หลักในการครองใจลูกน้อง

คำถาม:
หลวงพ่อเจ้าคะ เนื่องจากลูกทำธุรกิจส่วนตัว ซึ่งต้องดูแลลูกน้องเยอะ  อยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ทำอย่างไรเราถึงจะเป็นนักบริหารที่สามารถครองใจให้ลูกน้องรักได้เจ้าค่ะ

คำตอบ:
ครองใจคนความจริงไม่ยาก ขอให้เราครองใจของเราให้ได้ก่อน ครองใจของตนเองได้แล้ว จึงค่อยครองใจคน ตรงนี้จำไว้ให้ดี ในการครองใจของตนเองเป็นอย่างไร…ครองใจของตนเองให้ได้ คือ ครองใจของเราให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา ถ้าครองใจให้ผ่องใสได้ตลอดเวลาแล้ว…ถ้าอย่างนั้นครองใจคนก็ไม่ยาก
ทีนี้ที่ถามว่า “ครองใจลูกน้องจะทำอย่างไร” ดูศัพท์คำนี้ให้ดี ดูศัพท์คำว่า “ลูกน้อง” ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเรามีหลายรูปแบบ เรามีคำหลายคำ ตั้งแต่คำว่า “พนักงาน” คำว่า “คนงาน” คำว่า “คนรับใช้” หนักเข้าไปก็ “ข้าทาส” แย่หนักเข้าไปก็ “ขี้ข้า” คำประเภทนี้ปู่ย่าตาทวดเราไม่ใช้ ถือว่าเป็นคำที่จิกหัวเรียก อย่างเช่น คำว่า “ขี้ข้า” คำว่า “ข้าทาส” อย่างนี้…จิกหัวเรียก…หมดความเป็นคน
แต่ว่า…ให้มีจิตเมตตา มองกันด้วยว่า เขากับเราก็เป็นมนุษย์ด้วยกัน แล้วการที่เขามาอยู่กับเรา เป็นบุคคลที่มาช่วยผ่อนแรง มาช่วยเราทำมาหากิน เราได้เขาเป็นแรงกาย ส่วนเราออกแรงสติปัญญา…อย่างนี้ ถ้าจะว่าไป ก็เหมือนมือกับซ้ายมือขวา หรือว่าเท้าหน้ากับเท้าหลัง อะไรอย่างนี้…ถ้าอย่างนี้พอไปด้วยกันได้
ทีนี้เมื่อเราจะครองใจลูกน้องของเรา ขั้นต้น…ให้มองคำว่า “ลูก” กับคำว่า “น้อง” คือ ใครมาอยู่กับเรา ก็ให้ความเมตตา_เรารักความสุข ความสะดวก ความสบายอย่างไร คนอื่น…เขาก็เป็นคน เขาก็รักความสุข ความสะดวก ความสบายเหมือนเรา เพียงแต่ว่าวันนี้เรามีฐานะดีกว่าเขา มีความรู้ความสามารถมากกว่าเขา เอาล่ะ…เขายอมเรา…ยอมอะไร…ก็ยอมมาอยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา
เมื่อมาอยู่ใต้บังคับบัญชาของเราแล้ว เราถือว่าเขาเป็นคนหรือไม่ ถ้าถือว่าเขาเป็นคน แต่เป็นแค่คนก็เป็นคนรับใช้ คนงาน ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเรา หรือถือว่าเขาไม่ใช่คนแล้ว…เขาอยู่ต่ำกว่าเราแล้ว เป็น…ไอ้ขี้ข้า…ไอ้ข้าทาส…อย่างนี้หมดสัมพันธไมตรีเลย
แต่ว่า…เออ…มาอยู่กับเราถือมันเหมือนลูก ถือมันเหมือนน้อง…อย่างนี้ใช้ได้…เออ…นี่ “ลูกน้อง” กล่าวคือ เหมือนลูก แต่ว่าเป็นลูกชนิดที่ต้องจ่ายเงินจ่ายทอง หรือเป็นลูกจ้างก็ยังดี จะลูกน้องหรือลูกจ้างก็เอาล่ะ เท่ากับเรายอมรับว่าเขาเป็นคน มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนเช่นเดียวกับเรา แต่เขาด้อยโอกาสกว่าเรา เราก็ให้โอกาสเขาซิ อย่าไปดูถูกดูหมิ่นเขา คิดว่า…มาช่วยกันทำกิน ไม่ใช่ทาสไม่ใช่ขี้ข้า
ขอแนะนำวิธีครองใจผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนี้
1.มีจิตเมตตากับเขา คือ สอนงานให้ หากเขารู้ไม่เท่าเรา เราก็สอนงานให้ เมื่อเขาเป็นงานแล้ว ก็ใช้งานให้พอเหมาะพอสม เราก็ได้งาน เขาก็ได้เงิน เท่านั้นยังไม่พอ สอนงานให้แล้ว ใช้งานพอเหมาะพอสมแล้ว ก็อบรมศีลธรรมให้เขาด้วย…อบรมทำไม…เออ…เขาด้อยโอกาสในชาตินี้ ชาติหน้า…ถ้าเขามีศีลมีธรรมติดตัวไปด้วย…อย่างนี้ไม่ด้อยโอกาสแล้ว…เขาจะได้โอกาสนะ…ยกระดับให้เขาได้
2.เมื่อให้จิตเมตตาขนาดนี้ สอนงานให้ ใช้งานเหมาะพอสม อบรมศีลธรรมไปด้วยแล้ว…ตอนเจ็บ ตอนป่วย ตอนไข้ ก็รักษาเขา อย่าไปทอดทิ้งเขา คือ มีความกรุณาให้กับเขา นั่นเอง พูดง่ายๆ ถึงคราวดีก็ใช้ ถึงคราวไข้ก็รักษา เจ็บไข้ได้ป่วยจะเป็นจะตาย ก็หอบหิ้วกันไปไม่ทิ้งกัน เรียกว่า “เอาใจซื้อใจกัน”
3.มีมุทิตาจิต คือ ถ้าคนไหน ฝีมือเขาดี ก็ต้องส่งเสริมกัน เขาใช้คำว่า “ใครมันดีกว่าก็ต้องส่งเสริมให้มันก้าวหน้าไป” อย่าไปกัก อย่าไปกั๊ก อย่าไปกดมันเอาไว้ ถ้าเอาแต่พวกของตัว เอาแต่ลูกหลานของตัว ฝีมือดีไม่ดี ก็ยกกันขึ้นมา อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ตรงนี้มันเรื่องงาน ก็ว่ากันตามงาน ก็ถือเหมือนลูกเหมือนหลาน เหมือนน้องแล้วนี่ ให้เขาเลย…มีฝีมือแล้ว Promote กันขึ้นไปยกกันขึ้นไป อย่าเอาคำว่า “คนอื่น” อย่าเอาคำว่า “ญาติ” มาปนเปกัน ตรงนี้ทุกคนถือว่าจะเป็นญาติหรือไม่ญาติ ก็คือ “เพื่อนร่วมงาน” เมื่อเป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นพี่ร่วมงาน เป็นน้องร่วมงานกันแล้ว อย่าไปเกี่ยงว่าเป็นสายเลือดหรือไม่ใช่สายเลือด ใครมีฝีมือดีกว่าก็ต้องส่งเสริมให้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป คือ มีมุทิตาจิตกับเขา ไม่กั๊กไม่กันไว้
ในเวลาเดียวกัน ใครมันย่ำแย่ ฝีมือมันยังไม่ถึง เมื่อเขาก็บ่ายหน้ามาพึ่งเราแล้ว อย่าไปทอดอย่าไปทิ้งเขาเลย อย่างน้อยที่สุด ถ้าพบว่ามันยังมีแววรักดี มันมีแววซื่ออยู่ล่ะก็ ใครล้าหลังก็ลากก็จูงกันไป ไม่ทอดไม่ทิ้ง
ถ้าทำกันอย่างนี้ ครองใจคนได้ ถ้าไม่อย่างนั้น ใช้อำนาจบาตรใหญ่ได้แต่งาน เขาก็ได้แต่เงิน เราก็ได้แต่งาน แต่ว่าไม่ได้ใจ ถ้าให้ได้ใจกันล่ะก็…ก็ต้องเข้าไปครองใจกันอย่างนี้แหละ ถือว่าเขาเป็นลูก ถือว่าเขาเป็นน้อง แล้วประคับประคอง สร้างงาน สร้างบุญ สร้างความดีกันไป

โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)
วันที่
ที่มา
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *