แพทย์รักษาคนไข้ แต่เกิดผลข้างเคียงจากการรักษา ทำให้คนไข้เสียชีวิต แพทย์บาปหรือไม่

คำถาม:
ในกรณีที่แพทย์รักษาคนไข้ แต่เกิดผลข้างเคียงจากการรักษา ทำให้คนไข้เสียชีวิต ในกรณีเช่นนี้อยากกราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า จะมีผลบาปต่อแพทย์ หรือไม่ เจ้าคะ

คำตอบ:
คุณโยม…ตรงนี้ คงต้องแยกเป็น 2ประเด็น เวลาแพทย์ตั้งใจรักษาคนไข้ ในกรณีที่หนึ่ง แพทย์เอง…ความรู้ในยุคนั้นๆ ไปไม่ทันโรค ก็รักษากันไป งมกันไป…ตรงนี้ก็ต้องบอกว่า มีรอดบ้าง ตายบ้าง

ส่วนกรณีที่สอง คือ ความรู้นั้นพอสู้กับโรคได้ แต่ประมาทแล้วไปทำเขาตาย ตรงนี้ 2ประเด็นนี้ไม่เหมือนกัน คุณโยม

ในกรณีแรก รู้อยู่ว่าวิชาของเรา ภูมิรู้ของเรานั้นมันไม่ทันกับโรคภัยไข้เจ็บ แล้วในวงการแพทย์ไม่ว่าใครก็ยังไปไม่ถึง เพราะฉะนั้น เราก็พยายามจนสุดฝีมือแล้วมันได้เท่านี้ แล้วก็ปรากฏว่า คนไข้ก็มาตายในมือเรา…ถามว่า ตรงนี้จะมีบาปกับเราไหม

1.ดูตรงเจตนา เราก็มีเจตนาดี ไม่ได้มีเจตนาร้าย…เราไม่มีเจตนาร้ายกับคนไข้
2.เราประมาทหรือไม่ แพทย์คนนี้ประมาทหรือไม่…ก็ยืนยันได้ว่าไม่ประมาท ก็ทำสุดฝีมือแล้ว ไม่ได้ประมาทเลย 
3.เมื่อความรู้เรามันไม่ถึง…เราไม่ได้ประมาท แต่ความรู้เราไม่ถึง…ทำไมไม่ส่งให้คนอื่นเขาไปเสียล่ะ…ที่เขาถึงๆน่ะ…ซึ่งคนอื่นในย่านนั้น บ้านนั้น เมืองนั้น เขาก็ไม่ถึงเหมือนกัน ส่งไปกับคนอื่น คนอื่นเขาก็ไม่อยากจะรับด้วย แล้วมาถึงมือเรา เราก็รับแล้วก็ทำสุดฝีมือแล้ว
แล้วปรากฏว่าคนไข้ก็ตายแล้ว…ตายกับใคร…ตายกับมือเราเลย…ก็อย่าโกรธอย่าโทษกันเลย เพราะว่าความรู้ความสามารถมันมีเท่านี้จริงๆ ไม่ได้แกล้งใคร ไม่ได้ปิดโอกาสใคร ตรงนี้หลวงพ่อว่า คงจะไม่มีบาปกรรมอะไรกันหรอกนะ

และก็มั่นใจว่า คนไข้เขาก็คงไม่ได้มาคิดจองเวรจองกรรมอะไรกันกับหมอด้วย ทั้งคู่มีความบริสุทธิ์ใจด้วยกัน แพทย์ก็อยากให้หาย คนไข้ก็ไม่อยากตาย อยากจะให้หมอช่วย

แต่หมอช่วยสุดฝีมือแล้วได้เท่านี้ ก็ต้องยอมรับความจริงกันว่า…คนไข้เอ๊ย…มันถึงคราวของคุณนะ
แต่ว่า…ถ้าหมอรู้ตัวอยู่แล้วว่า เราก็คงจะเอาไม่อยู่ ถ้าหลวงพ่อเป็นหมอคนนั้น ก็คงจะเตือนกับคนไข้ด้วยว่า…นึกถึงบุญให้ดีนะ หรืออยากจะทำบุญอะไรรีบทำๆซะนะ

ยิ่งกว่านั้น…ต่อแต่นี้ไป…ให้ทำบุญใหม่เพิ่มขึ้น ด้วยการไหว้วานให้ใครเขาทำบุญทำทานให้ เพราะว่าทรัพย์เป็นของเรา นอนป่วยอยู่ ลุกขึ้นไปทำบุญทำทานไม่ได้ แต่สั่งให้คนไปทำแทนได้ สั่งไป ให้เขาไปทำกับเรา

แล้วก็ที่แน่ๆเลย ถือโอกาสสอนคนไข้ด้วย…จำไว้ก็แล้วกันคุณ
ข้อที่1.คนเราตายแล้วไม่สูญ เขาจะได้ไม่ประมาท รู้ไว้เลยว่า ตายแล้วไม่สูญ ชีวิตหลังความตายยังมี โลกหน้ายังมี
ข้อที่2.แล้วโลกหน้าจะไปยังไง…พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ชัดว่า ถ้าใจขุ่นมัวล่ะ…ไปไม่ดีหรอก ถ้าใจผ่องใสล่ะ…สวรรค์พอได้ไปเชียว

เพราะฉะนั้น พอรับคนไข้มาอยู่ในมือแล้ว สอนให้ทำสมาธิ(Meditation)ไปด้วย ใจจะได้ใสๆ ตายก็ไปดี เข้าทำนองที่ว่า ถ้าไม่หนักหนาสาหัสนักมันก็หาย ถ้ามันหนักหนาสาหัสนักมันก็ต้องตาย แต่ว่าตายก็ไปดี เมื่อคนไข้ถึงคราวตาย แต่ตายแล้วไปดีอยู่ในมือเรา ไม่น่าเสียใจอะไร

แต่ว่า…ในกรณีที่สอง ความรู้ก็มี แต่หมอประมาทไม่ดูให้เรียบร้อย ปรากฏว่าคนไข้ตาย ตรงนี้…บาปกรรมติดตัวกับคุณหมอแน่นอน เอาเถอะ ถ้าชาตินี้กรรมตามไม่ทัน ชาติใดชาติหนึ่ง กรรมแห่งความประมาทที่ทำไว้กับคนไข้นี้ตามทันเข้า หมอเองก็จะต้องไปตายด้วยความประมาทของหมอข้างหน้าโน่นแหละ ชาติใดชาติหนึ่ง มันหนีกันไม่พ้นอย่างนี้

เมื่อรู้ตัวอย่างนี้แล้วว่า ถ้าประมาท แม้จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จะแกล้งหรือไม่แกล้งคนไข้…บาปกรรมนั้นเกิดขึ้นกับหมอแน่

เพราะฉะนั้น คุณหมอทั้งหลาย หลวงพ่อฝากเอาไว้ ดูแลคนไข้ให้ดีนะ ประมาทพลาดพลั้งนิดเดียว อย่าว่าแต่ไปทำเขาตายเลย ไปทำเขาตาบอด ไปตัดขาเขา แล้วทำให้แทนที่จะมาต่อ มาดาม ได้ ปรากฏว่า ด้วนไปทั้งชาติ ชาติต่อไปก็คุณหมอไปเตรียมด้วนเองก็แล้วกัน ไปเตรียมตาบอดเองก็แล้วกัน

นี่โดยแรงกรรม โดยที่คนไข้ไม่ได้ตามจองล้างจองผลาญนะ ก็ยังจะต้องไปเจออย่างนี้

ถ้าคนไข้เขาโกรธ เขาพยามบาทตามจองล้างจองผลาญด้วย คุณหมอเอ๊ย… หนักนะ…ฝากไว้แค่นี้

โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)
วันที่
ที่มา
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
บทความหลวงพ่อตอบปัญหา

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *