หลวงพ่อทัตตชีโว

เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อแรกประสูติ ทรงดำเนินไปได้ ๗ ก้าวนั้น เป็นไปได้จริงหรือไม่

คำถาม: กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ ปัจจุบันนี้หลายคนสงสัยว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อแรกประสูติ ทรงดำเนินไปได้ ๗ ก้าวนั้น เป็นไปได้จริงหรือคะ?เราจะอธิบายให้เขาเชื่อได้อย่างไรคะ?  คำตอบ:  เรื่อง พอประสูติแล้วเจ้าชายสิทธัตถะเดินได้ ๗ ก้าวนี่ อย่าว่าแต่คุณโยมเลย หรือเด็กในยุคนี้ เมื่ออาตมาเป็นเด็ก อาตมาก็สงสัยเหมือนกัน แล้วก็สงสัยอยู่นานด้วย สงสัยจนกระทั่งอยู่มหาวิทยาลัยปีท้ายๆ แล้ว ความสงสัยในเรื่องนี้จึงได้คลายไป             ทำไมจึงสงสัยกัน เพราะที่เราสงสัยคือ เรื่องที่พระองค์ทรงประสูติแล้ว ทรงดำเนินไปได้ ถ้าเปรียบกับทางโลก ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่เกินปัญญาของเราจะตรองตามทัน  ไม่ได้หมายความว่าตรองไม่ได้ ตรองได้ แต่ว่าเราจะต้องมีพื้นฐานทางด้านความรู้  ทางด้านจิตใจของเราสูงพอ  แล้วเราก็จะตรองตามทันได้              เหมือนคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ชั้นสูง ถ้าเอาวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งอยู่ในระดับสูงๆ แล้วส่งให้เด็กชั้นประถม เด็กชั้นมัธยมไปคิดเขา ก็จะคิดไม่ได้ เพราะว่าพื้นฐานของเขาไม่พอ เรื่องที่ถามนี้มันอยู่ในลักษณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเรียกว่า อจินไตย ซึ่งแปลว่า เป็นวิสัย เหนือวิสัยที่พวกเราทั่วๆ ไปจะตรองตามทันได้ เรื่องที่จัดว่าเป็นอจินไตยหรือว่าคนทั่วไปยากแก่การตรองตามนั้น มีอยู่ ๔ เรื่อง              ๑.  พุทธวิสัย หมายถึง เรื่องที่กำลังพูดกันอยู่นี้             ๒. ฌานวิสัย  คือ วิสัยของผู้ที่ได้สมาธิ(Meditation)ชั้นสูง จิตใจเขาผ่องใส แน่วแน่ มั่นคงกว่าคนทั่วไป ผ่องใสแน่วแน่มั่นคง จนกระทั่งเกิดอานุภาพพิเศษๆ ขึ้นมา เช่น สามารถระลึกชาติได้อย่างนี้ มันเกินกว่าที่เราจะตรองตามทัน              ๓. เรื่องวิบาก หรือว่าผลแห่งกรรม พอทราบว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่เนื่องจากเรื่องของกรรมเป็นเรื่องลึกซึ้ง มีความสลับซับซ้อนมาก เราได้แต่หลักใหญ่ๆ แต่เจาะลึกในเรื่องผลแห่งกรรม ที่มันเกิดต่อตัวเรา โดยรายละเอียดเราทำไม่ได้ เว้นแต่เราจะฝึกตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งให้ทาน …

เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อแรกประสูติ ทรงดำเนินไปได้ ๗ ก้าวนั้น เป็นไปได้จริงหรือไม่ Read More »

การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ ที่ยอมสละชีวิตเป็นเดิมพันนั้น ต่างจากการฆ่าตัวตายอย่างไร

คำถาม:  หลวงพ่อเจ้าคะ มีคนสงสัยว่า การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ ที่ยอมสละชีวิตเป็นเดิมพันนั้น ต่างจากการฆ่าตัวตายอย่างไรคะ ? คำตอบ:  ต่างกันอย่างยิ่งเลย การสร้างบารมีต่างกันอย่างยิ่งกับการฆ่าตัวตาย ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจคำว่าสร้างบารมีก่อน คำว่าบารมีมีความหมายอยู่ ๒ อย่าง              อย่างที่ ๑. บารมีคือบุญ เวลาเราทำความดีต่างๆ ก็เกิดบุญ บุญนี้เมื่อเกิดแล้วก็เก็บอยู่ในใจ เหมือนไฟฟ้า เมื่อเกิดแล้วเราก็เก็บชาร์จเอาไว้ในแบตเตอรี่ได้ นอกจากเก็บ เอาไว้ในใจแล้ว บุญยังสามารถกลั่นใจให้ใสเป็นแก้ว ใสเป็นเพชรได้อีกด้วย             บุญที่เกิดขึ้นนั้น ก็มีคุณภาพต่างๆ กัน ถ้าตั้งใจทำบุญแบบธรรมดาๆ ก็ได้ บุญคุณภาพอย่างหนึ่ง แต่ถ้าตั้งใจทำบุญประเภทเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำบุญ ก็ได้บุญที่มีคุณภาพพิเศษขึ้นมาอีก บุญที่มีคุณภาพพิเศษๆ อันเกิดจากเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการ ทำอันนี้ ท่านเรียกว่าสร้างบารมี เรียกว่าบารมีก็ได้              อย่างที่ ๒. หมายถึงนิสัยดีๆ ของเรา เช่น เมื่อเราทำความดีโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันเป็นประจำครั้งแล้วครั้งเล่า ชาติแล้วชาติเล่า ในที่สุดก็เกิดเป็นนิสัยดีๆของเราขึ้นมา คือนิสัยชอบเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการสร้างบุญสร้างความดี สรุปสั้นๆ การสร้างบารมีนั้นมี ๒ อย่างคือ              ๑.   สร้างบุญที่มีคุณภาพชั้นเยี่ยมให้เกิดขึ้นในใจ               ๒.  เป็นการสร้างนิสัยดีๆ ขึ้นมา               ถ้าคนไหนสร้างบารมีอย่างที่ว่ามานี้ ใจของเขาที่ผ่องใสเป็นปกติแล้ว ฉลาดอย่างที่ว่านี้ ยังมีสติสัมปชัญญะควบคุมเอาไว้อย่างดีอีกด้วย จึงไม่เผลอไปคิด พูด ทำ ในสิ่งไม่ดี นี้เป็นหลักของการสร้างบารมี               ถ้าเจาะลึกลงไปอีก ถามว่าทำไมคนเราจึงต้องมาสร้างบารมีอีก พระอรหันต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องทรงสร้างบารมีทั้งนั้นเลย สร้างไปทำไม? บารมีนี่ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน สร้างบุญสร้างความดีกันนี่ สร้างทำไม ย่อๆ สั้นๆ ในใจของคนเรานั้น ตั้งแต่วันที่เกิดมาแล้ว มันมีสิ่งไม่ดีอยู่ในใจ …

การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ ที่ยอมสละชีวิตเป็นเดิมพันนั้น ต่างจากการฆ่าตัวตายอย่างไร Read More »

ทำไมคนชอบทำผิดทั้งๆที่รู้

คำถาม:           หลวงพ่อเจ้าคะ ลูกอยากกราบเรียนถามหลวงพ่อเจ้าค่ะ ทำไมคนเราถึงชอบทำความผิด ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าสิ่งนั้นไม่ดี และจะแก้ไขได้อย่างไรบ้างคะ คำตอบ:     ทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งนั้นผิด  อะไรๆ ไม่ดีก็รู้หมด แต่อดไม่ได้ที่จะไปทำมันอีก ปัญหานี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดกับเรา  มันเกิดมาพร้อมกับโลกใบนี้เกิด เพราะใจมนุษย์คุ้นกับกิเลส  เหมือนปลาคุ้นน้ำ  ลองจับปลาเป็นๆ โยนขึ้นมาบนบก แล้วจะเห็นว่า  มันอยู่เฉยๆ หรือมันดิ้น จะเห็นว่ามันพยายามดิ้นจะกลับลงน้ำ  ซึ่งความจริงในน้ำน่าจะหายใจไม่ออก น่าจะสำลัก อยู่บนบกน่าจะหายใจคล่อง มันไม่ใช่  เพราะมันเป็นปลา มันคุ้นกับน้ำ มากกว่าคุ้นกับอากาศ มันก็เลยดิ้นจะกลับลงน้ำต่อไป                  ใจเราคุ้นอยู่กับกิเลส เมื่อเราอยู่ในท้องแม่  กิเลสก็ฝังอยู่ในใจ ติดตัวข้ามภพข้ามชาติมาแล้ว  เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เลยบีบคั้นใจเรามาตั้งแต่เกิด  บีบคั้นมาข้ามชาติยังไม่พอ  ชาตินี้บีบต่ออีก ให้เราคุ้นกับความไม่ดี เหตุนี้เองแม้รู้ว่าอะไรที่เป็นความดี  ยังไม่ค่อยอยากทำเลย  กลับย้อนไปทำความไม่ดีเสียอีก ใจคุ้นกับกิเลสเหมือนปลาคุ้นน้ำ                    เพราะฉะนั้นในการแก้ไขตัวเองจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  เรามีความจำเป็นที่จะยึดหลักง่ายๆ ในการแก้ไขตัวเองก็คือ  นอกจากเราจะศึกษาให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว สิ่งที่ต้องทำเพิ่มนั้น มีอะไรบ้าง                  ๑.  หาคนที่เขามีกำลังใจในการประกอบคุณงามความดี หรือคนที่เขาเคยไม่เข้าท่าเหมือนเรามาก่อน  …

ทำไมคนชอบทำผิดทั้งๆที่รู้ Read More »

ถ้ามีญาติหรือเพื่อนมาขอยืมเงินจะทำอย่างไรดี

คำถาม :    ถ้ามีญาติหรือมีเพื่อนมาขอยืมเงินเราควรจะวางตัวอย่างไรดี เพราะถ้าไม่มีให้ก็จะเสียน้ำใจ  ถ้าให้บ่อยๆ เราก็เดือดร้อน  วันนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเราจะมาตอบคำถามนี้ให้เรารับทราบกันค่ะ   คำตอบ:    การที่ใครจะมีเพื่อน มีญาติ สิ่งที่ต้องจำไว้ก็คือเราต้องเป็นที่พึ่งให้แก่เขาได้เมื่อถึงคราวจำเป็น  ถ้าถึงคราวจำเป็น ใครพึ่งก็ไม่ได้  แล้วใครเขาจะอยากมาเป็นเพื่อน เป็นญาติกับเรา นี่ประการหนึ่ง                  อีกประการหนึ่ง เราก็ต้องรู้ไว้ว่าแม้คราวตัวเองก็เหมือนกัน บางครั้งอาจตกเข้าที่คับขัน สิ่งที่เราเตรียมไว้ มีไว้อย่างมหาศาล  บางทีก็ถึงคราวขาดแคลนได้  เข้าทำนองถึงเวลาราชสีห์ก็ต้องพึ่งหนูเหมือนกัน  ตรงนี้ก็ต้องทำความเข้าใจกันเอาไว้               เพราะฉะนั้นเมื่อถึงคราวญาติ หรือเพื่อน ขอความช่วยเหลือ วิสัยของคนดี คนที่หวังความก้าวหน้าจะต้องเตรียมพร้อมตรงนี้เอาไว้ตลอดเวลา  ว่าพรรคพวกเพื่อนฝูงญาติสนิทมิตรสหายบ่ายหน้ามาแล้ว มาขอความช่วยเหลือแล้ว ต้องไม่ยอมให้กลับมือเปล่า จำคำนี้ไว้ก่อน  ส่วนว่าจะช่วยกันได้มากน้อยแค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง อย่างไม่ได้จริงๆ   ก็ต้องมีค่ารถกลับบ้านได้ ไม่อย่างนั้นมาแล้ว เสียเวลาแล้ว หวังจะได้รับความช่วยเหลือบ้าง กลับไม่ได้อะไรเลย มันก็กระไรอยู่                  อย่างไรก็ตาม การที่จะให้ความช่วยเหลือใคร มากน้อยแค่ไหน อย่างไร  มีหลักพิจารณาอย่างนี้               ๑.  ดูความพร้อม ความรู้ ความสามารถ ดูกำลังของเราว่ามีกำลังจะให้เขาพึ่งได้เท่าไหร่ ตรงนี้ดูก่อน จะช่วยใครก็ได้ …

ถ้ามีญาติหรือเพื่อนมาขอยืมเงินจะทำอย่างไรดี Read More »

ทำไมคนโบราณถึงบอกว่า คนที่มีความกตัญญูกตเวที ชีวิตของเขาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง

คำถาม: กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ  ลูกขอเรียนถามท่าน คนโบราณบอกไว้ว่าคนที่มีความกตัญญูกตเวที  ชีวิตของเขาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง  ลูกอยากทราบว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นคะ  คำตอบ: เจริญพร คนที่มีความกตัญญูกตเวทีก็คือคนที่รู้คุณ แล้วก็รักที่จะประกาศคุณ  ซึ่งเคยได้รับมาจากผู้อื่น  พูดอีกทีหนึ่ง  คนที่มีความกตัญญูกตเวที  เขาเป็นคนโชคดีตั้งแต่เริ่มต้น  โชคดีตรงไหน  โชคดีตรงที่เขาเกิดมา  เขาก็ได้เจอคนดี คนมีน้ำใจ  เพราะเขาเคยได้รับน้ำใจมาจากคนดี          บางคนตลอดชีวิตไม่เคยมีใครหยิบยื่นพระคุณมาให้กับเขาเลย  ไม่ว่าเขาจะตกทุกข์ได้ยากอย่างไร  ไม่เคยมีใครหยิบยื่นมาโอบอุ้ม มาช่วยเหลือ มาหอบหิ้วเขาเลย  เมื่อเป็นเช่นนั้น  เขามีความรู้สึกอย่างไร?  เขาจะรู้สึกว่าโลกทั้งโลกมีแต่ความแห้งแล้ง  มีแต่คนใจแคบ  มีแต่ตัวใครตัวมัน  แต่ว่าเขาเป็นคนโชคดี เขาได้เจอคนดี ที่พร้อมจะหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้  แล้วเขาก็ได้รับด้วยตัวของเขาเอง          ถ้าคนๆ นี้เขาได้คิดอย่างที่ว่านี้  เพราะว่าเขาได้รับความมีน้ำใจมาแล้ว  เมื่อเขาได้รับความมีน้ำใจมาแล้ว  เขาก็รู้คุณค่าของความมีน้ำใจนั้นด้วย  นั่นแหละเขาเรียกว่าคนมีความกตัญญู  คือคนรู้คุณ  ที่เขาเคยทำให้กับตัวเอง         แต่ถ้าคนไหน ทั้งๆ ที่เขายื่นมือมาช่วยเหลือ  ทำให้ตัวพ้นทุกข์พ้นยาก  แล้วก็ยังนึกถึงคุณเขาไม่ออก  ฟ้องว่าอะไร?  ฟ้องว่าคนนี้ใจบอดเสียแล้ว  ตาของเขาอาจจะยังดีอยู่  แต่ใจของเขามันบอด  บอดตรงที่มองความดีของคนอื่นไม่เห็น  ทั้งๆ …

ทำไมคนโบราณถึงบอกว่า คนที่มีความกตัญญูกตเวที ชีวิตของเขาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง Read More »

การที่เราซื้อไข่เป็ด ไข่ไก่ตามตลาดมาทำอาหาร ถือว่าเป็นการทำปาณาติบาตหรือไม่

คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ กราบเรียนถามต่อว่าการที่เราซื้อไข่เป็ด ไข่ไก่ตามตลาดมาทำอาหาร ถือว่าเป็นการทำปาณาติบาตหรือไม่เจ้าคะ คำตอบ: อาหารประเภทไข่เป็ดไข่ไก่นี้ เป็นอาหารยอดนิยมของคนไทยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ระวังกันหน่อยก็จะดี คือไข่ที่มันมีอยู่ในท้องตลาดในยุคปัจจุบันนี้ ค่อนข้างจะเป็นไข่สดๆ คือไม่ได้เก็บทิ้งกันไว้นาน เพราะว่ามีการเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่กันเป็นอาชีพ ไม่ใช่ไปเก็บเอาไข่ไก่ไข่เป็ดที่มันทิ้งๆ ขว้างๆ อยู่ในป่ามา             ไข่เป็ดไข่ไก่ที่มีอยู่ในท้องตลาดปัจจุบันนี้ ส่วนมากแล้วเป็นไข่เป็ดไข่ไก่ที่ไม่มีเชื้อตัวผู้อยู่ด้วย เพราะว่าเขาแยกกันออกไปเลย เขาแยกพ่อพันธุ์ไก่ พ่อพันธุ์เป็ดออกไป ไม่เอามาเลี้ยงปนกัน เพราะฉะนั้นไข่ประเภทนี้ถึงจะเอาไปฟัก เอาไปทำอะไร มันไม่มีทางที่จะมีชีวิต ไม่มีทางที่จะเป็นตัวขึ้นมาได้เลย ไข่ประเภทนี้จะกินไปกี่ร้อยกี่พันฟองก็ไม่บาปหรอก แต่ระวังไฮคอเรสเตอรอลนะ ถ้ากินมากไป  คอเรสเตอรอลสูงจะมีผลต่อสุขภาพ             ไข่ประเภทที่ ๒ เป็นไข่ที่เขาก็เอาไปผสมแล้ว คือมีตัวผู้พ่อพันธุ์มาผสมด้วย ซึ่งถ้าไข่ประเภทนี้ถ้าเขายังไม่ได้นำไปฟัก ชีวิตก็ยังไม่เกิดอีกเหมือนกัน  เพราะว่าชีวิตจะเกิดต่อเมื่อฟักแล้ว มันเริ่มจะเป็นตัวขึ้นมา ที่ใช้คำว่าเป็นตัว มันเริ่มตั้งแต่ตอนเวลามันฟักไข่ใหม่ๆสักวัน ๒ วัน เราก็เอาไข่ของมันไปส่องไฟฉายเลยก็ได้ จะพบว่ามันยังใสอยู่ ไม่มีอะไร              แต่พอเข้าวันที่ ๕ วันที่ ๗ มันจะเริ่มมีจุดแล้ว มีสายเลือดด้วย นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการมีชีวิต มันต้องใช้อากาศหายใจ หรือว่ามันเริ่มจะมีปราณแล้ว มีลมหายใจ แล้วจากนั้นมันก็เริ่มก่อตัว โตขึ้นๆ จากเป็นจุดกลายเป็นก้อน จากเป็นก้อนก็กลายเป็นตัว จากเป็นตัวก็มีขน มีอะไรต่ออะไรเกิดขึ้นมา พอครบเดือนมันก็เจาะเปลือกไข่ออกมาเป็นตัว             ถ้าไข่นั้นมันเริ่มเป็นจุด มีเส้นเลือดขึ้นมาแล้ว แสดงว่ามันเริ่มมีชีวิต มันเริ่มมีปราณ ถ้าใครเอาไข่ที่มาถึงตรงนี้ไปกินแล้ว นั่นคือฆ่าสัตว์ ตรงนั้นมีบาป แต่ว่าไข่ที่ยังไม่ได้เอาไปฟัก ถึงแม้มันจะผสมกัน แต่มันไม่ได้ฟัก มันไม่มีตัวขึ้นมา เพราะฉะนั้นถึงจะกินเข้าไป มันก็ไม่มีบาปอะไร             ตรงนี้อย่าไปปนกันกับ ไข่จิ้งจก ไข่ตุ๊กแกนะ มันไม่ต้องฟัก หรืองู …

การที่เราซื้อไข่เป็ด ไข่ไก่ตามตลาดมาทำอาหาร ถือว่าเป็นการทำปาณาติบาตหรือไม่ Read More »

ความกตัญญูทำให้เกิดปัญญา ได้อย่างไร

คำถาม: หลวงพ่อเจ้าค่ะ  หลวงพ่อเคยเทศน์ไว้ว่า   ความกตัญญูทำให้เกิดปัญญา  อยากถามว่าความกตัญญูจะทำให้เกิดปัญญาได้อย่างไรคะ? คำตอบ: เจริญพร  “ความกตัญญู” เป็นต้นเหตุสำคัญที่จะทำให้คนเกิดปัญญา  ซึ่งในที่นี้จะยกตัวอย่างขั้นต้น   พระสารีบุตร ได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปรียบเสมือนแขนขวาของพระองค์  เลิศด้วยปัญญา   ตลอดชีวิตของพระสารีบุตร  ท่านมีแต่ความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์ของท่านเป็นอย่างยิ่ง          เรื่องได้เคยบันทึกเอาไว้ในพระไตรปิฎก  ก่อนที่ท่านจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ท่านเคยมีครูอยู่ในศาสนาอื่น  ต่อมาท่านก็พบว่าคำสอนในลัทธิ ศาสนานั้นช่วยให้พ้นทุกข์ไม่ได้ ท่านก็ลาอาจารย์เที่ยวแสวงหาอาจารย์ใหม่จนกระทั่งมาเจอพระอรหันต์รูปหนึ่ง  พระอรหันต์รูปนั้นสอนพระสารีบุตรสั้นๆ แล้วก็ได้  บรรลุธรรมขั้นต้นเป็นพระโสดาบัน          พอบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันขั้นต้นแล้ว   ท่านก็รีบไปหาอาจารย์เก่าของท่าน  พยายามไปชักชวนให้อาจารย์เก่าของท่าน ไปหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้พ้นทุกข์ตามมา  แต่ว่าไปด้วยอำนาจแห่งความกตัญญูกตเวทีของท่าน  แต่น่าเสียดายครูเก่าของท่านไม่ยอมไป  ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่า  พระสารีบุตรท่านทำดีที่สุดแล้ว         จากนั้นมาเมื่อท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว  ทุกคืนก่อนที่ท่านจะจำวัด ท่านจะต้องนั่งเข้าที่ทำสมาธิตรวจดูก่อนว่าอาจารย์ของท่านที่เป็นพระอรหันต์  ไปประกาศศาสนาอยู่ทางทิศไหน  ไปโปรดชาวโลกอยู่ทางทิศไหน  เมื่อพบแล้ว  ท่านก็หันศีรษะไปทางนั้นก่อนนอน  กราบเสร็จก็หันศีรษะไปทางครู  คือถ้ายังทำอะไรอยู่  อย่างน้อยก็เอาอวัยวะส่วนที่สูงที่สุดในร่างกายคือศีรษะหันไปบูชาครู  นี่คือจิตใจของท่าน         ส่วนอะไรที่ทำให้กับครูบาอาจารย์ท่านได้  ท่านทำเต็มที่  ถ้าวันนั้นทำไม่ได้  อย่างน้อยหันศีรษะไปบูชาครูก่อนนอนก็ยังดี  นี่คือจิตใจของท่าน และตรงนี้เองที่เป็นนิสัยติดตัวของท่านมาข้ามภพข้ามชาติ …

ความกตัญญูทำให้เกิดปัญญา ได้อย่างไร Read More »

แพทย์โกหกเพื่อให้คนไข้สบายใจ เป็นบาปหรือไม่

คำถาม: หลวงพ่อครับ คนส่วนใหญ่คิดว่า การโกหกเพื่อให้คนสบายใจ เช่น แพทย์ปิดบังความจริงกับคนป่วยหนัก เพื่อให้เขาสบายใจ การโกหกอย่างนี้ไม่น่าจะเป็นบาป เราจะอธิบายให้เขาเข้าใจถูกต้อง ได้อย่างไรครับ  คำตอบ:  ครั้งใดที่เราโกหก ครั้งนั้นฟ้องว่า ความกล้าในการเผชิญต่อความจริงของเราได้สูญเสียไป โกหกแต่ละครั้ง ก็ทำให้ความกล้าในการเผชิญกับความจริงลดไปทุกครั้ง ในที่สุดคนอื่นจะเสียหายหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือกำลังใจของเราถดถอยลงไปทุกวัน ตรงนี้ที่บาปมันเกิดแล้ว ส่วนคนฟังจะเป็นอย่างไร ก็อีกเรื่องหนึ่ง เอาตัวให้รอดก่อนช่วยคนไข้ แต่เราอาการปางตายเข้าไปทุกวัน หลวงพ่อว่าไม่คุ้มหรอก             ครั้งใดที่เราจะโกหกนอกจาก จะทำให้กำลังใจในการเผชิญกับความจริงหมดไปยังไม่พอ เวลาเราจะพูดอะไรเราต้องคิดก่อนทั้งนั้น ทันทีที่เราคิดตามความเป็นจริง ภาพมันก็จะปรากฏขึ้นในใจเราชัดเจนเหมือนในจอทีวี ถ้าเราโกหกเมื่อไหร่ เราจะต้องล้มภาพนั้นทิ้ง โกหกแต่ละครั้งก็เท่ากับล้มภาพนั้นทิ้งแต่ละครั้งเหมือนกัน เวลาเราดูทีวีบางครั้งเครื่องมันรวน ภาพในจอทีวีพอขึ้นมาแล้วก็ล้ม ทีวีประเภทนี้ถ้าไม่รีบซ่อมก็รีบเอาไปโยนทิ้งนะ              เราก็เหมือนกันถ้าโกหกไปเรื่อยๆ ก็คือหลอกตัวเองหรือล้มภาพทางใจที่ดีงาม ชัดเจนทิ้ง ต่อไปเวลาคิดอะไรภาพมันเริ่มไม่ชัด หรือภาพที่คิดแล้วชัดแล้ว แต่ตัวเองเกิดความไม่มั่นใจขึ้นมา เนื่องจากล้มทิ้งเสียจนเคย ตรงนี้อันตราย เพราะนอกจากล้มทิ้งแล้ว เราไปตั้งภาพหลอกขึ้นมาซ้อนอีกภาพหนึ่ง ทำให้ภาพที่เกิดขึ้นเป็นทั้งภาพจริงและภาพหลอก มันจะซ้อนถูกบันทึกกันไว้ในใจ เมื่อบันทึกไว้ในใจ พอเราพูดก็ตอกย้ำลงไปอีก พูดเท็จก็ตอกย้ำภาพเท็จ ย้ำลงไปเรื่อยๆ             คุณภาพใจของคนที่พูดเท็จนั้นเสียหมดเลย เพราะเหตุที่คุณภาพทางใจของคนพูดเท็จมันเสียไปเรื่อยๆนี่แหละ ทุกครั้งที่พูดเท็จเราจึงพบว่า คนที่โกหกเก่งๆ พูดเท็จเก่งๆ คนพวกนี้นั้นบั้นปลายชีวิต มักจะเป็นคนหลงทั้งนั้น นบางคนอายุแค่ ๕๐, ๖๐ ก็เริ่มหลง แต่บางคนอายุ ๙๐ ไม่หลงเลย เรื่องเมื่อท่านเป็นเด็กๆท่านยังจำได้ เล่าให้เราฟังได้แม้ท่านอายุ ๙๐ แล้ว แต่บางคนอายุแค่ ๖๐ เท่านั้น เรื่องเมื่อวานก็จำไม่ได้เแล้ว อาการอย่างนี้เขาไม่เรียกว่าลืม เขาเรียกว่าหลง เพราะโกหกมาตลอดชีวิต เป็นนักโกหกนั่นเอง             เพราะฉะนั้นถ้าเราจะรักษาคุณภาพของใจ             ๑.  ไม่ให้หลงๆ ลืมๆ             ๒.  ไม่ให้กลายเป็นคนขี้ขลาด อย่าโกหกนะ             …

แพทย์โกหกเพื่อให้คนไข้สบายใจ เป็นบาปหรือไม่ Read More »

จะสอนให้ลูกหลานมีความกตัญญูได้อย่างไร

คำถาม: หลวงพ่อเจ้าขา  สังคมปัจจุบันนี้เกิดปัญหาลูกขาดความกตัญญูต่อพ่อแม่มากขึ้น   หลวงพ่อจะมีวิธีสอนให้ลูกหลานของเราเป็นคนดี  มีความกตัญญูได้อย่างไรบ้างคะ? คำตอบ:     การที่ลูกหลานยุคนี้ไม่ค่อยจะมีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ ปู่ย่าตาทวดของตัวเอง   ถ้าจะว่าไปแล้ว ประเด็นใหญ่ๆ ยังมี ๒ ประเด็นก็คือ         ๑.  เขานึกถึงคุณของพ่อแม่ไม่ออก  และ         ๒.  แม้นึกออก  แต่ว่าไม่รู้วิธีที่เหมาะสมที่จะไปตอบแทนพระคุณพ่อแม่ พ่อแม่มีพระคุณต่อลูก เรื่องหลักๆ ๓ เรื่องด้วยกัน         ๑.  ให้ชีวิต  เมื่อท่านรู้ตัวว่าเราอยู่ในครรภ์ท่าน  ถ้าท่านไม่คิดจะเอาเราไว้แล้ว   มีวิธีทำให้ตายมากมาย  แล้วเขาก็ทำกันมาเยอะแล้ว ไม่ต้องอธิบาย  แต่คุณพ่อคุณแม่เรา ให้เรามีชีวิตอยู่มาถึงขนาดลืมตาดูโลกได้  พระคุณข้อที่ ๑. คือเปิดโอกาสให้เรามีชีวิตมาลืมตาดูโลกนี้         ๒.   ท่านให้ต้นแบบร่างกายที่เป็นคน   ซึ่งเหมาะในการที่จะประกอบ คุณงามความดีทั้งหลาย  ต่างกว่ารูปร่างที่เป็นสัตว์โลกชนิดอื่น          ๓.  เมื่อคลอดแล้ว ท่านก็ไม่ได้ดูดาย  คอยสอนจิตใจที่เป็นมนุษย์ให้  ให้เรารู้ดี รู้ชั่ว รู้ผิด รู้ถูก รู้บุญ รู้บาป   …

จะสอนให้ลูกหลานมีความกตัญญูได้อย่างไร Read More »

ดื่มเหล้าเข้าสังคมหรือดื่มไวน์เพื่อสุขภาพ ผิดศีลข้อ 5 หรือไม่

คำถาม :  กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ อยากเรียนถามว่าบางคนคิดว่าการดื่มเหล้าเพื่อเข้าสังคมนิดๆ หน่อยๆ หรือการดื่มไวน์เพื่อสุขภาพ ไม่ได้ดื่มจนมึนเมา ก็ไม่น่าที่จะผิดศีลข้อ ๕ ใช่หรือไม่เจ้าคะ คำตอบ :  การดื่มเหล้า ดื่มไวน์ จะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม บาปทั้งนั้น มันเสียหายกับตัวเองทั้งนั้น โบราณท่านเคยเตือนเอาไว้ ไฟแม้เล็กน้อย แค่ก้นบุหรี่ก้นเดียวก็เผาเมืองได้ ยาพิษแม้เล็กน้อยอาจตายได้ อุจจาระไม่ว่าน้อยใหญ่เหม็นทั้งนั้นเหล้าก็เหมือนกัน ไม่ว่ามากหรือน้อย มันได้เพาะเชื้อวิบัติเข้าไปไว้ในตัว เหมือนอย่างกับเชื้อโรค ไม่ว่ามาก ไม่ว่าน้อย มันก็พร้อมจะบ่อนทำลายสุขภาพ พร้อมที่จะทำลายชีวิตเรา ถ้ากำลังมันยังหย่อนอยู่ ก็กลายเป็นเพาะเชื้อร้ายเอาไว้ในตัวถ้าเป็นยาพิษ จะมากจะน้อยเพาะเอาไว้ ฝังเอาไว้ในตัวเราเตรียมที่จะขยายพิษกันต่อไปในภายภาคหน้า             ฉะนั้นอย่าไปดูถูกมัน เหล้าไวน์แม้ดื่มเพียงเล็กน้อย เชื้อวิบัติก็เข้าไปในตัวแล้ว มันวิบัติอย่างไร มาดูกันในเรื่องของความสมบูรณ์แห่งความเป็นคนน่ะ มันอยู่ตรงไหน มันอยู่ตรง ๒ เหตุใหญ่ ๆ             เหตุที่ ๑. คือ ความมีสติ อะไรก็ตาม ตัดรอนสติเราแม้แต่นิดเดียวใช้ไม่ได้ เพราะความสมบูรณ์แห่งความเป็นคน อยู่ที่สติ คือความรู้ตัวของเรา ความระลึกได้ อยู่ตรงนี้ ขนาดไม่ได้กินเหล้าหรือไวน์ โอกาสที่เราจะเผลอตัวยังมี แล้วทำอะไรผิดพลาดก็มี ถ้าไปเติมเหล้า เติมไวน์จะมากหรือน้อย ก็บ่อนทำลายสติลงไป ตามส่วนที่เรากินนั่นแหละ เพราะฉะนั้นกำลังหาวิบัติเข้าตัว นี่เป็นประการที่ ๑.             …

ดื่มเหล้าเข้าสังคมหรือดื่มไวน์เพื่อสุขภาพ ผิดศีลข้อ 5 หรือไม่ Read More »

ทำไมต้องสร้างเครือข่ายคนดี มีความสำคัญอย่างไร

คำถาม: กระผมขอกราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกว่าให้ช่วยกันสร้างเครือข่ายคนดี อยากให้พระเดชพระคุณหลวงพ่ออธิบายว่ามันสำคัญอย่างไร ทำไมถึงต้องสร้างด้วยครับ คำตอบ: ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนนะว่า คำว่าเครือข่ายคนดีนี้ มาจากคำว่า กัลยาณมิตตา คือ การคบคนดีเป็นเพื่อนคบคนดีเป็นมิตร โดยตัวเนื้อหาสาระแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสอนเอาไว้ว่า ในการที่เราจะประกอบอาชีพใดๆก็ตาม ถึงแม้เราจะมีความสามารถในการทำการค้าการขาย ในการประกอบธุรกิจต่างๆ จะเก่งอย่างไรก็ตาม เรามีความจำเป็นจะต้องสร้างจะต้องมีคนดีเป็นเพื่อนเอาไว้เยอะๆ เพราะฉะนั้น เครือข่ายคนดีในที่นี้ก็หมายถึงการมีคนดีเป็นเพื่อนเยอะๆ ตีประเด็นนี้ก่อนนะ เครือข่ายคนดี คือ อะไร เครือข่ายคนดี คือ การมีเพื่อนเป็นคนดีเยอะๆ สำคัญอย่างไร สำคัญ เพราะว่าเราก็จะได้ซึมซับเอาความดีจากรอบทิศมาได้เยอะๆ ทีนี้ พูดง่ายๆ ในวันหนึ่งวันหนึ่ง เราหมดเวลาไปกับการทำมาหากินเยอะ ส่วนว่าความรู้ความดี โดยเฉพาะธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเอามาใช้ปรับปรุงตัว เอามาปราบกิเลสน่ะ เราแทบไม่ค่อยจะมีเวลาไปค้นคว้าพระไตรปิฎกมาอ่านกันเลย เวลาจะไปวัด ยังหากันไม่ค่อยได้ แล้วจะทำอย่างไรล่ะ จะให้ความดีมาถึงบ้าน มีทางเดียว คบคนดีเป็นมิตรเยอะๆ เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่า ความสำคัญของการสร้างเครือข่ายคนดี หรือการมีคนดีเป็นเพื่อนเยอะๆ มันอยู่ตรงไหน คำตอบ คือ อยู่ตรงที่ว่ายิ่งสร้างมามากเท่าไหร่ ความดีก็ไหลเข้าตัวเข้าบ้านเรามากเท่านั้นนั่นเอง ความสำคัญมันอยู่ตรงนี้ …

ทำไมต้องสร้างเครือข่ายคนดี มีความสำคัญอย่างไร Read More »

สวดมนต์เป็นยาทาภาวนาเป็นยากิน หมายความว่าอย่างไร

คำถาม: ลูกอยากกราบเรียนถามว่าคำโบราณท่านพูดว่า สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน จริงๆ แล้วมีความหมายว่าอย่างไรเจ้าคะ คำตอบ: ในเรื่องของการสวดมนต์ คำว่า “สวด” เป็นกิริยาของการท่องนั่นเอง การท่องเป็นทำนอง เป็นจังหวะ “มนต์” คืออะไร? มนต์สำหรับชาวพุทธก็คือคำเทศน์ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นสวดมนต์ของชาวพุทธ ก็เป็นเรื่องของการทบทวนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สวดไปก็ได้ความรู้ความเข้าใจในธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง และแน่นอนความสบายใจก็เกิดขึ้นด้วย เกิดขึ้นเพราะธรรมะที่เราสวดอย่างหนึ่ง และเกิดขึ้นเพราะว่ารำลึกถึงพระคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อีกอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นพร้อมๆ กันไป             ถามว่าขณะที่สวดมนต์อยู่ ใจเป็นสมาธิไหม? ก็เป็น แต่เป็นในระดับตื้น ไม่ได้เป็นสมาธิในระดับลึก เมื่อเป็นสมาธิในระดับตื้น ก็ให้คุณประโยชน์กับใจของเราได้ในระดับตื้น คือให้ความชุ่มชื่น ให้ความเบิกบานระดับหนึ่ง แล้วก็ได้ความปลื้มปีติที่ว่าเราได้ทบทวนคำสอนธรรมะของสมเด็จพ่อของเรา ด้วยเหตุว่าการสวดมนต์นำความปลื้มใจ นำสมาธิมาให้ระดับตื้น ท่านจึงได้อุปมาว่าเหมือนยาทา แต่ว่ายาทาชนิดนี้ ทาแล้วทะลุถึงใจนะ ไม่ใช่ยาทา ยาหม่องธรรมดา             ส่วนคำว่า “ภาวนา” หมายถึง การทำสมาธิอย่างต่อเนื่อง เมื่อเป็นการทำสมาธิอย่างต่อเนื่องกันเป็นชั่วโมง เป็นวัน บางทีทำต่อเนื่องกันเป็นเดือน เป็นปี นักทำสมาธิโดยทั่วๆ ไป …

สวดมนต์เป็นยาทาภาวนาเป็นยากิน หมายความว่าอย่างไร Read More »

คนพาลมีลักษณะอย่างไร

คำถาม: กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ มงคลชีวิตข้อแรก สอนให้เราไม่คบคนพาล ก่อนอื่นอยากกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า คนพาลมีลักษณะอย่างไร คบแล้วมีผลเสียอย่างไรเจ้าค่ะ คำตอบ:  การจะดูว่า ใครเป็นคนพาลหรือคนดีนั้น ยากพอสมควร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้มาตรฐานในการวัดมาตรฐานคนไว้ คือเอากรรมหรือการกระทำเป็นตัววัด คือคนทำกรรมดีก็เรียกว่าคนดี คนทำกรรมชั่วก็เรียกว่าคนชั่ว             คนพาลคือ คนที่มีนิสัยคิดและทำความชั่วเป็นปกติ คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วเป็นปกติ ไม่ใช่นานๆ ครั้ง ไม่ใช่พลั้งเผลอ แต่เป็นอาชีพ เป็นอาจิณเลย             ตั้งแต่คิดโลภ พยาบาท เอาเปรียบ อิจฉาตาร้อน เป็นปกติ อย่างนี้เรียกว่าคิดชั่ว             พูดชั่ว โกหก พูดคำหยาบ ใส่ความเขา นินทาเขาเป็นประจำ             ทำชั่วเป็นปกติ ตั้งแต่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ขโมย คอรัปชั่น ใต้โต๊ะ บนโต๊ะแล้วก็ประพฤติผิดในกามเป็นประจำ             คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว เป็นประจำอย่างนี้ ท่านเรียกว่าคนพาล คือชั่วจนกระทั่งเป็นนิสัยประจำของเขา ทางพระเรียกว่าคนพาล ชาวบ้านเรียกว่าคนชั่ว  …

คนพาลมีลักษณะอย่างไร Read More »

นิสัยของคนเกิดขึ้นได้อย่างไร

คำถาม:  หลวงพ่อเจ้าขา คนเรานั้นมีนิสัยแตกต่างกัน บางคนก็นิสัยดี บางคนก็นิสัยไม่ดี อยากกราบเรียนถามว่า นิสัยของคนเราทั้งดีและไม่ดี เกิดขี้นมาได้อย่างไรเจ้าคะ คำตอบ:  เจริญพร นิสัยไม่ว่าดีหรือไม่ดี ล้วนเกิดจากการย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำของตัวเอง นิสัยใครก็ขึ้นอยู่กับการย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำของผู้นั้น             ถ้าในขณะที่ย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ มีทัศนคติและวิธีการในการย้ำนั้นในทางที่ถูกที่ควร ก็จะได้นิสัยดีๆ ถ้าย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ ในเรื่องไม่ดี ทัศนคติไม่ดี ก็จะได้นิสัยไม่ดีติดตัว มีเรื่องใหญ่ๆ ที่มนุษย์ย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ ตลอดชีวิตอยู่ 4 เรื่องด้วยกัน ตั้งแต่เกิดจนตาย หนีไม่พ้น             เรื่องที่ 1. เรื่องของปัจจัย 4 คือเรื่องเกี่ยวกับการหล่อเลี้ยงชีวิตของตัวเอง 4 อย่าง ตั้งแต่เรื่องอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย รวมถึงการรักษาสุขภาพของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ พระเรียกว่าปัจจัย 4             เรื่องที่ …

นิสัยของคนเกิดขึ้นได้อย่างไร Read More »

ฝึกลูกหลานอย่างไร ให้โตขึ้นมาจะเป็นคนมีระเบียบเคร่งครัด

คำถาม: หลวงพ่อเจ้าขา เราจะฝึกลูกหลานของเราอย่างไร เพื่อว่าเมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่ เขาจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีระเบียบวินัยเคร่งครัดเจ้าคะ คำตอบ: เจริญพร ในเรื่องของความมีระเบียบ มีวินัยที่เคร่งครัด เรื่องนี้เป็นเรื่องของนิสัย เมื่อเป็นเรื่องของนิสัย ก็จะเกิดจากการย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ เป็นประจำอีกเหมือนกัน นั่นคือเมื่อเราเห็นคุณค่าของความมีวินัย เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของลูกหลานเรา ของประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ตลอดจนพระศาสนาแล้ว นับเป็นสิ่งที่ดีที่คิดจะฝึกให้ลูกหลานมีวินัยตั้งแต่เล็ก ไม่ใช่ไปบังคับกันตอนโต             วินัยไม่ว่าเรื่องอะไร ล้วนต้องเริ่มจากบ้านทั้งนั้น ให้ลูกหลานของเรา ฝึกวินัยกับตัวเองเสียก่อน จากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งถึงเรื่องใหญ่ ตั้งแต่วินัยในเรื่องของการกิน การนอน การใช้เสื้อผ้า การปัดกวาดเช็ดถูบ้าน กระทั่งวินัยในการใช้ห้องน้ำสารพัด เราต้องฝึกจากตรงนี้ก่อน เมื่อเราฝึกวินัยจากน้อยไปหาใหญ่ให้เขาได้ ลูกหลานเราจะมีวินัยเคร่งครัดเมื่อโต หลวงพ่อจะยกตัวอย่างให้ฟัง             ในกรณีที่ 1. เราฝึกลูกหลานของเรา ให้เป็นคนนอนตรงเวลา นอนหัวค่ำ ไม่ให้เกิน 4 ทุ่ม แล้วก็ตื่นแต่เช้ามืด ประเภทนอนเที่ยงคืนแล้วตื่นสาย ตรงนั้นพลาดแล้ว นั่นคือไม่มีวินัย เพราะถ้านอนดึก ตอนเช้ามันไม่อยากตื่น ถึงเวลาจะตื่น มันก็รู้ตัว …

ฝึกลูกหลานอย่างไร ให้โตขึ้นมาจะเป็นคนมีระเบียบเคร่งครัด Read More »