ศาสดาเอกของโลก (๒) – พุทธประวัติ

ศาสดาเอกของโลก (๒) พุทธประวัติ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้นแบบของยอดนักสร้างบารมี ที่สร้างบารมีในทุกเวลาทุกสถานที่ ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติพระพุทธองค์มุ่งสร้างบารมีโดยไม่มีข้อแม้ ข้ออ้าง และเงื่อนไข เป็นผู้ไม่ว่างเว้นจากการสร้างบารมี เราทั้งหลายผู้เป็นพุทธศาสนิกชน ควรดำเนินชีวิตตามอย่างพระพุทธองค์ ด้วยการสร้างบารมีทุกรูปแบบ และตั้งใจฝึกฝนอบรมใจให้หยุดนิ่ง ให้สะอาดบริสุทธิ์ ให้เข้าถึงพระธรรมกาย เพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เข้าถึงฝั่งแห่งนิพพานอันเป็นเอกันตบรมสุขติดตามพระองค์ไปด้วย

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อัปปมาทวรรค ว่า
“ยาวตา จุนฺทิ สตฺตา อปทา วา ทฺวิปทา วา       จตุปฺปทา
วา พหุปฺปทา วา รูปิโน วา อรูปิโน วา สญฺญิโน วา อสญฺญิโน
วา เนวสญฺญินาสญฺญิโน วา ตถาคโต เตสํ อคฺคมกฺขายติ      อรหํ
สมฺมาสมฺพุทฺโธ ฯ เย โข จุนฺทิ พุทฺเธ ปสนฺนา อคฺเค เต   ปสนฺนา
อคฺเค โข ปน ปสนฺนานํ อคฺโค วิปาโก โหติ

ดูก่อนจุนที สัตว์ที่ไม่มีเท้าก็ดี มี ๒ เท้าก็ดี มี ๔ เท้าก็ดี มีเท้ามากก็ดี มีรูปก็ดี ไม่มีรูปก็ดี มีสัญญาก็ดี ไม่มีสัญญาก็ดี มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ก็ดี มีประมาณเท่าใด  พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสัตว์เหล่านั้น  ชนเหล่าใดเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ชนเหล่านั้นชื่อว่า เลื่อมใสในสิ่งที่เลิศ ก็วิบากอันเลิศย่อมมีแก่บุคคลผู้ที่เลื่อมใสในสิ่งที่เลิศ”

การที่พวกเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา มีจิตเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย เลื่อมใสพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นเอกบุรุษในโลก แล้วยึดพระพุทธองค์เป็นแบบอย่างในการสร้างบารมี นับว่าพวกเราเป็นผู้มีบุญลาภอันประเสริฐ เกิดมาชาตินี้ถือว่าเป็นชีวิตที่มีสาระแก่นสาร มีชีวิตไม่ว่างเปล่าจากกุศลความดี เกิดมาเพื่อสั่งสมบุญบารมีอย่างแท้จริง ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นได้ยาก บุคคใดที่มีความเลื่อมใสเช่นนี้ แสดงว่าบุคคลนั้นได้สั่งสมบุญเก่ามาดี ได้เคยพบเห็นหรือผ่านพระพุทธเจ้ามานับภพนับชาติไม่ถ้วน จึงทำให้รู้ซึ้งถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์

สมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์นั้น ท่านได้เกิดเป็นเกือบทุกอย่าง เวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏเหมือนพวกเราทุกคน แต่ใจท่านมุ่งแสวงหาทางหลุดพ้นอย่างเดียว ใจของท่านไม่เหมือนคนธรรมดาที่มัวข้องเกี่ยวอยู่ในกามคุณ ๕ ยินดีในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันไม่จีรังยั่งยืน บางภพบางชาติท่านพลัดไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แต่ชาติกำเนิดก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างบารมีของท่านแต่อย่างใด

แม้บางชาติพลั้งพลาดไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ท่านก็เป็นช้างอาชาไนย ม้าอาชาไนย เป็นกระต่ายก็เป็นกระต่ายน้อยโพธิสัตว์ เป็นโคก็เป็นโคเจ้าปัญญาไม่ทำให้เจ้าของเดือดร้อน ช่วยเหลือเจ้าของพ้นจากความทุกข์ยากลำบาก บางชาติไปเกิดเป็นพญานาคราช ครองนาคพิภพที่มีสมบัติทิพย์ มีนางนาคมาณวิกามากมายคอยปรนนิบัติรับใช้ เป็นพญานาคภูริทัตบ้าง เป็นจัมเปยยนาคราชบ้าง แต่ท่านเห็นว่าสมบัติอันเป็นทิพย์เหล่านี้ ไม่เที่ยงแท้ ไม่ช้าท่านต้องละทิ้งไป ท่านจึงตั้งใจรักษาอุโบสถศีลเพื่อจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะรู้ว่าอัตภาพของมนุษย์เหมาะสมต่อการสร้างบารมีมากที่สุด

เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านเป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ เป็นมโหสถบัณฑิตผู้ฉลาดในการตัดสินคดี เป็นพระเตมีย์ผู้เห็นทุกข์เห็นโทษในการครองเรือน ไม่ยินดีในราชสมบัติ มุ่งออกบวชเพื่อแสวงหาโมกขธรรมเพียงอย่างเดียว เป็นพระมหาชนกผู้มีความเพียรอันยิ่งยวด เป็นสุวรรณสามผู้มีเมตตา อีกทั้งเป็นลูกยอดกตัญญูเลี้ยงดูบิดามารดาผู้ตาบอด เป็นพระเจ้าเนมิราชผู้สอนมหาชนให้ยินดีในการทำทาน จนมหาชนได้ไปบังเกิดในสวรรค์นับไม่ถ้วน แม้ไปบังเกิดเป็นมหาพรหมนารทะ ท่านก็ไม่มัวยินดีในสุขที่เกิดจากฌานสมาบัติ ได้สร้างบารมีด้วยการลงมาเปลื้องมิจฉาทิฏฐิของพระราชาและชาวเมือง จนมีสุคติสวรรค์เป็นที่ไปกันถ้วนหน้า

ภพชาติสุดท้าย พระองค์ได้ถือกำเนิดเป็นพระเวสสันดรผู้บำเพ็ญทานบารมี ทันทีที่คลอดออกจากพระครรภ์ของพระมารดา ท่านแบมืออ้าปากถามพระมารดาเลยว่า” เสด็จแม่มีสมบัติอะไรให้ลูกได้บริจาคบ้างไหม”  เมื่อเติบโตขึ้น ตั้งแต่รู้ความก็ทรงทำทานเรื่อยมา ทรงบริจาคม้ามงคล ช้างมงคล จนกระทั่งถูกขับไล่ออกจากพระราชวัง พระองค์ก็ไม่ทรงหวั่นไหวเสด็จออกไปอยู่ป่าบำเพ็ญภาวนา ยังมีพราหมณ์ชูชกตามมาเพิ่มบารมีให้กับพระองค์อีก ด้วยการขอพระกุมารทั้งสอง คือ กัณหาและชาลี พระองค์ทรงบริจาคให้ไปแม้จะทรงรักลูกทั้งสองปานดวงตาดวงใจ แต่ทรงรักสัพพัญญุตญาณมากกว่า มหาทานบารมีที่พระองค์ทรงบริจาคนั้น แผ่นดินถึงกับสะเทือนเลื่อนลั่นแซ่ซ้องสาธุการไปทั่วภพสาม

เมื่อละจากอัตภาพนั้น ท่านได้ไปบังเกิดเป็นท้าวสันดุสิตเทวราช เป็นจอมเทพในสวรรค์ชั้นดุสิต เสวยสุขในทิพยสมบัติเป็นเวลานาน คอยโอกาสแห่งการตรัสรู้ธรรมอยู่บนสวรรค์ การมาบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้าของพระองค์นั้น ไม่ได้ลงมาอย่างไม่มีใครรู้เห็น ท่านลงมาด้วยการเชื้อเชิญของเหล่ากายทิพย์ทั้งหลาย ชาวสวรรค์ ๖ ชั้น พรหมชั้นต่างๆ มาประชุมพร้อมกัน แล้วพากันไปอาราธนาท่านให้ลงมาบังเกิดว่า

“ข้าแต่พระมหาวีระ บัดนี้เป็นเวลาอันสมควรแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดอุบัติในพระครรภ์ของพระมารดา เพื่อตรัสรู้อมตธรรม ช่วยทำให้โลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามทางอันกันดารในสังสารวัฏด้วยเถิด” พระองค์ได้ตรวจดูแล้ว เห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมต่อการมาอุบัติ จึงตรวจดูสถานที่ที่จะมาอุบัติ ซึ่งเราเรียกว่า มหาวิโลกนะ

ผู้มีบุญบารมีมาก เวลาจะเกิดท่านเลือกเกิดเองได้ ท่านตรวจดูว่าโลกมนุษย์เหมาะสมจะเป็นสถานที่รองรับท่านได้ไหม พระมหาสัตว์ทรงตรวจดูกาลเวลาว่า ถึงเวลาหรือยัง ถ้ามนุษย์มีอายุเกิน ๑๐๐,๐๐๐ ปี ท่านจะไม่อุบัติ เพราะมนุษย์พิจารณาไตรลักษณ์ คือความไม่เที่ยงของสังขารไม่ออก เพราะอายุยืนเกินไป เกิดมาเป็นหมื่นๆ ปีแล้ว ไม่เห็นแก่หรือเจ็บป่วยเลย จึงตรองตามพระธรรมไม่ไดั  เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา สรรพสัตว์ก็จะไม่เข้าใจ ทำให้หาผู้ตรัสรู้ธรรมตามพระองค์ได้ยาก

หากเป็นยุคสมัยที่มนุษย์มีอายุถอยลงไปต่ำกว่า ๑๐๐ ปี ก็ไม่ใช่เวลามาอุบัติเช่นกัน เพราะหมู่สัตว์มีกิเลสหนาปัญญาหยาบเกินไป คำสอนที่พระองค์ทรงแสดงจะเป็นเหมือนไม้ที่ขีดลงไปในน้ำ น้ำแยกออกจากกันแล้วก็เชื่อมกันเช่นเดิม ทำให้ไม่มีผู้ตรัสรู้ธรรมตามพระองค์ได้   เพราะฉะนั้น กาลสมัยที่มนุษย์มีอายุต่ำกว่า ๑๐๐,๐๐๐ ปีลงมาถึง ๑๐๐ ปี จึงชื่อว่าเป็นกาลที่สมควร

จากนั้นพระองค์ตรวจดูทวีป ทรงเล็งเห็นทวีปทั้ง ๔ คือ อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหะ อปรโคยาน และชมพูทวีปพร้อมด้วยทวีปบริวาร ทรงเห็นว่าใน ๓ ทวีป พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่บังเกิด จะบังเกิดในชมพูทวีปแห่งเดียวเท่านั้น จากนั้นทรงตรวจดูประเทศต่อไปว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายบังเกิดในประเทศไหนหนอ ทรงเห็นมัชฌิมประเทศ  คือประเทศอินเดียในปัจจุบัน เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระเจ้าจักรพรรดิ  พระราชามหากษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี ผู้มีศักดิ์ใหญ่มาบังเกิด

พระมหาสัตว์ตรวจดูตระกูล ทรงเห็นว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าจะบังเกิดในตระกูลที่ชาวโลกยกย่อง ซึ่งปัจจุบันตระกูลกษัตริย์ เป็นตระกูลที่ชาวโลกยกย่องว่าประเสริฐที่สุด  เมื่อตรวจดูมารดา ทรงเห็นว่า ธรรมดาพระพุทธมารดาไม่เป็นหญิงเหลาะแหละ บำเพ็ญบารมีมาแล้วถึง ๑๐๐,๐๐๐ กัป รักษาศีล ๕ ไม่ขาดตั้งแต่เกิด พระนางสิริมหามายาเป็นผู้สมควรเป็นมารดาของพระองค์

เมื่อพระองค์ทรงตรวจตราจนครบทั้ง ๕ ประการ คือ กาล ทวีป ประเทศ ตระกูลและพระมารดาแล้ว จึงตัดสินพระทัยจุติมาบังเกิดในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายาในศากยราชตระกูล แม้อยู่ในพระครรภ์ พระองค์ก็มีสติสัมปชัญญะแจ่มใส อยู่ในอิริยาบถนั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์เพียงอิริยาบถเดียว นี่คือความมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าของเรา โดยเฉพาะในขณะที่พระองค์ประสูติ หมื่นโลกธาตุหวั่นไหวสะเทือนเลื่อนลั่น รัศมีแผ่ไปในหมื่นจักรวาล คนตาบอดแต่กำเนิดกลับได้จักษุ คนหูหนวกก็ได้ยินเสียง คนใบ้ก็พูดเจรจาได้ คนค่อมก็เดินหลังตรงได้ คนง่อยกลับเดินได้ตามปกติ ไฟในนรกทั้งหมดก็ดับลง สัตว์นรกพ้นจากการถูกทัณฑกรรมชั่วคราวกันเลยทีเดียว

เรื่องราวการอุบัติขึ้นของพระพุทธองค์ดูเหมือนจะมาพร้อมๆกับปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องราวที่มหัศจรรย์เหลือวิสัยของมนุษย์ธรรมดา เหลือเชื่อแต่ก็เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ เมื่อเข้าถึงพระธรรมกาย เพราะพระองค์ได้สั่งสมบุญบารมีไว้มาก บารมีเต็มเปี่ยมล้นปรี่พร้อมที่จะเข้าถึงธรรมอยู่แล้ว จึงเป็นบุคคลผู้มีอานุภาพ จะหามนุษย์และเทวาผู้ยิ่งกว่าหรือเสมอเหมือนก็ไม่มี วันวิสาขบูชาจึงเป็นวันสำคัญที่เหล่าพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ควรหาโอกาสเอาวันอันเป็นสิริมงคลนี้ ตรึกระลึกนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ ด้วยการทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนา ฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง เพื่อน้อมถวายเป็นปฏิบัติบูชาแด่พระบรมศาสดาของเรา เราจะได้บุญใหญ่ที่เกิดจากการบูชาบุคคลที่ควรบูชา ทำให้มีสุคติสวรรค์เป็นที่ไป

*พุทธประวัติ เล่ม ๑ (หลักสูตรนักธรรมตรี)

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/9359
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับศาสดาเอกของโลก

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

1 thought on “ศาสดาเอกของโลก (๒) – พุทธประวัติ”

  1. น้อมกราบสาธุ สาธุ สาธุครับ
    🏵️🌼🌺🌸💮🌸🌺🌼🏵️

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *