คำถาม:
หนูอายุ ๑๙ ปี ตั้งใจจะรักษาศีล ๘ หนูตั้งใจปฏิบัติไม่ให้ศีลด่างพร้อยเลย แต่ว่ามักจะขาดอยู่หนึ่งข้อ คือข้อที่ ๗ หนูชอบดูทีวี อันที่จริงไม่ดูก็ได้ แต่ว่ามันได้ยินเสียงก็เลยคิดว่าไหน ๆ ฟังเสียงแล้วก็เลยดูซะเลย หนูเข้าใจว่าทุกบ้านต้องมีเสียงทีวี อย่างนี้คนอยู่บ้านคงรักษาศีล ๘ ไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
คำตอบ:
ก็อดใจอย่าไปดูมันซิลูกเอ๊ย…..ให้มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาซะบ้าง ฝากข้อคิดว่า ทีวีเป็นสื่อมวลชนที่ดีอย่างหนึ่ง ทำให้เรารู้ข่าวคราวทั่วโลกได้เร็ว แต่ก็ควรระวังด้วย เพราะของที่มีคุณอนันต์ก็มีโทษ มหันต์
อยากจะบอกว่าทีวีนั้น ถ้าจะให้ได้ประโยชน์ ไม่มีโทษละก็ พอหมดข่าวก็ปิดเลยดีที่สุด
ทีวี หลาย ๆ ช่องกว่าจะจบข่าวก็ประมาณ ๓ ทุ่ม ทางที่ดีพอหมดข่าวก็ควรปิดทีวีได้แล้ว
พวกหนังพวกละครอย่าไปดูมันเลย เอาเวลามานั่งสมาธิดีกว่า
อีกอย่างหนึ่งอยากจะเตือนไว้ เห็นคุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คน ทำเหมือนกำลังฆ่าลูก ฆ่าอย่างไร? คือ โทรทัศน์นี่ความจริงตัวเองก็อยากดู ลูกก็อยากดู เพราะฉะนั้นไล่ให้ลูกนอน มันก็ไม่นอน ทีวีอยู่ในห้องนอน ถ้าเราดู ลูกก็ต้องดูด้วย เป็นอันว่า ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่ม ลูกก้ยังไม่ได้นอน บ้านไหนครอบครัวไหน ถ้า ๕-๖ ทุ่มลูกไม่ได้นอน ก็เท่ากับว่าคุณพ่อคุณแม่เพาะนิสัยไม่ดีให้ลูกแล้ว
นิสัยไม่ดีนี้ คือ พอรุ่งเช้าลูกไม่อยากตื่น จะดุจะว่าก็ไม่ได้จะไปว่าได้อย่างไร ในเมื่อแม่ก็ไม่ตื่น ลูกก็เลยไม่ตื่น บ่อยเข้าก็เลยติดนิสัยขี้เกียจทั้งแม่ทั้งลูก แล้วไม่ใช่ขี้เกียจอย่างเดียวนะ มันมีเรื่องเสียหายอย่างอื่นตามมาด้วย ลองสังเกตตัวเองก็แล้วกันพอเราตื่นสายเข้าแล้ว เนื่องจากจะต้องไปทำงานแต่เช้า พอตื่นสายขึ้นมาก็เลยต้องรีบ ๆ หน้าตาแทบจะไม่ได้ล้าง ไม่มีเวลาจะสำรวจดูข้อบกพร่องของตัวเอง รีบมาก ๆ เข้าก็กลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ หน้าตายู่ยี่ ๆ ไปโดยปริยาย
ส่วนลูกก็เหมือนกัน ตื่นขึ้นมาก็ ๖ โมงเช้าแล้ว ไปโรงเรียนก็แทบจะไม่ทัน คุณพ่อคุณแม่กว่าจะปลุกลุกขึ้นมาได้ก็ ๖ โมงกว่าน้ำท่าไม่อยากอาบ แม้ข้าวปลาอาหารบางทีก็ไม่อยากกิน ถึงกินก็ไม่อยากล้างจาน ลูกพอถูกเร่งรัดมากเข้า ก็อารมณ์เสีย เลยมินิสัยเจ้าอารมณ์ตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ
เรื่องนี้ต้องกล่าวโทษคุณแม่ว่าเพาะนิสัยไม่ดีให้ลูกเป็นคนเจ้าอารมณ์ เป็นคนสะเพร่า ด้วยการปล่อยให้ดูทีวีดึก ๆ แบบนี้เหมือนฆ่าลูกนะ ฆ่าอย่างเลือดเย็นที่สุดเลย
ถ้ารักลูกจริง ๆ เรื่องทีวีลองจัดการอย่างนี้ซิ
ที่บ้านพี่สาวของหลวงพ่อ ตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อยังไม่ได้บวช ตอนนั้นพี่เขยเขาไปเรียนต่อต่างประเทศ หลวงพ่อก็ไปอยู่เป็นเพื่อนพี่สาว ไปช่วยเลี้ยงหลาน ๓ คนด้วย พอ ๓ ทุ่ม ข่าวหมด เราก็ปิดทีวี เจ้าหลาน ๆ พอปิดทีวีเขาก็นอน เพราะจริง ๆ แล้วตอนเริ่มมีข่าวเขาจะไม่ดู ต่างคนต่างจะรีบทำการบ้านกัน พอการบ้านเสร็จปั๊ปหวังจะได้ดูทีวีรายการโน่น ๆ นี่ ๆ น้าก็ปิดทีวีเสียอีก ก็เลยไม่ได้ดู จะไปเปิดดูเองก็เกรงใจ เพราะเห็นน้านั่งหลับตา “สัมมา อะระหัง” หลาน ๆ ก็เลยต้องเข้านอนหมด
ส่วนพี่สาวเขาก็ค้นตำรับตำรา เพราะเขาเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษอยู่ เขาก็ทำงานในหน้าที่ของเขาไป เป็นอันว่าทุกคนพอ ๓ ทุ่มแล้วใครมีงานอะไรก็ทำของตัวไป จะไม่มีใครมายอมเสียเวลาเป็นทาสทีวี ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็เลยทำให้หลาน ๆ ทั้ง ๓ คน เรียน เก่ง ๆ กันทั้งนั้น ตอนนี้ก็จบการศึกษาไปหมดแล้ว ส่วนหลวงพ่อเองก็ได้มาบวชอยู่จนถึงเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นฝากไว้นะใครที่ยังดูทีวีดึก ๆ เลิกเสีย
ถ้าลูกจะดูหลานจะดู ให้ดูตอนเย็น กลับจากโรงเรียนอยากจะดูก็ให้ดูไป พอ ๓ ทุ่มก็ปิด เราจะอนุญาตอีกกรณีหนึ่งคือคืนวันศุกร์กับคืนวันเสาร์ให้ดูได้ แต่ก็ไม่ให้เกิน ๔ ทุ่ม พอ ๔ ทุ่ม ก็ปิดทีวีเลย หนึ่งกำลังภายนอกกำลงภายในไม่เอาทั้งนั้น ถ้าอย่างนี้ละก็เรียกว่าใช้ทีวีเป็นไม่เป็นทาสทีวีจนตาย อันนี้ขอฝากไว้กับคุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองเด็กทุกคนด้วย
ส่วนที่เข้าใจเอาเองว่าคนที่นอนอยู่บ้าน ไม่ได้นอนวัด จะรักษาศีล ๘ ไม่ได้นั้น ไม่จริงหรอกนะหนู หลวงพ่อรู้จักญาติโยมมากมายที่ท่านรักษาศีล ๘ อยู่ที่บ้านได้อย่างตลอดรอดฝั่ง บางคนบ้านอยู่กลางตลาดเสียด้วยซ้ำ
โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)
วันที่
ที่มา
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
บทความหลวงพ่อตอบปัญหา