“จะฝึกคุณธรรมอะไรก็ตาม ต้องฝึกผ่านงาน”
.
ถ้าไม่มีงาน ก็จะไม่ได้ฝึกอะไร แต่ถ้าฝึกผ่านงาน คุณธรรมอะไรที่อยากได้ ก็จะได้หมด
.
แล้วไม่ว่าใครก็ตามที่ฝึกผ่านงาน คุณธรรมสิ่งแรกที่จะได้มาโดยอัตโนมัติเลยคือ สัจจะ หมายถึงทำอะไรต้องดี
.
พอคิดว่าจะเอาดี ความจริงจังจริงใจและความตรงไปตรงมามันจะออกมา จริงคือไม่เล่น ตรงคือไม่คด ไม่มีพิษภัย แท้คือคุณภาพมันได้ สัจจะมันได้ผ่านการทำงานมาแบบนี้
.
แล้วสัจจะในการทำงานนี้จะบังคับต่อให้เราต้องมี ทมะ คือต้องฝึก ไม่ฝึกไม่ได้ พอฝึกแล้วจะรู้ว่าตนเองมีทั้งข้อบกพร่องและข้อเด่น พอพบข้อบกพร่องแล้วจะรู้ตัวว่า เราต้องหยุด เพราะฉะนั้นทมะก็เลยแปลว่าหยุด
.
แล้วไปเจออะไรที่เจ๋งก็ฝึกให้ยิ่งขึ้นไป เมื่อเจ๋งแล้ว อย่าจองหอง อย่าอหังการ ข่มเอาไว้ด้วยว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า
.
จากสัจจะมาทมะ สัจจะคือ จริง ตรง แท้ ส่วนทมะคือ ฝึก หยุด ข่ม แล้วขณะที่ฝึกอยู่นี้เอง หนีไม่พ้นที่ขันติจะต้องมาคือ อดทน
.
ฝึกทนแดดทนฝนนั่นเรื่องเล็ก แต่ที่ต้องฝึกให้มาก คือ ฝึกทนกระทบกระทั่งกับทนกิเลส อันนี้ยากขึ้นมา โดนด่าแล้วไม่โกรธอันนี้ไม่ยาก แต่โดนชมแล้วไม่ยิ้มนี้แหละยาก เพราะโดนชมแล้วยิ้มนี้แหละ เดี๋ยวเหลิง แล้วจะเสียผู้เสียคนไป
.
แล้วพอทำงานเราจะเจอกับเงิน เงินนี้แหละทำให้เสียคนไป ถ้าไม่ทนกิเลส เราก็จะพังกันตรงนี้แหละ ทนคน ทนกิเลส เป็นสิ่งที่เราจะได้จากการทำงาน
.
สุดท้ายต้องมีจาคะคือสละ จาคะทั้งแรงกายและแรงใจ จาคะทั้งทรัพย์ สุดท้ายจาคะอารมณ์ โบราณบอกว่า “เวลาโดนคนชมให้ยิ้มมุมปากเดียว ส่วนอีกมุมปากเก็บเอาไว้เผื่อรับเวลาโดนเขาว่า” แล้วจะได้เฉยๆได้
.
เพราะสละอารมณ์ได้ แล้วสมาธิจะมาเอง สมาธิที่เราได้จะส่งเสริมความมีสัจจะของเรา เป็นวงจรแบบนี้
.
เพราะฉะนั้นอย่าหนีงาน อย่าเลือกงาน
.
7 ก.พ. 2562
โอวาท หลวงพ่อทัตตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)
ที่มา