บัณฑิตมีลักษณะอย่างไร

คำถาม:
หลวงพ่อเจ้าคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไม่ให้เราคบคนพาล ให้คบแต่บัณฑิต แล้วบัณฑิตแบบไหน ที่เราควรจะคบหาด้วย ถ้าคบแล้วดีอย่างไรเจ้าคะ

คำตอบ:
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงชี้ไว้ว่า บัณฑิตคือคนที่คิดดี พูดดี ทำดี เป็นปกติ คือไม่ใช่คิดดี พูดดี ทำดีเป็นครั้งคราว เพราะว่าท่านรู้ดี ถ้าพูดให้ลึก คือท่านเข้าใจถูกในเรื่องโลกและชีวิตเป็นอย่างดี หรือท่านมีความเป็นสัมมาทิฏฐิอย่างแรงกล้า
            จากความที่ท่านเป็นสัมมาทิฏฐิอย่างแรงกล้าคือ เข้าใจโลกและชีวิตอย่างจริงจัง ทำให้ท่านรู้ไปถึงเรื่องว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรผิดถูก อะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป อะไรควรไม่ควร เลยไปจนกระทั่งทำกรรมอะไรจึงจะไปนรก ทำกรรมอะไรจึงจะไปสวรรค์ ความที่ท่านรู้ดีอย่างนี้ เข้าใจถูกอย่างนี้ ทำให้ท่านคิดดี พูดดี ทำดีเป็นปกติ ท่านกลัวบาป กลัวนรกยิ่งนัก ใครมาบังคับให้ท่านทำความชั่ว ท่านไม่ยอมทำ ฆ่าท่านให้ตายท่านก็ยอม ตายไปท่านก็มั่นใจว่าท่านไม่ตกนรก เพราะท่านคิดดี พูดดี ทำดีมาตลอดชีวิต นี่คือลักษณะของบัณฑิตที่เด่นชัด
            เพราะฉะนั้นบุคคลประเภทนี้ ที่คิดดี พูดดี ทำดีด้วยปานนี้ จิตใจของท่านแข็งแกร่งและผ่องใสตลอด และบุคคลอย่างนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีใบปริญญา อาจจะอ่านหนังสือไม่ออกก็ได้ เหมือนคุณยายอาจารย์ของเรา คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่ว่าสร้างวัดพระธรรมกายไว้ให้เรา สร้างบุญกันมาจนทุกวันนี้ ท่านเป็นบัณฑิตทั้งทางโลกทางธรรม ทั้งๆ ที่อ่านหนังสือไม่ออก แต่เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องนรกเรื่องสวรรค์นั้นท่านรู้ชัดเจนเลย
            ถ้าเราเจอบุคคลอย่างนี้แล้ว เข้าไปคบ คำว่า “คบ” ตรงนี้ ต้องแยกให้ออก คบในฐานะคนระดับเดียวกัน ก็เรียกว่าคบเหมือนกัน ที่เรารู้จักกันมักจะตรงนี้ แต่คบกับผู้มีคุณธรรมในระดับสูงส่งอย่างนี้ แม้เราจะอายุรุ่นเดียวกับท่าน แต่ความที่ภูมิธรรมท่านสูงกว่ามากนัก เขาไม่เรียกว่าคบ เขาเรียกว่าถวายตัวเป็นศิษย์ ต้องเข้าใจตรงนี้ แต่ในสำนวนศาสนาเราก็ยังเรียกว่าคบอยู่ คบในฐานะที่เราเป็นผู้น้อย ทั้งที่เราอายุรุ่นเดียวกัน น้อยด้วยภูมิรู้ภูมิธรรม ถึงอายุจะเท่ากันหรือแก่กว่าท่านอีก ก็ต้องเจียมเนื้อเจียมตัว เพราะเรานั้นยังโง่ในทางธรรม เรามันยังเป็นพาลอยู่
            เมื่อสำนึกรู้ตัวอย่างนี้ไปกราบท่าน หมั่นเข้าไปหา เข้าไปรับใช้ท่านด้วย เพื่อให้ท่านมีเวลาว่าง เพื่อให้ท่านสามารถสังเกตข้อบกพร่องและข้อดีของเราได้ชัดๆ ด้วย ไปรับใช้ท่านอย่างใกล้ชิดด้วยความเต็มอกเต็มใจ เมื่อท่านเห็นความจริงใจของเราที่เข้าไปหาท่าน ไปรับใช้ท่าน ความเมตตาก็จะเกิดขึ้น เมื่อท่านเมตตาต่อเราแล้ว ท่านก็มองเราออกได้ชัดเจน เพราะเราไปรับใช้อย่างใกล้ชิด ท่านก็จะเมตตาสอนให้เรา สอนความรู้ทางโลกบ้าง สอนความรู้ทางธรรมบ้าง เมื่อท่านสอนเราก็ตั้งใจ
            1. ฟังคำท่าน
            2. ฟังคำท่านแล้วก็ตรองไปด้วย ตรองแล้วก็ตรองอีก ผู้เป็นบัณฑิตมีคุณธรรมสูงส่งแก่กล้าเพียงไหน คำพูดของท่านความหมายกินลึก คำพูดคำเดียวของท่าน บางครั้งเอามาตรองเป็นปี ตรองแล้วก็ทำตามท่าน
            ทำตามแล้ว ถ้าให้ดีก็ไปรายงานท่าน บางอย่างเราทำตามแล้วท่านเห็นก็ไม่ต้องรายงาน บางอย่างเราทำตามแล้วท่านไม่เห็น ก็ต้องไปรายงานท่านว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ถึงแม้ทำถูก แต่ว่าจะให้สมบูรณ์มันไม่ง่าย เมื่อไปรายงานเข้า ส่วนที่ขาดท่านจะเติมเต็ม
            หลวงพ่อเองก็ทำอย่างนี้ ตั้งแต่มาเจอคุณยายอาจารย์ของเรา ก็เข้ามารับใช้ท่าน ฟังคำท่าน ตรองคำท่าน แล้วก็ทำตามท่าน อย่างนี้เรื่อยมา ก็ได้ความรู้ ได้ความดีมาตามลำดับ ถ้าเรามองภาพอย่างนี้ออก ยอมเข้าไปรับใช้ ฟังคำท่าน ตรองคำท่าน ทำตามท่าน ความรู้ก็จะงอกเงยขึ้นมาอย่างพึ่บพั่บ แบบโอปปาติกะ บุญก็ได้ ความดีก็ได้มาก นิสัยใจคอที่ไม่ดีไม่งามต่างๆ จะถูกแก้ถูกดัดไปได้โดยง่าย ด้วยฝีมือท่านซึ่งเป็นบัณฑิตตัวจริง
            และบางครั้ง หากเราผิดพลาดอะไรไป บางทีมันอาจจะหนักหนาสาหัส จนกระทั่งท่านไล่ไปก็ตามที อย่าหนีไปไหน ให้ห่างไปสักครู่หนึ่ง ให้ท่านหายโกรธ อารมณ์ดี แล้วค่อยกลับไปหาท่านใหม่ ไปรับใช้ท่านต่อ อย่างนี้ ความรู้ความดี ทั้งทางโลกทางธรรมมันไหลเข้ามาในตัวเรา ไม่รู้จบสิ้นเลย จำไว้ให้ดี

โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)
วันที่
ที่มา
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *