พระมหากัปปินเถระ
พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ๓ อย่างนี้เท่านั้น สิ่งที่มนุษย์เราควรจะยึดถือเป็นที่พึ่งที่แท้จริงได้คือ เมื่อเราประสบทุกข์เราก็เข้าไปพึ่งท่านได้ พึ่งท่านแล้วจะมีแต่ความสุข มีสติและปัญญาเกิดขึ้น สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงไปได้ และเป็นที่ระลึกอันสูงสุด ควรที่จะระลึกถึงท่านให้ได้อยู่เสมอๆ นึกแล้วจะมีความสุขสดชื่น ใจของเราจะบริสุทธิ์ยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
“ธมฺมปีติ สุขํ เสติ วิปฺปสนฺเนน เจตสา
อริยปฺปเวทิเต ธมฺเม สทา รมติ ปณฺฑิโต
บุคคล ผู้เอิบอิ่มในธรรม มีใจผ่องใส ย่อมอยู่เป็นสุข บัณฑิต ย่อมยินดีในธรรมที่พระอริยเจ้า ประกาศแล้วทุกเมื่อ”
มนุษย์ทุกคนในโลกล้วนแสวงหาความสุขด้วยกันทั้งสิ้น บ้างก็แสวงหาจากการดื่ม จากการกิน จากการเที่ยว หรือจากการได้รับของที่ถูกใจ แต่ความสุขเหล่านั้น เป็นความสุขชั่วคราว ไม่ยั่งยืน เมื่อได้รับแล้วต้องแสวงหากันใหม่อยู่ร่ำไป ถ้าจะเรียกให้ถูก ต้องเรียกว่าเป็นความเพลินมากกว่า แล้วอะไรคือความสุขที่แท้จริง อยู่ที่ไหน มีลักษณะอย่างไรบ้าง
ความสุขที่แท้จริง ต้องเป็นความสุขที่เป็นอมตะ แล้วเป็นความสุขที่เข้าถึงได้ สัมผัสได้ นั่นคือความสุขที่เกิดจากการเข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน เป็นสุขล้วนๆ ที่ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นความสุขที่คู่ไปกับความบริสุทธิ์ จะเข้าถึงความสุขนี้ได้ ด้วยวิธีการทำใจให้หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายเท่านั้น เหมือนอย่างพระมหากัปปินะ เมื่อมีความสุขภายในแล้ว ท่านมักจะอุทานอยู่เสมอๆ ว่า “สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ”
* เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยพุทธกาล มีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า มหากัปปินะ ทุกๆ เช้าพระองค์จะส่งทหารออกไปสืบข่าวว่า ขณะนี้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บังเกิดขึ้นแล้วหรือยัง ทรงทำเช่นนี้อยู่เป็นเวลานาน ก็ยังไม่ทราบคำตอบ
ต่อมาในวันหนึ่ง ขณะที่พระองค์เสด็จประพาสอุทยาน พร้อมกับมหาอำมาตย์หนึ่งพันคน เห็นพ่อค้า ๕๐๐ คนเดินทางผ่านมา จึงตรัสถามว่า “ท่านทั้งหลายเดินทางมาจากที่ไหนล่ะ?” พ่อค้ากราบทูลว่า “ข้าพระองค์มาจากเมืองสาวัตถี ซึ่งอยู่ไกลจากเมืองนี้ ๑๒๐ โยชน์ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสต่อว่า “ในบ้านเมืองของท่าน มีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ดีหรือ พระราชาของพวกท่านตั้งอยู่ในศีลในธรรมดีหรือ”
“บ้านเมืองของข้าพระองค์สมบูรณ์ทุกอย่าง ทั้งพระราชาก็ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม พระเจ้าข้า” พระองค์ทรงถามว่า “แล้วมีเรื่องอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นในประเทศของพวกท่านบ้างล่ะ” พ่อค้ากราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นสมมติเทพ บัดนี้ พุทธรัตนะบังเกิดขึ้นแล้วในประเทศของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า” ทันทีที่พระมหากัปปินะได้ทรงสดับว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ทรงเกิดความปีติแผ่ซ่านไปทั่วพระวรกาย จนมิอาจจะข่มความปีตินั้นได้ จึงตรัสถามซ้ำไปอีกว่า “พวกท่าน กล่าวว่าอะไรนะ ?”
“พวกข้าพระพุทธเจ้ากราบบังคมทูลว่า พุทธรัตนะบังเกิดขึ้นแล้วพระเจ้าข้า” ทรงสดับนิ่งอยู่ครู่หนึ่งด้วยปีติอันแรงกล้า แล้วตรัสถามซ้ำเป็นครั้งที่ ๓ พวกพ่อค้าก็ยืนยันเช่นเดิม พระองค์ทรงเบิกบานพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ทราบข่าวดีนี้ จึงพระราชทานทรัพย์ ๑ แสนเป็นรางวัลแก่พ่อค้า พระราชาได้ตรัสถามต่อไปอีกว่า “มีข่าวดีอะไรเกิดขึ้นอีกบ้างไหม?” พ่อค้ากราบบังคมทูลว่า “มีพระเจ้าข้า พระธรรมได้บังเกิดขึ้นแล้วพระเจ้าข้า”
พระอาการปีติใหญ่หลวงได้เกิดขึ้นอีก ทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตรัสถามยํ้าถึง ๓ ครั้ง พ่อค้าก็ตอบเช่นเดิม ทรงเบิกบานพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงพระราชทานรางวัลให้แก่พ่อค้าอีก ๑ แสน พระองค์ได้ตรัสถามต่ออีกว่า “มีข่าวดีอะไรเกิดขึ้นอีกไหม?” พ่อค้าตอบว่า “มีพระเจ้าข้า พระสงฆ์ได้บังเกิดขึ้นแล้วพระเจ้าข้า” พระองค์ทรงมีปีติแผ่ซ่านไปทั่วพระวรกาย แล้วตรัสถามยํ้าถึง ๓ ครั้ง พระราชาพระราชทานทรัพย์อีก ๑ แสนให้เป็นรางวัล
พระมหากัปปินะตรัสกับเหล่าอำมาตย์ทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลาย บัดนี้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้บังเกิดขึ้นแล้ว เรามิอาจจะครองราชย์ได้อีกต่อไป เราจะออกบวชในวันนี้แหละ” เหล่าอำมาตย์ได้เคยสั่งสมบุญมาร่วมกับพระราชา จึงพากันทูลว่า “ พวกข้าพระองค์จะขอบวชกับพระองค์ด้วย พระเจ้าข้า” แล้วทั้งหมดก็มุ่งตรงไปยังสำนักของพระบรมศาสดาทันที
ในระหว่างทาง พระมหากัปปินะและอำมาตย์พันคน เสด็จมาถึงฝั่งแม่น้ำอารวปัจฉา มีขนาดกว้าง ๒ คาวุต ลึก ๑ คาวุต แม่น้ำเต็มฝั่ง จะหาแพหรือเรือก็ไม่มี พระองค์ดำริว่า “ถ้าจะทรงตระเตรียมเรือแพจะเสียเวลามาก ซึ่งถูกความชรารุกรานอยู่ทุกวินาที นำเราทั้งหลายเข้าไปสู่ความตาย” พระองค์จึงทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า “เราไม่มีความคลางแคลงสงสัยในพระรัตนตรัย และออกบวชอุทิศชีวิตเพื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพุทธรัตนะ ขอแม่น้ำนี้จงเป็นเหมือนแผ่นดินเถิด” ตรัสแล้วทรงควบม้าวิ่งไปบนผิวน้ำพร้อมอำมาตย์พันคน ม้าเหล่านั้นวิ่งไปบนผิวน้ำดุจวิ่งไปบนแผ่นดิน แม้เพียงปลายกีบก็ไม่เปียกน้ำ
เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงแม่น้ำสายที่ ๒ ชื่อ นีลวาหนา ซึ่งมีความกว้างและลึกประมาณครึ่งโยชน์ พระองค์จะหาแพหรือเรือก็ไม่มี พระองค์ดำริถึงการเสียเวลาในการแสวงหา จึงตั้งสัตยาธิษฐานว่า “เราไม่มีความคลางแคลงสงสัยในพระรัตนตรัย และออกบวชอุทิศชีวิตเพื่อพระธรรม ด้วยอานุภาพของธรรมรัตนะ ขอแม่น้ำนี้จงเป็นเหมือนแผ่นดินเถิด” ตรัสแล้วทรงควบม้าไปบนผิวน้ำได้อย่างอัศจรรย์
เมื่อมาถึงแม่น้ำสายที่ ๓ ชื่อ จันทภาคา กว้างและลึกประมาณ ๑ โยชน์ แม่น้ำนั้นเต็มเปี่ยม จะหาแพหรือเรือก็ไม่มี พระองค์ดำริเช่นเดิม และตั้งสัตยาธิษฐาน “ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์” แล้วได้เสด็จไปบนผิวน้ำได้อย่างอัศจรรย์เช่นเดียวกัน
ในเวลาย่ำรุ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลกว่า ผู้มีบุญท่านใดหนอ จะเข้ามาในข่ายพระญาณ ทรงทราบว่าพระมหากัปปินะออกผนวชอุทิศเฉพาะพระองค์ จึงทรงเหาะไปประทับรออยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ ทรงนั่งสมาธิคู้บัลลังก์ แล้วเปล่งฉัพพรรณรังสีไปหาพระราชา จนทำให้บริเวณนั้นมีสีเหลืองทองอร่ามเปล่งปลั่งดั่งทองคำ
