรรมอะไรในการพิจารณารับพนักงาน

คำถาม: กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ด้วยความเคารพครับ ลูกและเพื่อนๆต่างก็เปิดบริษัทเพื่อประกอบธุรกิจ ในการนี้ต้องรับพนักงานเข้าทำงาน เราควรจะใช้หลักธรรมข้อใดในการพิจารณาเพื่อรับพนักงานครับ คำตอบ: เจริญพร…โดยทั่วไปในการคัดคนเข้ามาทำงาน จะเป็นในระดับไหนก็ตาม ส่วนมากในยุคนี้ เขาก็มักจะมองว่า มีวุฒิอย่างไร จบอันโน้น จบอันนี้ ปริญญาตรี ปริญญาโท หรือปริญญาเอก…กันบ้าง พิจารณาจากประสบการณ์ในการทำงาน…บ้าง พิจารณาจากบุคลิกลักษณะ…บ้าง อะไรทำนองนี้ บางทีก็ไล่ไปจนกระทั่งชาติตระกูลก็มี สอบสาวเข้าไป เจ็ดชั่วโคตรเลย บางทีก็สอบไปถึงการเงินการทอง ประวัติของตระกูลในอดีต แต่ว่าจะใช้หลักอะไรก็ใช้ไป นั่นถือว่า เป็นแค่องค์ประกอบ แต่เรื่องหลักจริงๆแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้เราคัดคนดีเข้ามาอยู่ร่วมกับเรา ในการคัดคนดีก็มีวิธีมองว่า ใครเป็นคนดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการที่จะเอาคนมาทำงาน ถือหลักง่ายๆ คนที่จะทำงานได้ดี คือ คนอย่างไร…คำตอบ คือ คนที่มีความรับผิดชอบ พูดง่ายๆ…คนดี ดีกันด้วยความรับผิดชอบ ไม่ใช่ดีเพราะมีปริญญา ไม่ใช่ดีเพราะหุ่นดี เสียงดี ชื่อดี หรือ ตระกูลดี…ไม่ใช่ เมื่อจะเอาคนมาทำงาน เพราะฉะนั้นคนจะดี ต้องดีด้วยความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบ มีดังนี้ ประการที่1.รับผิดชอบตนเอง ที่เรียกว่า…รับผิดชอบต่อตนเองเป็นอย่างไร เอาขั้นต้นก็แล้วกัน ในทางศาสนา รับผิดชอบต่อตนเอง คือ …

ควรใช้หลักธรรมอะไรในการพิจารณารับพนักงาน Read More »

ถ้าเราจำเป็นจะต้องคัดบุคคลที่ไม่มีคุณภาพออก เราจะมีหลักในการตัดสินใจอย่างไรบ้าง

คำถาม: กราบหลวงพ่อด้วยความเคารพครับ ในอีกด้านหนึ่งครับ ถ้าเราจำเป็นจะต้องคัดบุคคลที่ไม่มีคุณภาพออก เราจะมีหลักในการตัดสินใจอย่างไรบ้างครับ คำตอบ: คุณโยม…ความจริงเมื่อตอนเอาเขาเข้ามา เราก็ว่าเราคัดแล้วล่ะนะ…ตรงนี้ ครั้งใดที่คัดคนออก ต้องโทษว่า เป็นความผิดของเราเป็นประการแรก คือ ดูคนพลาด หรือดูคนไม่เป็น ไม่ใช่ความผิดของเขาเพียงลำพัง…เอาล่ะ…เราพบว่าเขาไม่ดี แต่ขอให้รู้ด้วยว่า นั่นเป็นความผิดของเราด้วย เพราะว่า เราว่าเราคัดแล้ว แล้วเราคัดอย่างไร เขาถึงได้หลุดหูหลุดตาเรามาได้ อีกประการหนึ่ง ต้องดูด้วย เราอาจจะคัดเขามาดี ดูแล้วดูอีกก็ดีจริง แต่ว่าเมื่อมาถึงเราแล้ว เราฝึกเขาไม่ถึงขั้น แม้อย่างนี้ก็เป็นความผิดของเรา ทีนี้…เมื่อดูว่า จำเป็นต้องคัดเขาออกเสียแล้ว ผลปรากฏว่า ขณะนี้…เขาไม่ค่อยดีเท่าที่เราหวัง หรือไม่ใช่เขาไม่ค่อยดี แต่แย่เอามากๆเลย ตรงนี้ก็ต้องทำด้วยความระมัดระวัง อย่าทำด้วยความเคียดแค้น เพราะถ้าเราจะคัดใครออกสักคน จำไว้…หากเราทำผิดพลาดนิดเดียว มีโอกาสถึงตายเชียวล่ะคุณ คุณจำไว้ คัดคนเข้าว่ายากแล้ว คัดคนออกยิ่งแสนยากหนักเข้าไปอีก เมื่อเป็นอย่างนี้ จะคัดคนออกแต่ละครั้ง คิดแล้วคิดอีกให้ดี ไล่ความหนักหนาสาหัสไปตามลำดับว่า ควรจะกรณีอย่างไหน เอาออกก่อน-หลัง ขั้นต้นเลย…ในการจะเอาคนออก ที่จะประจักษ์กับคนทั้งหลายว่า เขาไม่เหมาะสมที่จะอยู่ต่อไป แล้วคนอื่นก็สามารถเห็นได้ด้วย ตัวเขาก็ยอมรับด้วยว่า เขามันไม่ค่อยจะเข้าท่า บุคคลประเภทแรก ที่พอจะคัดออกได้ง่ายหน่อย …

ถ้าเราจำเป็นจะต้องคัดบุคคลที่ไม่มีคุณภาพออก เราจะมีหลักในการตัดสินใจอย่างไรบ้าง Read More »

ถ้าเราจะเลื่อนตำแหน่งลูกน้อง ขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน บุคคลผู้นั้นควรจะมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง

คำถาม: หลวงพ่อครับ ถ้าเราจะเลื่อนตำแหน่งลูกน้อง ขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน บุคคลผู้นั้นควรจะมีคุณสมบัติอย่างไรบ้างครับ คำตอบ: คุณโยม…ถ้าพูดโดยหลักการ การจะเลือกใครขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน นั้นไม่ยาก…ลองฟังหลักการก่อน หลักการมีอยู่ 2ประการ คือ ประการแรก บุคคลนั้นต้อง ไม่ลำเอียง เพราะถึงเขาจะเก่งงานขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าเขาลำเอียงเสียแล้ว เมื่อเขาขึ้นมาเป็นหัวหน้าคน เดี๋ยวเขาก็ทำหน่วยงานนั้นพังหมด คนเก่งแต่ลำเอียง ฝีมือดี เก่งขนาดไหนก็ทำให้หน่วยงานพังซะจนได้ เพราะฉะนั้นอย่าเอาขึ้นไปเป็นหัวหน้า ผู้ที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าคน ที่ว่าไม่ลำเอียงเป็นอย่างไร…คือ ผู้ที่ไม่มีความลำเอียง ดังต่อไปนี้ 1.ลำเอียงเพราะรัก คือ ประเภทที่ชอบเล่นพวกเล่นพ้อง พูดง่ายๆ เอาคนชอบเล่นพวกเล่นพ้องมาเป็นหัวหน้าหน่วยงาน เดี๋ยวก็ทำงานพัง ดูเผินๆ คนพวกนี้มีมนุษยสัมพันธ์ แต่จริงๆไม่ใช่ ถ้าหันหน้าหน่วยงานเล่นพวกแล้ว งานก็จะพัง คือ จะมีคนประจบสอพลอ หรือคนคุณภาพไม่ถึง มาอยู่เต็มไปหมด แล้วคุณจะพัง 2.ลำเอียงเพราะชัง คือ ประเภทที่ตัวเองฝีมือดี แต่ว่า…ถ้าได้โกรธใครล่ะก็…ผูกอาฆาตเลย ใครไม่ถูกใจ…จะจงเกลียดจงชัง ขังลืมเอาไว้ในใจ ใครทำให้ไม่ถูกใจสักหน่อย…คนคนนั้น ชาตินี้ทำอะไรก็ไม่ถูกตลอด อย่างนี้ก็ให้ไปเป็นหัวหน้าคนไม่ได้ 3.ลำเอียงเพราะกลัว คือ ประเภทที่กลัวเส้นก๋วยเตี๋ยว กลัวเส้นกวยจั๊บ …

ถ้าเราจะเลื่อนตำแหน่งลูกน้อง ขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน บุคคลผู้นั้นควรจะมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง Read More »

ศาสนาสอนให้ปล่อยวาง ไม่เหมาะกับนักธุรกิจจริงหรือไม่

คำถาม: กราบนมัสการหลวงพ่อ ด้วยความเคารพอย่างสูงนะคะ ลูกมีปัญหาที่จะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า เมื่อเวลาลูกเข้าไปชวนเพื่อนนักธุรกิจด้วยกันมาเข้าวัด เขามักจะปฏิเสธ เพราะเขามองเห็นว่า ศาสนาสอนให้คนรักสันโดษและปล่อยวาง ซึ่งไม่เข้ากับชีวิตของนักธุรกิจนะคะ ลูกอยากกราบขอคำอธิบายจากหลวงพ่อ เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดเหล่านี้ด้วยค่ะ คำตอบ: ความจริงคำว่า “สันโดษ” แปลว่า “พอใจในสิ่งที่ควรมี ควรได้” อะไรไม่ควรมี ไม่ควรได้ ก็อย่าไปพอใจมัน ทีนี้…ถ้าตัวเขามีความรู้ มีความสามารถ มีความดีพอ จะได้อะไรในทางที่ถูก ที่ต้อง ที่ควร จะรวยได้เท่าไหร่ๆ พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงห้าม แต่ว่าความเข้าใจผิดตรงนี้แหละ ทำให้เป็นอุปสรรคในการเข้าวัดไป ก่อนอื่นคุณโยมต้องรู้ว่า ธรรมชาติของคน โดยเฉพาะนักธุรกิจ นักธุรกิจทั้งหลายในโลก เป้าหมายของเขา เป้าหลัก คือ อยากรวย แล้วพวกที่รวยแล้ว ส่วนมากก็จะมีเป้าที่สองตามมาอีกด้วย คือ อยากดัง อยากรวย…อยากดัง เป็นเรื่องหลักๆของนักธุรกิจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ห้ามรวย ส่วนมากมักเข้าใจผิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามรวย ความจริงท่านไม่ได้ห้าม ยิ่งกว่านั้นยังตรัส “โทษของความจน” อีกด้วย อยู่ทางโลก ถ้าจน เป็นโทษนะ ตั้งแต่…ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน แม้การกู้หนี้ยืมสินก็เป็นทุกข์ กู้หนี้ยืมสินมาแล้วก็ต้องจ่ายดอกเบี้ย จ่ายดอกเบี้ยก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่มีดอกเบี้ยจะจ่าย ก็โดนทวง …

ศาสนาสอนให้ปล่อยวาง ไม่เหมาะกับนักธุรกิจจริงหรือไม่ Read More »

ศาสนาพุทธมีหลักธรรมในการบริหารงานบ้างหรือไม่

คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ ลูกอยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่ออีกประการหนึ่งนะคะว่า ทำไมในปัจจุบันนี้ นักธุรกิจทั่วไป มักจะนิยมอ่านตำราบริหารงานของฝรั่ง ลูกกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ในพุทธศาสนา เรามีหลักคำสอนซึ่งเกี่ยวกับการบริหารงานบ้างหรือไม่เจ้าคะ คำตอบ: เจริญพร…ความจริงในเรื่องของการบริหารงานนั้น ตำรับตำราทางโลก ว่าที่จริงของเขาก็ไม่เลวหรอก เพียงแต่ว่ามันยังไม่สมบูรณ์ ที่ว่าไม่สมบูรณ์มันเป็นอย่างไร กล่าวคือ การบริหารทางโลก มักมุ่งเน้นไปที่ความสำเร็จเป็นหลัก ที่เรียกว่าความสำเร็จเป็นหลัก คือ มุ่งประโยชน์ของตนเองเป็นหลักนั่นเอง พอมุ่งประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก มันก็เข้าทำนองที่เราเรียกว่า “มุ่งวัตถุเป็นหลัก จนกระทั่งลืมทางด้านจิตใจกันไป” เพราะว่าพอมุ่งเอาความสำเร็จ ซึ่งมนุษย์ส่วนมากมุ่งที่ความร่ำรวยอีกนั่นแหละ มุ่งที่ความเด่น ความดังอีกนั่นแหละ ส่วนใครจะกระทบอย่างไรก็ช่าง ขอให้เราได้รวย ได้เด่น ได้ดังมาเสียก่อน นี้ก็เป็นแนวทางการบริหารทางโลก ตามตำรับตำราในยุคปัจจุบันนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ทรงทราบดีว่า ความจริงแล้ว มนุษย์เกิดมาทำไม คือ เกิดมาสำหรับสร้างบุญ สร้างบารมี เกิดมาเพื่อแก้ไขตัวเอง มีข้อผิดพลาดอยู่อย่างไร ติดตัวข้ามภพข้ามชาติมา แก้เสียให้หมดในชาตินี้ แล้วก็ขณะที่กำลังทำมาหากิน ซึ่งแน่นอน เพราะเรื่องการทำมาหากินนั่นแหละ ทำให้ต้องบริหารงาน อันนั้น อันนี้ อันโน้น ขึ้นมา ในระหว่างทำมาหากินอยู่นี่เอง ก็ถือโอกาสปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้ยิ่งๆขึ้นไป …

ศาสนาพุทธมีหลักธรรมในการบริหารงานบ้างหรือไม่ Read More »

หลักในการครองใจลูกน้อง

คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ เนื่องจากลูกทำธุรกิจส่วนตัว ซึ่งต้องดูแลลูกน้องเยอะ  อยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ทำอย่างไรเราถึงจะเป็นนักบริหารที่สามารถครองใจให้ลูกน้องรักได้เจ้าค่ะ คำตอบ: ครองใจคนความจริงไม่ยาก ขอให้เราครองใจของเราให้ได้ก่อน ครองใจของตนเองได้แล้ว จึงค่อยครองใจคน ตรงนี้จำไว้ให้ดี ในการครองใจของตนเองเป็นอย่างไร…ครองใจของตนเองให้ได้ คือ ครองใจของเราให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา ถ้าครองใจให้ผ่องใสได้ตลอดเวลาแล้ว…ถ้าอย่างนั้นครองใจคนก็ไม่ยาก ทีนี้ที่ถามว่า “ครองใจลูกน้องจะทำอย่างไร” ดูศัพท์คำนี้ให้ดี ดูศัพท์คำว่า “ลูกน้อง” ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเรามีหลายรูปแบบ เรามีคำหลายคำ ตั้งแต่คำว่า “พนักงาน” คำว่า “คนงาน” คำว่า “คนรับใช้” หนักเข้าไปก็ “ข้าทาส” แย่หนักเข้าไปก็ “ขี้ข้า” คำประเภทนี้ปู่ย่าตาทวดเราไม่ใช้ ถือว่าเป็นคำที่จิกหัวเรียก อย่างเช่น คำว่า “ขี้ข้า” คำว่า “ข้าทาส” อย่างนี้…จิกหัวเรียก…หมดความเป็นคน แต่ว่า…ให้มีจิตเมตตา มองกันด้วยว่า เขากับเราก็เป็นมนุษย์ด้วยกัน แล้วการที่เขามาอยู่กับเรา เป็นบุคคลที่มาช่วยผ่อนแรง มาช่วยเราทำมาหากิน เราได้เขาเป็นแรงกาย ส่วนเราออกแรงสติปัญญา…อย่างนี้ ถ้าจะว่าไป ก็เหมือนมือกับซ้ายมือขวา หรือว่าเท้าหน้ากับเท้าหลัง อะไรอย่างนี้…ถ้าอย่างนี้พอไปด้วยกันได้ ทีนี้เมื่อเราจะครองใจลูกน้องของเรา ขั้นต้น…ให้มองคำว่า “ลูก” …

หลักในการครองใจลูกน้อง Read More »

ทำแท้งด้วยความจำเป็น บาปหรือไม่

คำถาม:  กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ลูกอยากกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า การทำแท้งด้วยความจำเป็น เช่น ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนหรือตั้งครรภ์แล้วป่วยด้วยหัดเยอรมัน ถ้าเด็กคลอดออกมาก็จะพิการ การทำแท้งด้วยความจำเป็นแบบนี้ บาปหรือไม่เจ้าคะ คำตอบ:  ในเรื่องของการทำแท้ง ไม่ว่าจะทำแท้งเพราะถูกข่มขืน หรือว่าขณะตั้งครรภ์แล้วป่วยเป็นโรคหัด โรคอะไรก็ตามที อยากจะทำแท้ง  ถามว่าบาปไหม?             แน่นอนเลย ทำแท้งคือการฆ่าคน เมื่อขึ้นชื่อว่าฆ่าเสียแล้ว ก็บาปทั้งนั้น แม้ไม่ได้เต็มใจที่จะท้องครั้งนี้ มาโดนข่มขืน หรือว่าเป็นโรคหัด ลูกของเราถ้าปล่อยให้คลอดมาเสี่ยงเหลือเกิน ที่จะพิการ จะเสี่ยงหรือไม่เสี่ยง จะเต็มใจที่จะมีครรภ์หรือไม่ แต่ฆ่าเมื่อไหร่ บาปเมื่อนั้น ได้เพาะนิสัยโหด สันดานโหดเข้ามาในกมลสันดานมนุษย์เสียแล้ว             มนุษย์มีศักดิ์ศรีเหนือกว่าสัตว์ตรงที่ไม่ฆ่านี่แหละ ถามว่าทุกชีวิตบนโลกใบนี้รักที่สุดในชีวิตของเราคืออะไร? ตอบเหมือนกันทั้งโลก ก็ชีวิตตัวเองนั่นแหละ คนอื่นก็รักชีวิตตัวเอง อย่าว่าแต่คนเลย สัตว์เดรัจฉานทุกตัวก็ตอบแบบเดียวกัน นั่นคือใครๆ ก็รักชีวิตตัวเองทั้งนั้น             เพราะฉะนั้นใครๆ ก็ต้องไม่ฆ่าใคร ทำความเข้าใจตรงนี้ให้ชัด ถ้าไปฆ่าใครมันก็บาป ฉะนั้นแม้โดนข่มขืน จะอยากให้เกิดหรือไม่ แต่เขาเข้ามาเกิดในท้องแล้ว เขาก็มีชีวิตของเขาแล้วคุณฆ่าเขาคุณก็บาป หรือแม้ไม่อยากจะให้เขาเกิดมาเพราะเป็นโรคหัด เมื่อคลอดมาแล้วจะพิการ ถึงพิการ  อย่างไรคุณค่าของคนโดยทั่วไป …

ทำแท้งด้วยความจำเป็น บาปหรือไม่ Read More »

สอนธรรมะให้ผู้พิพากษา

คำถาม: คุณทิพย์สุดา อริยวัตร เขียนมาถามว่า ลูกได้รับมอบหมายจากอธิบดีศาลแพ่ง ให้ทำหน้าที่สอนธรรมะแก่ผู้พิพากษาและข้าราชการเดือนละ ๑ ครั้ง เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๔๘ นี้  เลยรู้สึกหนักใจ เนื่องจากผู้พิพากษาก็อยู่ในโลกของเขา คนทั่วไปยากที่จะเจาะลึกเข้าไปในจิตใจของเขาได้ ขอความเมตตาจากหลวงพ่อ ช่วยแนะนำแนวทางในการสอนธรรมะด้วยค่ะ คำตอบ: ตรงนี้ก็ขอตอบเป็นกลางๆ ก็แล้วกัน อย่าว่าแต่ไปให้ความรู้ธรรมะแก่ผู้พิพากษาเลย ซึ่งก็ถือว่าท่านผู้พิพากษานี้ ถ้าสติปัญญาท่านไม่เยี่ยม ท่านก็คงไม่ได้รับตำแหน่งนี้ เมื่อสติปัญญาท่านเยี่ยม ก็ถูกแล้วที่คุณโยมจะรู้สึกประหม่า ที่จะไปมอบธรรมะให้กับท่านเหล่านี้              อย่างไรก็ตาม เราต้องยอมรับความจริงเกี่ยวกับเรื่องธรรมะก่อน ในเรื่องของธรรมะกับความรู้วิชาการทางโลก ตรงนี้อย่าปนกัน ผู้ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมในทางโลก ไม่ได้หมายความว่าจะมีสติปัญญาเฉียบแหลมในทางธรรม ตรงนี้ต้องชัดเจนกันเลย เป็นประการที่ ๑.             ประการที่ ๒. แม้ผู้ที่มีความเข้าใจเฉียบแหลม สติปัญญาดีมีความเข้าใจในเรื่องทางธรรมเหมือนๆ กัน แต่ก็อย่าเพิ่งทึกทักว่า จิตใจของเขาจะเป็นธรรมเหมือนกัน เพราะว่ามีความรู้ความเข้าใจธรรมะเหมือนกันนี่แหละ แต่ว่าถ้าความรู้ธรรมะนั้นเป็นความรู้ในระดับที่เข้าใจ ในระดับที่ตรองมา ใช้ตรึกตรอง ใช้พินิจพิจารณาแล้วเข้าใจเหตุผลต้นปลายว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้เป็นอย่างนี้ ที่เกิดเป็นกรรมดีอย่างนั้น เพราะได้ไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วผลจะส่งให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้อะไรต่อไป มองทะลุปรุโปร่งเข้าใจหมด แต่นั่นเป็นเพียงระดับเข้าใจ …

สอนธรรมะให้ผู้พิพากษา Read More »

กราบเท้าพ่อแม่ก่อนนอนจะช่วยพัฒนาคุณธรรมของเด็กได้อย่างไร

คำถาม:  กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ ลูกอยากกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า สังคมไทยสมัยก่อน จะให้ลูกกราบเท้าพ่อแม่ก่อนเข้านอน สิ่งนี้จะพัฒนาคุณธรรมในตัวเด็กได้อย่างไร และถ้าคนในยุคนี้จะทำบ้าง ควรจะเริ่มต้นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ คำตอบ: ในเรื่องของการให้ลูกไปกราบเท้ากราบแม่ก่อนนอน ตั้งแต่โบราณ หลักการอยู่ตรงไหน? เป็นหลักการหรือเป็นกุศโลบาย ในการที่จะถ่ายทอดนิสัยอันดีงามที่พ่อแม่ฝึกมาตลอดชีวิต สู่ลูกหลานของตัวเอง ความดีนั้น มันเป็นเรื่องที่ต้องปลูกฝัง จะรอให้เกิดขึ้นเองนั้นไม่ได้ เหมือนข้าวต้องปลูก ผักผลไม้ต้องปลูก ถ้าไม่ปลูก ไม่ขึ้น แต่ว่าหญ้าหรือวัชพืชนั้น ไม่ต้องปลูก มันขึ้นเอง ถอนทิ้งไม่ไหวเลย             ปู่ ย่า ตา ทวด มองได้ลึกซึ้งในเรื่องเหล่านี้ จึงมีกุศโลบายให้ลูกหลานมากราบเท้าท่านก่อนนอน การที่ลูกคลานเข้าไปหาพ่อแม่ แล้วไปกราบ มันได้อะไร มันไม่เป็นการไปบังคับจิตใจลูกมากไปหรือ ไม่เลย เพราะเป็นเรื่องของการหาโอกาสได้ใกล้ชิดกันระหว่างพ่อ แม่ ลูก ก็เลยทำให้ได้พูดกัน ทำให้เห็นกัน ทำให้เข้าใจกัน เมื่อทำกันอย่างนี้ทุกวัน ทุกคืน ก็จะทำให้ลูกของเราเกิดความใกล้ชิด และซาบซึ้งถึงความปรารถนาดีซึ่งพ่อแม่มีกับลูก ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้             หากลูกไปทำอะไรผิดพลาดมาในวันนั้น ตามธรรมดาใจของเด็กจะสะอาด เหมือนผ้าขาว เพราะฉะนั้นถ้าเขาไปทำอะไรผิดมาครั้ง ๒ ครั้ง แรกๆ …

กราบเท้าพ่อแม่ก่อนนอนจะช่วยพัฒนาคุณธรรมของเด็กได้อย่างไร Read More »

พรมีความสำคัญอย่างไร และควรให้พรอย่างไร

คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ ตามธรรมเนียมของไทย ในวันสำคัญต่างๆ เช่นวันขึ้นปีใหม่ หรือปรารภเนื่องในวันมงคลต่างๆ ผู้น้อยมักจะไปกราบขอพรผู้ใหญ่อยู่เสมอๆ อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า  พรมีความสำคัญอย่างไร และควรให้พรอย่างไรเจ้าค่ะ คำตอบ:  คำว่า “พร” ในภาษาไทย มาจากคำว่า “วร” ในภาษาแขกหรือภาษาอินเดียของเขา แปลว่า “ประเสริฐ” ให้พรก็คือให้ความประเสริฐ คนเราให้ความประเสริฐแก่กันเป็นสิ่งที่ดี             คำถามต่อไปก็คือ แล้วคนเรานั้นประเสริฐตรงไหน? หลักธรรมในพระพุทธศาสนาต้องถูกยกขึ้นมาตรงนี้ ก็ต้องมองอย่างนี้ มองเข้าไปที่ใจคน อย่าไปมองที่รูปร่าง ความประเสริฐทางรูปร่าง เช่น หล่อ เช่น สวย แข็งแรง มันก็ดีหรอก แต่ว่ามันยังดีไม่จริง ถ้าดีจริงมันต้องดีเข้าไปถึงในใจ อย่างนี้ดีแท้             ในใจคนมีอะไรบ้าง? ถ้าคนทั่วไปยังไม่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เราก็ยังมีข้อเสียอยู่ในใจของเราด้วยกันทุกคน มีโลภ โกรธ หลง อยู่ในใจมาก ก็จะต้องทำให้เขาคิดร้าย พูดร้าย ทำร้าย ได้มากๆ แล้วบาปก็เกิดมาก แล้วก็บั่นทอนตัวเองไปได้มาก แต่ถ้าใครมีความโลภ โกรธ หลง …

พรมีความสำคัญอย่างไร และควรให้พรอย่างไร Read More »

ศีลภรต คืออะไร ต่างจากศีล 5 อย่างไร

คำถาม: กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าคะในรายการตอนก่อนๆ ลูกเคยได้ยินหลวงพ่อพูดคำว่า ศีลภรต นะคะแต่ไม่ได้ขยายความไว้ ลูกอยากขอความเมตตาจากหลวงพ่อ ช่วยอธิบายคำว่าศีลภรต คืออะไร ต่างจากศีลห้าอย่างไรเจ้าคะ คำตอบ: เจริญพร ศีลภรต คืออะไร ต่างจากศีลห้าอย่างไร เอาขั้นต้นก่อน คำว่าศีลภรต มุ่งไปถึงศีลของนักบวชเป็นหลักต่างจากศีลของชาวบ้าน คือ ชาวบ้านเขารักษากันแค่ศีลห้า ศีลห้าคุณโยมคงเข้าใจอยู่แล้ว ธรรมดาชาวบ้าน ชาวโลก เขารักษากันแค่ศีลห้า แต่ว่าที่ นักบวช คือ ผู้ที่จะกำจัดกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษนั้นแค่ศีลห้าไม่พอ ก็ต้องมีศีลภรต คือศีลที่ยิ่งขึ้นไปกว่าศีลห้า ส่วนมีอะไรบ้าง เดี๋ยวค่อยว่ากัน ลองดูตรงนี้ก่อน             ศีล ทำไมจึงต้องมาแบ่งเป็นศีลทั่วไปของชาวบ้าน และ ศีลของนักบวชด้วยดูตรงนี้ให้ชัด ทหาร เขามีวิธีการทำความดีของเขาอยู่สองระดับ             ระดับแรก เมื่อมีข้าศึกมาโจมตี ความดีความชอบของทหารระดับแรกก็คือ รักษาค่าย รักษากองทัพ รักษาชีพ ต้องตั้งมั่นเอาไว้ให้ได้ ไม่ยอมให้ข้าศึกมาตีแตก พูดง่ายๆคือรักษาดินแดน รักษาพื้นที่เอาไว้ ถึงแม้ว่าจะทำลายล้างข้าศึกศัตรูไม่ได้ แต่ข้าศึกศัตรู ก็บุกรุกไม่ได้อีกเหมือนกัน ถามว่าอันนี้เป็นความดีความชอบของทหารไหม ตอบว่า …

ศีลภรต คืออะไร ต่างจากศีล 5 อย่างไร Read More »

การรักษาศีล 8

คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ มีคนถามลูกว่า จุดประสงค์ของการรักษาศีลแปด คือการประพฤติพรหมจรรย์ ถ้าเขาสามารถ รักษาศีลข้อที่สามได้ ข้อย่อยๆอย่างอื่น เช่น ข้อหก ข้อเจ็ด ข้อแปด ไม่ต้องรักษาก็ได้ ใช่หรือไม่เจ้าคะ คำตอบ: โยม…ทำอะไร ทำให้มันครบชุดของเข้าไว้ อย่าให้ตกหล่นไป กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงบัญญัติ ศีลแต่ละข้อขึ้นมา พระองค์ได้ทรงคิดแล้วคิดอีกปกติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอยู่ประการหนึ่งที่รู้กันไปทั่วคือ ท่านจะไม่ตรัส ไม่พูดอะไรเพ้อเจ้อ พูดง่ายๆ อะไรไม่จำเป็นแม้ครึ่งคำพระองค์ก็ไม่พูด พูดเท่าที่จำเป็นเท่านั้นแหละ นี่คือพระจริยวัตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา             เพราะฉะนั้น การที่พระองค์บัญญัติจากศีลที่มีอยู่ ห้า ข้อแล้ว มาเป็น แปด ข้อนี่ แสดงว่าจำเป็นจริงๆ ไปตัดข้อใดข้อหนึ่งของพระองค์ไม่ได้หรอก ทำไมจึงตัดไม่ได้ ต้องมองว่าอย่างนี้ โดยหลักการก็คือ การที่กำหนดให้มีศีลภรต คือ ข้อที่หก ข้อที่เจ็ด ข้อที่แปด ไล่ไปเรื่อยๆ ของพระมีตั้ง 227 ข้อนะ เกินกว่าศีลห้าอีก ได้บอกแล้วว่าศีลในระดับนี้ เป็นศีลเพื่อรุกไล่ กำราบ …

การรักษาศีล 8 Read More »

ทำแต่เฉพาะทานรักษาศีลพอหรือไม่ จำเป็นต้องทำสมาธิด้วยหรือไม่

คำถาม: ลูกเคยชวนเพื่อนมานั่งสมาธิ เขาบอกว่า คนทางโลกอย่างเขา ทำทาน รักษาศีล ก็พอแล้ว ทำไมต้องมานั่งสมาธิด้วย จะอธิบายให้เขาเข้าใจได้อย่างไรเจ้าคะ คำตอบ: ก็ต้องดูว่า โดยสภาพใจของเขาแล้ว เขาอยู่ตรงไหน ในการตอบให้คนเห็นความสำคัญของสมาธิ ดูอย่างนี้ก่อน ดูว่าธรรมดาแล้ว เขาเองสนใจคำสอนของพระพุทธศาสนามากน้อยแค่ไหน คือคนบางพวก เขาไม่ค่อยสนใจคำสอนในพระพุทธศาสนามากนักหรอก แต่ก็ตักบาตร ให้ทาน รักษาศีล ตามประเพณีไป นี่พวกหนึ่ง             พวกที่สอง ทั้งตั้งใจให้ทาน รักษาศีล แล้วก็ศึกษาธรรมะด้วย ศึกษาว่าทำอย่างไร ศีลจึงจะดี มีกฎเกณฑ์อย่างไร ทำอย่างไรทำทานจึงจะได้บุญมาก แต่ว่ามองไม่เห็นคุณค่าของสมาธิ จริงๆแล้วที่ศึกษา เพราะมีครูบาอาจารย์บางท่าน เป็นพระด้วยซ้ำ ท่านมักจะพูดว่า ถึงท่านไม่ฝึกสมาธิ ท่านก็มีสมาธิ ท่านดีอยู่แล้ว จะต้องฝึกไปทำไม อย่างนี้ก็มีเหมือนกัน             อีกกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มที่ให้ทาน รักษาศีล ตามประเพณี ก็ทำตามกันสืบๆ กันมา ในกรณีนี้ต้องชี้แนะให้เขาดูว่า ทานที่เขาทำนั้น ถ้าจะให้ได้บุญมากขึ้น  ก่อนทำทาน ให้นั่งสมาธิก่อน …

ทำแต่เฉพาะทานรักษาศีลพอหรือไม่ จำเป็นต้องทำสมาธิด้วยหรือไม่ Read More »

เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อแรกประสูติ ทรงดำเนินไปได้ ๗ ก้าวนั้น เป็นไปได้จริงหรือไม่

คำถาม: กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ ปัจจุบันนี้หลายคนสงสัยว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อแรกประสูติ ทรงดำเนินไปได้ ๗ ก้าวนั้น เป็นไปได้จริงหรือคะ?เราจะอธิบายให้เขาเชื่อได้อย่างไรคะ?  คำตอบ:  เรื่อง พอประสูติแล้วเจ้าชายสิทธัตถะเดินได้ ๗ ก้าวนี่ อย่าว่าแต่คุณโยมเลย หรือเด็กในยุคนี้ เมื่ออาตมาเป็นเด็ก อาตมาก็สงสัยเหมือนกัน แล้วก็สงสัยอยู่นานด้วย สงสัยจนกระทั่งอยู่มหาวิทยาลัยปีท้ายๆ แล้ว ความสงสัยในเรื่องนี้จึงได้คลายไป             ทำไมจึงสงสัยกัน เพราะที่เราสงสัยคือ เรื่องที่พระองค์ทรงประสูติแล้ว ทรงดำเนินไปได้ ถ้าเปรียบกับทางโลก ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่เกินปัญญาของเราจะตรองตามทัน  ไม่ได้หมายความว่าตรองไม่ได้ ตรองได้ แต่ว่าเราจะต้องมีพื้นฐานทางด้านความรู้  ทางด้านจิตใจของเราสูงพอ  แล้วเราก็จะตรองตามทันได้              เหมือนคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ชั้นสูง ถ้าเอาวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งอยู่ในระดับสูงๆ แล้วส่งให้เด็กชั้นประถม เด็กชั้นมัธยมไปคิดเขา ก็จะคิดไม่ได้ เพราะว่าพื้นฐานของเขาไม่พอ เรื่องที่ถามนี้มันอยู่ในลักษณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเรียกว่า อจินไตย ซึ่งแปลว่า เป็นวิสัย เหนือวิสัยที่พวกเราทั่วๆ ไปจะตรองตามทันได้ เรื่องที่จัดว่าเป็นอจินไตยหรือว่าคนทั่วไปยากแก่การตรองตามนั้น มีอยู่ ๔ เรื่อง              ๑.  พุทธวิสัย หมายถึง เรื่องที่กำลังพูดกันอยู่นี้             ๒. ฌานวิสัย  คือ วิสัยของผู้ที่ได้สมาธิ(Meditation)ชั้นสูง จิตใจเขาผ่องใส แน่วแน่ มั่นคงกว่าคนทั่วไป ผ่องใสแน่วแน่มั่นคง จนกระทั่งเกิดอานุภาพพิเศษๆ ขึ้นมา เช่น สามารถระลึกชาติได้อย่างนี้ มันเกินกว่าที่เราจะตรองตามทัน              ๓. เรื่องวิบาก หรือว่าผลแห่งกรรม พอทราบว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่เนื่องจากเรื่องของกรรมเป็นเรื่องลึกซึ้ง มีความสลับซับซ้อนมาก เราได้แต่หลักใหญ่ๆ แต่เจาะลึกในเรื่องผลแห่งกรรม ที่มันเกิดต่อตัวเรา โดยรายละเอียดเราทำไม่ได้ เว้นแต่เราจะฝึกตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งให้ทาน …

เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อแรกประสูติ ทรงดำเนินไปได้ ๗ ก้าวนั้น เป็นไปได้จริงหรือไม่ Read More »

การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ ที่ยอมสละชีวิตเป็นเดิมพันนั้น ต่างจากการฆ่าตัวตายอย่างไร

คำถาม:  หลวงพ่อเจ้าคะ มีคนสงสัยว่า การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ ที่ยอมสละชีวิตเป็นเดิมพันนั้น ต่างจากการฆ่าตัวตายอย่างไรคะ ? คำตอบ:  ต่างกันอย่างยิ่งเลย การสร้างบารมีต่างกันอย่างยิ่งกับการฆ่าตัวตาย ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจคำว่าสร้างบารมีก่อน คำว่าบารมีมีความหมายอยู่ ๒ อย่าง              อย่างที่ ๑. บารมีคือบุญ เวลาเราทำความดีต่างๆ ก็เกิดบุญ บุญนี้เมื่อเกิดแล้วก็เก็บอยู่ในใจ เหมือนไฟฟ้า เมื่อเกิดแล้วเราก็เก็บชาร์จเอาไว้ในแบตเตอรี่ได้ นอกจากเก็บ เอาไว้ในใจแล้ว บุญยังสามารถกลั่นใจให้ใสเป็นแก้ว ใสเป็นเพชรได้อีกด้วย             บุญที่เกิดขึ้นนั้น ก็มีคุณภาพต่างๆ กัน ถ้าตั้งใจทำบุญแบบธรรมดาๆ ก็ได้ บุญคุณภาพอย่างหนึ่ง แต่ถ้าตั้งใจทำบุญประเภทเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำบุญ ก็ได้บุญที่มีคุณภาพพิเศษขึ้นมาอีก บุญที่มีคุณภาพพิเศษๆ อันเกิดจากเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการ ทำอันนี้ ท่านเรียกว่าสร้างบารมี เรียกว่าบารมีก็ได้              อย่างที่ ๒. หมายถึงนิสัยดีๆ ของเรา เช่น เมื่อเราทำความดีโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันเป็นประจำครั้งแล้วครั้งเล่า ชาติแล้วชาติเล่า ในที่สุดก็เกิดเป็นนิสัยดีๆของเราขึ้นมา คือนิสัยชอบเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการสร้างบุญสร้างความดี สรุปสั้นๆ การสร้างบารมีนั้นมี ๒ อย่างคือ              ๑.   สร้างบุญที่มีคุณภาพชั้นเยี่ยมให้เกิดขึ้นในใจ               ๒.  เป็นการสร้างนิสัยดีๆ ขึ้นมา               ถ้าคนไหนสร้างบารมีอย่างที่ว่ามานี้ ใจของเขาที่ผ่องใสเป็นปกติแล้ว ฉลาดอย่างที่ว่านี้ ยังมีสติสัมปชัญญะควบคุมเอาไว้อย่างดีอีกด้วย จึงไม่เผลอไปคิด พูด ทำ ในสิ่งไม่ดี นี้เป็นหลักของการสร้างบารมี               ถ้าเจาะลึกลงไปอีก ถามว่าทำไมคนเราจึงต้องมาสร้างบารมีอีก พระอรหันต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องทรงสร้างบารมีทั้งนั้นเลย สร้างไปทำไม? บารมีนี่ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน สร้างบุญสร้างความดีกันนี่ สร้างทำไม ย่อๆ สั้นๆ ในใจของคนเรานั้น ตั้งแต่วันที่เกิดมาแล้ว มันมีสิ่งไม่ดีอยู่ในใจ …

การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ ที่ยอมสละชีวิตเป็นเดิมพันนั้น ต่างจากการฆ่าตัวตายอย่างไร Read More »