คำถาม:
หลวงพ่อครับ…ทหารตำรวจ ถ้ามีโอกาสได้บรรพชาอุปสมบท ควรที่จะศึกษาธรรมะข้อใดครับ
คำตอบ:
ไม่ว่า จะเป็นทหาร หรือว่า เป็นใครมาบวชก็ตาม วัตถุประสงค์นั้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะ บวชช่วงสั้น บวชช่วงยาว วัตถุประสงค์จริงๆที่เป็นหลักจะต้องเหมือนกันคือ ทำพระนิพพานให้แจ้ง
ถ้าพูดอย่างนี้…อาจจะมีคนกลัวกิเลสหมดกันบ้าง…อย่าไปกลัว…ทุกคนตั้งแต่เกิดมา มีสิ่งหนึ่งทำความเดือดร้อนให้เรามากเลยตั้งแต่เกิด คือ มีกิเลส หรือเชื้อร้ายๆ ห่อหุ้มใจของเรามา เชื้อร้ายๆตรงนี้ที่ห่อหุ้มใจของเรามานี้ ไม่ใช่เชื้อโรคที่จะเอากล้องส่องได้ แต่ว่า มันเป็นความขุ่นความมัวหมองที่เกิดขึ้นในใจของเรา พร้อมๆกับการเกิดมาด้วยกายมนุษย์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกเชื้อร้ายๆ ในใจของคนว่า กิเลส ปราบกิเลสในใจนี้หมดได้เมื่อไหร่ ก็ไปนิพพานกันเมื่อนั้น หรือปราบทุกข์ได้หมดเมื่อนั้น
เพราะฉะนั้น เวลาบวช จึงมีคำปฏิญาณของพระ…บวชเพื่ออะไร…บวชเพื่อกำจัดทุกข์อันเกิดจากกิเลสให้มันหมดไป แล้วก็ความสุขอย่างยิ่ง คือ พระนิพพานก็จะแจ้งขึ้นมาในใจของเรา
ทีนี้ เมื่อรู้อย่างนี้ว่า บวชเพื่อกำจัดกิเลส แต่ว่าเราเป็นทหาร เราบวชกันในระยะสั้นก็ไม่เป็นไรหรอก เป้าในการบวชเหมือนเดิม แต่พระอาจารย์ที่ลงมาควบคุม ถ้าท่านฉลาดในการอบรม ท่านจะใช้ความรู้พื้นเดิมของทหาร เอามาขยายความในทางธรรม เพราะว่าทหารก็เป็นกำลังกองทัพทางโลก ส่วนพระเป็นกำลังของกองทัพธรรม
ทั้งกองทัพโลก และ กองทัพธรรม มีหลักการที่เหมือนกัน คือ
1.ต้องมีวินัย แต่วินัยของทหาร มีเอาไว้สำหรับสร้างความเข้มแข็งให้ทหาร เพื่อจะเอาไปใช้ปราบศัตรูที่รุกรานประเทศชาติบ้านเมือง วินัยของตำรวจก็มีเอาไว้ปราบปรามโจรผู้ร้าย
คล้ายกัน…วินัยของพระเมื่อบวชมาแล้ว ใช้วินัยเหมือนกัน แล้วใช้อย่างหนักเลย แต่วินัยเพื่อมาปราบกิเลสในใจ
เมื่อบวชแล้วศึกษาพระวินัยให้ดี วินัยของพระนั้น ถ้าศึกษากันอย่างลึกซึ้งแล้ว ยิ่งปฏิบัติตาม ยิ่งชุ่มหัวอกหัวใจไม่เคร่งเครียด
ในขณะที่วินัยทางโลก เช่นวินัยในการรบของทหาร วินัยในการปราบโจรของตำรวจ วินัยเหล่านี้ ยิ่งปฏิบัติตามวินัยมากเท่าไหร่ ค่อนข้างจะเคร่งเครียดสักหน่อย
แต่ว่าเมื่อได้หลักวินัยของสงฆ์ของพระ เข้าไปอยู่ในใจแล้ว มันเข้าใจถึงแก่นของที่มาที่แท้จริงของวินัยทางโลกแล้ว เราจะสามารถประคองตัวประคองใจของเราให้ปฏิบัติหน้าที่ของเราได้เต็มที่แล้วก็ไม่เครียด เพราะอาศัยวินัยสงฆ์ที่ได้ มาประคับประคอง
เพราะฉะนั้น เรื่องแรกที่พระเพิ่งบวชมาจากทหารแล้วบวชจากช่วงสั้นๆอย่างนี้ ควรจะได้รับการปูพื้นอย่างมาก คือ วินัยทางสงฆ์ ซึ่งเอาไปเปรียบกับวินัยทหารว่า วินัยทหารปราบศัตรูภายนอก วินัยของพระปราบศัตรูภายใน คือ กิเลส จับสองเรื่องนี้มาเชื่อมให้ดี
2.ทั้งพระทั้งทหาร ตำรวจ เหมือนกันอีก คือ ต้องมีความเคารพ ขาดความเคารพเสียแล้ว กองทัพทั้งทางโลกทางธรรมตั้งไม่ได้
แต่ว่า ของทหาร ของตำรวจ ความเคารพนั้นมุ่งไปที่ไหน มุ่งไปที่เคารพต่อคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เคารพต่อหน้าที่ในการปราบโจรผู้ร้าย ในการปราบข้าศึกศัตรู แต่ว่าของพระของสงฆ์ เน้นที่สำคัญ…เคารพอะไร…เคารพในพระรัตนตรัยเป็นชีวิตจิตใจอีกเหมือนกัน
และก็อยากจะฝากสักนิดหนึ่ง ความเคารพในพระรัตนตรัย ในพระพุทธ ในพระธรรม พระสงฆ์ มันเป็นเรื่องของการค้นหาคุณความดีที่มีอยู่ในพระพุทธ ที่มีอยู่ในพระธรรม ที่มีอยู่ในพระสงฆ์ ค้นพบแล้วก็ปฏิบัติตามคุณงามความดีนั้นๆ เพื่อวันหนึ่ง เราจะได้ดีตามไปด้วย นี่ก็เป็นเรื่องของความเคารพของพระภิกษุที่มีต่อพระรัตนตรัย
จากหลักการของพระภิกษุตรงนี้ ถ้าหากพระอาจารย์ที่ควบคุมดูแลในการบวช นำมาเชื่อมกับความเคารพที่ทหาร ที่ตำรวจ มีต่อผู้บังคับบัญชา เชื่อมให้ดี แล้วเดี๋ยวจะเห็นว่า มันเป็นเรื่องเดียวกัน
3.เรื่องของทหาร เรื่องของตำรวจ มีอยู่บนพื้นฐานของ ความอดทน เรื่องของพระ เรื่องของนักบวช พื้นฐานก็อันเดียวกันอีกคือ ความอดทนอีกเช่นกัน แต่อย่างกล่าวมาแล้ว ความอดทนของทหารของตำรวจนั้น มักจะกลายเป็นว่า อดทนต่อภารกิจที่จะต้องไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ส่วนความอดทนของพระ เน้นหนักอยู่ที่ ความอดทนต่อ กิเลส ต่อความเย้ายวนต่างๆ
ความรู้เรื่องความอดทนของพระ เมื่อเอาไปเชื่อมกับความรู้เรื่อง ความอดทนที่ตำรวจที่ทหารมี เชื่อมให้ได้ แล้วจะเห็นว่า เส้นทางในการทำความดี เส้นทางในการปราบโจรผู้ร้าย หรือปราบศัตรูที่มารุกรานประเทศนั้น เป็นเส้นทางเดียวกันแต่ว่าคนละระดับ
และแน่นอน ใครจะได้ประโยชน์ตรงนี้มากที่สุด…ก็บอกว่า คนบวชนั่นแหละ ทหารหรือตำรวจที่มาบวชเอง ก็จะได้คุณค่าในการบวชนี้มาก คือ นอกจากได้บุญแล้ว จะได้นิสัยดีติดตัวข้ามภพข้ามชาติไป จะกี่ชาติก็แล้วแต่ ขึ้นอยู่กับความตั้งใจจริง และที่แน่ๆ…กองทัพก็จะได้ทหารดีๆเอาไว้ใช้ ตำรวจก็จะได้ตำรวจดีเอาไว้ใช้ ประชาก็อุ่นใจกันถ้วนหน้านะ
โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)
วันที่
ที่มา
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
บทความหลวงพ่อตอบปัญหา