พระมหากัปปินะพร้อมอำมาตย์เห็นฉัพพรรณรังสีส่องสว่างนำทาง จึงดำริว่า แสงสว่างนี้ไม่ใช่แสงของดวงจันทร์ ไม่ใช่แสงของดวงอาทิตย์ ไม่ใช่รัศมีของเทวดา พรหม อรูปพรหม จะต้องเป็นแสงแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าแน่นอน ทรงเสด็จตามแสงนั้นไป แล้วน้อมพระวรกายเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอันไพเราะ บริสุทธิ์บริบูรณ์ พร้อมทั้งอรรถะและพยัญชนะ งดงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย โปรดพระราชาและอำมาตย์ทั้งหลาย ทำให้พระมหากัปปินะพร้อมอำมาตย์ มีใจสงบ หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย ได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และได้รับการอุปสมบทจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ฝ่ายพระมเหสีพร้อมด้วยภรรยาของเหล่าอำมาตย์ เมื่อได้ทราบข่าวการบังเกิดขึ้นของพระรัตนตรัยจากพ่อค้าแล้ว ทรงปีติยินดี ได้พระราชทานทรัพย์ถึง ๙ แสน เป็นรางวัลให้แก่พ่อค้าแล้วตรัสว่า “บัดนี้ พระรัตนตรัยบังเกิดขึ้นแล้ว พระราชาทิ้งราชสมบัติให้เรา ทำให้เราเป็นทุกข์ สมบัตินี้อุปมาเหมือนพระเขฬะ หรือน้ำลายที่พระองค์ทรงบ้วนทิ้งแล้ว เราไม่อาจจะรับไว้ได้ เราจะออกบวชเช่นกัน” บรรดาภรรยาอำมาตย์ก็ขอออกบวชตามด้วย แล้วทั้งหมดก็ออกเดินทางไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบด้วยญาณทัสสนะถึงการเสด็จมาของพระมเหสีและภรรยาอำมาตย์ เพื่อให้ใจของทุกคนคลายจากความตื่นเต้น แล้วมีใจสงบพร้อมที่จะรองรับธรรมะอันบริสุทธิ์ได้ จึงทรงแสดงปาฏิหาริย์ด้วยพุทธานุภาพ ไม่ให้พระมเหสีและคณะมองเห็นพระราชาและเหล่าอำมาตย์ เมื่อพระมเหสีพร้อมคณะเสด็จมาถึง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมให้ฟัง ทำให้พระมเหสีและคณะมีใจสงบหยุดนิ่ง เข้าถึงพระรัตนตรัย บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ในขณะเดียวกันพระมหากัปปินะและอำมาตย์หนึ่งพัน ได้ฟังพระธรรมเทศนาซ้ำอีกรอบหนึ่ง จึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่นั้นเอง
พระมหากัปปินะเมื่อเข้าถึงกายธรรมอรหัตแล้ว ไม่ว่าพระองค์จะประทับนั่ง นอน ยืน เดิน หรือจะพำนักใต้โคนไม้ บนกองฟาง หรือที่ใดก็ตาม พระองค์มักจะเปล่งพระอุทานว่า “สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ” อยู่เสมอๆ พระภิกษุทั้งหลายที่ยังเป็นพระปุถุชน หรือเป็นสมมติสงฆ์อยู่ ยังไม่รู้จักความสุขอันประณีตที่เกิดจากการเข้าถึงธรรม ต่างก็คิดว่า พระองค์ยังทรงรำพึงถึงความสุขเมื่อครั้งยังเป็นพระราชาอยู่
พระบรมศาสดาทรงทราบเรื่องนั้น จึงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราไม่ได้เปล่งอุทานถึงความสุขในครั้งที่เคยเสวยราชสมบัติ แต่ว่ามีความสุขจากการได้เข้าถึงธรรมที่บังเกิดขึ้น บัดนี้ เธอได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว” ครั้นตรัสรับรองดังนี้แล้ว จึงตรัสต่อไปว่า
“บุคคลผู้เอิบอิ่มในธรรม มีใจผ่องใส ย่อมนอนเป็นสุข บัณฑิตย่อมยินดีในธรรม ที่พระอริยเจ้าประกาศแล้วทุกเมื่อ”
เราจะเห็นว่า บัณฑิตนักปราชญ์ในกาลก่อน เมื่อทราบการบังเกิดขึ้นของพระรัตนตรัยแล้ว ต่างไม่รอช้า มุ่งที่จะแสวงหาว่า ทำอย่างไรจะได้เข้าถึงพระรัตนตรัย พวกเราก็ควรจะเป็นเช่นนั้น บัดนี้ เรารู้แล้วว่า พระรัตนตรัยอยู่ที่ตรงไหน จะเข้าถึงได้อย่างไร เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวคือ ต้องลงมือปฏิบัติจริงๆ จังๆ หมั่นฝึกใจให้หยุด ให้นิ่ง ให้ได้ทุกๆ วัน ไม่ช้าเมื่อใจหยุดนิ่งได้สนิทดีแล้ว เราทุกคนจะได้พบที่พึ่ง และเข้าถึงความสุขที่แท้จริงภายในเช่นเดียวกัน
* มก. เล่ม ๔ ๑ หน้า ๓๐๔
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/16999
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพุทธสาวก-พุทธสาวิกา
กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน