ความกตัญญูทำให้เกิดปัญญา ได้อย่างไร

คำถาม:
หลวงพ่อเจ้าค่ะ  หลวงพ่อเคยเทศน์ไว้ว่า   ความกตัญญูทำให้เกิดปัญญา  อยากถามว่าความกตัญญูจะทำให้เกิดปัญญาได้อย่างไรคะ?

คำตอบ:
เจริญพร  “ความกตัญญู” เป็นต้นเหตุสำคัญที่จะทำให้คนเกิดปัญญา  ซึ่งในที่นี้จะยกตัวอย่างขั้นต้น   พระสารีบุตร ได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปรียบเสมือนแขนขวาของพระองค์  เลิศด้วยปัญญา   ตลอดชีวิตของพระสารีบุตร  ท่านมีแต่ความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์ของท่านเป็นอย่างยิ่ง 
        เรื่องได้เคยบันทึกเอาไว้ในพระไตรปิฎก  ก่อนที่ท่านจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ท่านเคยมีครูอยู่ในศาสนาอื่น  ต่อมาท่านก็พบว่าคำสอนในลัทธิ ศาสนานั้นช่วยให้พ้นทุกข์ไม่ได้ ท่านก็ลาอาจารย์เที่ยวแสวงหาอาจารย์ใหม่จนกระทั่งมาเจอพระอรหันต์รูปหนึ่ง  พระอรหันต์รูปนั้นสอนพระสารีบุตรสั้นๆ แล้วก็ได้  บรรลุธรรมขั้นต้นเป็นพระโสดาบัน 
        พอบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันขั้นต้นแล้ว   ท่านก็รีบไปหาอาจารย์เก่าของท่าน  พยายามไปชักชวนให้อาจารย์เก่าของท่าน ไปหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้พ้นทุกข์ตามมา  แต่ว่าไปด้วยอำนาจแห่งความกตัญญูกตเวทีของท่าน  แต่น่าเสียดายครูเก่าของท่านไม่ยอมไป  ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่า  พระสารีบุตรท่านทำดีที่สุดแล้ว
        จากนั้นมาเมื่อท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว  ทุกคืนก่อนที่ท่านจะจำวัด ท่านจะต้องนั่งเข้าที่ทำสมาธิตรวจดูก่อนว่าอาจารย์ของท่านที่เป็นพระอรหันต์  ไปประกาศศาสนาอยู่ทางทิศไหน  ไปโปรดชาวโลกอยู่ทางทิศไหน  เมื่อพบแล้ว  ท่านก็หันศีรษะไปทางนั้นก่อนนอน  กราบเสร็จก็หันศีรษะไปทางครู  คือถ้ายังทำอะไรอยู่  อย่างน้อยก็เอาอวัยวะส่วนที่สูงที่สุดในร่างกายคือศีรษะหันไปบูชาครู  นี่คือจิตใจของท่าน
        ส่วนอะไรที่ทำให้กับครูบาอาจารย์ท่านได้  ท่านทำเต็มที่  ถ้าวันนั้นทำไม่ได้  อย่างน้อยหันศีรษะไปบูชาครูก่อนนอนก็ยังดี  นี่คือจิตใจของท่าน และตรงนี้เองที่เป็นนิสัยติดตัวของท่านมาข้ามภพข้ามชาติ คือมากด้วยความกตัญญูกตเวที ข้ามภพข้ามชาติ  มาชาตินี้จึงยิ่งด้วยปัญญา ยิ่งกว่าพระสาวกองค์อื่น
        ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น  ทำไมความกตัญญู  จึงทำให้มีปัญญาขึ้นมาได้ ?  ดูง่ายๆ อย่างนี้  คือพระคุณของคนที่ทำกับเรา  ใครทำความดี ใครช่วยเหลือ ใครเกื้อกูลกับเรามาก่อน  นั่นคือพระคุณที่เราได้รับ  ทีนี้เพราะได้รับพระคุณอย่างนั้น   ทำให้เราบางคนเมื่อได้พระคุณที่เขาทำมา ทำให้รอดชีวิตบ้าง บางทีก็ทำให้ได้ความรู้เพิ่มเติมบ้าง ให้ได้ธรรมะเพิ่มเติมบ้าง ให้ได้ความดี ความสามารถเพิ่มเติมบ้าง ก็ชีวิตของเรา ความรู้ ความดี ความสามารถ สิ่งเหล่านี้เงินซื้อไม่ได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตของเรา ใครจะเอาสมบัติทั้งโลกมาแลก   เราก็ไม่เอา  เราเอาชีวิตดีกว่า  พระคุณชดใช้กันไม่หมด  เมื่อใครมีพระคุณต่อเราแล้ว ใช้ท่านไปตลอดชีวิต  ถ้ายังไม่ตาย  ท่านยังไม่ตาย หรือเรายังไม่ตาย   มีโอกาสเป็นต้องตอบแทนพระคุณกัน
        แม้ที่สุดท่านตายแล้ว  เรายังอยู่ก็ต้องหาทางตอบแทนพระคุณ เช่น  ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ก็ยังดี  การที่เราจะต้องค้นหาศักยภาพในตัวของเราไปตอบแทนพระคุณท่านตลอดชีวิตนี่แหละ  มันทำให้เราจะต้องเค้นสติปัญญา สะสมสติปัญญาเพิ่มพูน  เค้นสติปัญญาที่มีแต่เดิม  เอามาหาทางตอบแทนพระคุณท่านซึ่งเคยมีต่อเรา  เพียงท่านใดท่านหนึ่งมีพระคุณต่อเรา  เราก็ถูกบังคับให้ต้องเค้นสติปัญญาขึ้นมา  เพื่อหาทางไปตอบแทนพระคุณท่าน 
        สติปัญญา เป็นของแปลก  ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม  เหมือนอะไร?  ก็เหมือนกับนักกีฬา ยิ่งออกกำลังกายยิ่งเหนื่อย ยิ่งได้กำลังกายเพิ่มขึ้น  ทำนองเดียวกัน  เราเค้นสติปัญญาออกมามากเท่าไหร่?  เพื่อหาทางตอบแทนพระคุณท่าน  สติปัญญาของเราก็เพิ่มพูนขึ้นมาเท่านั้น 
        แต่คนเรานั้น  กว่าจะโตมาเป็นผู้ใหญ่ ได้รับพระคุณมาจากผู้อื่นนั้น  นับไม่ถ้วน  ตั้งแต่
        ๑. พ่อแม่ จนกระทั่งลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตาทวด  นั่นสายหนึ่งแล้ว นับตัวตนไม่ถ้วนเลย
        ๒. สายครูบาอาจารย์ นับอีกไม่ไหวทีเดียว  กว่าจะจบการศึกษามาได้  โบราณเรานับจนกระทั่งถึงแม้เป็นวัวควาย ที่มาช่วยไถนาให้เรา  ยังถือว่าเป็นสัตว์มีพระคุณ   เมื่อผู้มีพระคุณต่อเราที่เป็นคน  และสัตว์มีคุณต่อเรา ก็ยังนับไม่ไหวเหมือนกัน
        ดังนั้น คนที่มีความกตัญญูกตเวทีแล้ว แทบจะทุกลมหายใจเข้าออก เป็นเรื่องการหาช่องทาง ทุ่มเทสติปัญญาความรู้ความสามารถ ไปตอบแทนคุณ จึงเป็นการเพิ่มพูนสติปัญญาขึ้นมาโดยอัตโนมัติ  นี่คือที่มา

โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)
วันที่
ที่มา
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *