ลักษณะมหาบุรุษ ( ๓)
เวลาธรรมกาย เป็นเวลาที่ทรงคุณค่าที่ทุกท่านจะได้เจริญสมาธิภาวนาร่วมกัน เพื่อกลั่นกาย วาจา ใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส จะได้เป็นพลวปัจจัยให้ได้เข้าถึงพระรัตนตรัย คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะและสังฆรัตนะ หากทุกๆ คนในโลกได้เข้าถึงสรณะอันสูงสุดนี้เมื่อใด ความทุกข์ทั้งหลายจะหมดสิ้นไป จะเข้าถึงความสุขที่แท้จริงที่ท่านเรียกว่า “เอกันตบรมสุข” คือ ความสุขล้วนๆ ที่ไม่มีทุกข์เจือปน ซึ่งชีวิตของทุกคนที่เกิดมา ล้วนเพื่อแสวงหาความสุขที่แท้จริง ความสุขชนิดนี้มีอยู่ภายในตัวของเราเอง ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ด้วยการฝึกใจให้หยุดนิ่งนั่นเอง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ในลักขณสูตร ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งตถาคตเป็นมนุษย์ในภพชาติก่อน เป็นผู้ไม่มีความโกรธ ไม่มีความแค้นใจ แม้คนหมู่มากจะว่าเอา ก็ไม่ขัดใจ ไม่โกรธ ไม่พยาบาท ไม่จองเวร ไม่ทำความโกรธ ความขัดข้องหมองใจ และความเสียใจให้ปรากฏ และเป็นผู้ให้เครื่องปูลาดมีเนื้อละเอียดอ่อน ให้ผ้าสำหรับนุ่งห่มที่มีเนื้อละเอียด ทำให้ได้มาซึ่งมหาปุริสลักษณะนี้คือ มีฉวีวรรณดั่งทองคำ มีผิวเนียนละเอียด”
ปัจจุบันเทคโนโลยีสมัยใหม่เกิดขึ้นมากมาย มีการผลิตอุปกรณ์เสริมสวยเพื่อเพิ่มพูนความงาม ความเปล่งปลั่งของผิวพรรณ มีการทำศัลยกรรมให้ดูดีขึ้น ลบริ้วรอยบนใบหน้า ซึ่งผู้บริโภคต่างยอมลงทุนเสียเงินเสียทอง ตัด เสริม เติม แต่ง จนดูเหมือนจะไม่ยอมแก่ หลายๆ ท่านได้สูญเสียเวลากับเรื่องเสริมแต่งร่างกาย เพื่อจะได้เป็นที่ดึงดูดตาดึงดูดใจของผู้พบเห็น บ้างก็ไปหาซื้ออาหารหรือยาบำรุงราคาแพงๆ เพื่อรักษาสรีรยนต์นี้ให้ดูอ่อนกว่าวัยและสวยงามเสมอ
พระบรมศาสดาทรงให้ข้อสังเกตเรื่องสรีรยนต์ของพระองค์เองว่า ที่ได้ลักษณะมหาบุรุษครบถ้วน ๓๒ ประการ พร้อมอนุพยัญชนะอีก ๘๐ ตั้งแต่เกิด เพราะอาศัยกำลังบุญ นั่นคือ เกิดจากการสั่งสมบุญในอดีตล้วนๆ ไม่ต้องมีการเสริมความงามใดๆ ทั้งสิ้น พระองค์ไม่เสียเวลากับสิ่งไร้สาระ แต่ทรงนำเวลาที่มีอยู่ทั้งหมดมาสร้างความดีให้บังเกิดขึ้นแก่โลก แนะนำพร่ำสอนสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะอย่างเดียวเท่านั้น
ดังเช่นสมัยแรกๆ ที่ยังทรงบำเพ็ญบารมีนั้น พระองค์เป็นผู้หวังความร่มเย็นเป็นสุข ปรารถนาจะให้ชาวโลกอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข พระองค์ทรงคิดแต่เรื่องที่ดี ว่า ทำอย่างไรมหาชนจะเป็นผู้เจริญด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ มีดวงปัญญาสว่างไสว มีธรรมะเป็นอาภรณ์ประดับกาย พรั่งพร้อมไปด้วยญาติมิตรและบริวาร เมื่อคิดเช่นนั้น พระองค์ทรงลงมือปฏิบัติทันที ตนเองมีความรู้เท่าไร ก็คอยแนะนำพร่ำสอนให้คนอื่นเป็นคนดีตามไปด้วย แต่ละภพแต่ละชาติทรงแนะนำเส้นทางบุญให้กับมหาชน ทำให้ได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์นับไม่ถ้วน ครั้นมาภพชาตินี้ ท่านจึงได้มหาปุริสลักษณะ ๓ อย่าง คือ มีพระวรกายส่วนพระอุระเหมือนกึ่งกายด้านหน้าของราชสีห์ มหาปุริสลักษณะข้อนี้สรุปโดยรวมหมายถึงอกผายไหล่ผึ่งและระหว่างพระปฤษฎางค์ คือ ด้านหลังของพระองค์เต็มไม่มีส่วนเว้าแหว่ง มีลำพระศอกลมเสมอกัน
เราจะเห็นว่า พระองค์ไม่ได้เสริมสวยเลย แต่ลักษณะที่ดีเช่นนี้เกิดขึ้นมาเองด้วยอานุภาพบุญล้วนๆ แล้วผู้ที่ได้ลักษณะนี้ หมายถึงว่าจะเป็นผู้ไม่เสื่อมจากทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นญาติมิตรพวกพ้องบริวาร ถ้าออกบวช จะเป็นผู้มีความไม่เสื่อมเป็นธรรมดา คือ ไม่เสื่อมจากศรัทธา ไม่เสื่อมจากศีล ไม่เสื่อมจากสุตะ มีความจำเป็นเลิศ สามารถรู้แจ้งแทงตลอดในคำสอนของครูอาจารย์ ทำให้เป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด แตกฉานทั้งทางโลกและทางธรรม บางครั้งเพียงแค่ดูรูปร่างลักษณะ ก็บ่งบอกถึงความเป็นผู้มีสง่าราศี เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความเจริญในชีวิตได้เหมือนกัน
นอกจากนี้ พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า “ตถาคตไม่ถลึงตาดู ไม่ค้อนตาดู ไม่ชำเลืองตาดู เป็นผู้มองตรงๆ และมีใจซื่อตรงเป็นปรกติ มองดูมหาชนด้วยนัยน์ตาที่บ่งบอกถึงความจริงใจ ประกอบด้วยความเมตตาปรารถนาดี มาในภพชาตินี้ทำให้ได้ลักษณะมหาบุรุษ ๒ ประการ คือ มีพระเนตรสีดำสนิท มีดวงพระเนตรบริสุทธิ์ดุจตาลูกโค” ส่วนดวงตาของคนในยุคปัจจุบัน เราจะเห็นว่าแตกต่างกันตามเชื้อชาติ บ้างก็สีฟ้า สีน้ำตาล แต่ลักษณะของดวงตามหาบุรุษ เป็นดวงตาที่พิเศษ สวยเป็นประกาย มองเห็นได้ไกล ใครมองตาแล้ว จะบังเกิดความซาบซึ้งปีติเบิกบานใจ ทำให้พระองค์เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา นาค ยักษ์ ครุฑ คนธรรพ์ ต้องมานอบน้อมพระองค์ด้วยจิตที่เลื่อมใส
ฉะนั้น ใครอยากได้ดวงตาที่สวยงาม ต้องหัดมองผู้อื่นด้วยดวงใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตาปรารถนาดี ฝึกมองตรงๆ ไม่ถลึงตาหรือทำตาค้อนใส่คนอื่น เพราะดวงตาบ่งบอกถึงความในใจ อันที่จริงเราต่างมีดวงใจที่ใสสว่าง มีเมตตาธรรมอยู่ในใจ ควรฝึกเป็นผู้มีดวงตาที่ประกอบด้วยเมตตา อย่าไปเหล่ตาใส่ใคร หรือมองผู้อื่นด้วยสายตาที่ดูถูกดูหมิ่น ทำให้คนอื่นไม่พอใจ อย่าไปทำอย่างนั้น
ลักษณะมหาบุรุษอีกประการหนึ่ง ที่หาดูชมได้ยากมาก นั่นคือ มีพระอุณาโลมบังเกิดขึ้นในระหว่างคิ้ว ซึ่งเป็นขนอ่อนมีสีขาวอ่อนนุ่มเหมือนปุยนุ่น ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีใครได้ลักษณะเช่นนี้ ที่พระองค์ได้มาเพราะพูดแต่คำจริง มีวาจาสัตย์ มีวาจาไม่เป็นสอง เว้นคำพูดเหลวไหล ทำให้ได้ลักษณะที่หาดูได้ยากในโลก ปกติของรูขุมขนของมนุษย์ บางขุมจะก็มีเส้นขนเกิดขึ้นสองเส้นบ้าง เกิดขึ้นหลายเส้นติดๆ กันบ้าง หรือบางแห่งก็ไม่เกิดขึ้น แต่ลักษณะมหาบุรุษจะเกิดขึ้นขุมละเส้นและเป็นเส้นขนที่ละเอียด ผิวของท่านก็ละเอียดเนียนนุ่ม ฝุ่นละอองไม่เกาะติด เหมือนใจของพระองค์ที่ละออง คือ ธุลีกิเลส ไม่อาจเกาะติดอยู่ได้ฉะนั้น
พระพุทธองค์ทรงเว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังความข้างนี้แล้วไปบอกข้างโน้น ให้เขาเกิดความบาดหมางกัน ทรงเว้นขาดจากการพูดยั่วยุให้เขาแตกแยกกัน แต่จะสนับสนุนให้ทุกคนมีความรักและสามัคคี ทรงยินดีในความพร้อมเพรียง ทั้งกล่าวแต่คำที่ทำให้ทุกคนพร้อมเพรียงกัน อานิสงส์นี้ ทำให้มีพระทนต์ ๔๐ องค์ และพระทนต์ไม่ห่าง เรียงชิดติดกันสวยงาม ทำให้เคี้ยวอาหารได้ละเอียด ฟันไม่โยก ไม่คลอน แม้จะมีอายุมาก ฟันก็ไม่หลุดจากปาก แม้เพียงองค์เดียว
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระชิวหาใหญ่ มีพระสุรเสียงไพเราะ ทุกครั้งที่ตรัสวาจา จะมีพระสุรเสียงน่าฟังดุจเสียงนกการเวก ทำให้แม้ผู้ฟังได้ฟังหลายครั้งก็ไม่อิ่มไม่เบื่อ ฟังแล้วก็อยากฟังอีก ฟังแล้วเกิดกำลังใจอยากจะปฏิบัติตาม และได้บรรลุธรรมตามพระองค์กันมากมาย ทั้งมนุษย์ อมนุษย์ หรือเทวดา พรหม อรูปพรหม เมื่อฟังแล้วต่างปลื้มใจที่ได้ยินพระ สุรเสียงอันไพเราะของพระบรมศาสดา ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระองค์ทรงละคำหยาบ กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ เป็นสุภาษิตไพเราะเสนาะโสต ชวนให้อยากทำความดีเสมอ ดังนั้น สิ่งใดที่ทำบ่อยๆ พูดบ่อยๆ ย่อมเป็นผังสำเร็จติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายของเรา เมื่อบุญนั้นส่งผล จะทำให้ได้ลักษณะที่พิเศษกว่าใครๆ
การที่พระองค์มีพระทนต์มากถึง ๔๐ องค์ มีพระหนุ คือ คางเหมือนคางราชสีห์ ทำให้เป็นผู้มีความสง่างามน่าเกรงขาม ราชสีห์เป็นราชาแห่งสัตว์ ๔ เท้า เป็นสัญลักษณ์ว่า ไม่มีผู้ใดครอบงำบังคับบัญชาพระองค์ได้ เมื่อออกบวชแล้ว มารทั้งหลายจะมาบังคับบัญชาพระองค์ไม่ได้เช่นกัน ที่พระองค์ได้ลักษณะเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะเหตุบังเอิญ แต่เป็นเพราะพระองค์ละการพูดเพ้อเจ้อ พูดถูกกาลเทศะ พูดอิงอรรถและธรรม เป็นวาจามีหลักฐาน เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟัง
เราจะเห็นได้ว่า คุณสมบัติต่างๆ ที่พระองค์ได้มานั้น ไม่ใช่เพราะสวรรค์ลิขิตหรือพรหมลิขิต แต่เกิดขึ้นเพราะบุญบันดาลอันเกิดจากการประกอบเหตุไว้ดีแล้วทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ก่อเกิดมาเป็นรูปกาย ไม่ว่าจะเป็นกายมนุษย์หรือสัตว์เดียรัจฉาน เกิดจากการปรุงแต่งของบุญและบาปทั้งสิ้น ถ้าเรามีบุญมากย่อมได้อัตภาพเป็นมนุษย์ แต่ถ้าปรารถนาให้ได้รูปสมบัติที่ดียิ่งๆขึ้นไป เหมือนกายมหาบุรุษ ต้องรู้จักประกอบเหตุเหมือนพระบรมศาสดาของเรา
โดยเฉพาะเราเป็นผู้นำบุญยอดนักสร้างบารมี ผู้มีจิตใจงดงาม เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ทำหน้าที่ผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตร ใช้ปิยวาจา วาจาอันเป็นที่รักเป็นสิริมงคลของเรา แนะนำให้ชาวโลกได้รู้จักการสั่งสมบุญ ไปชี้เส้นทางบุญบอกทางสวรรค์นิพพานให้เขาเปิดบ้านกัลยาณมิตร ชักชวนกันมาสวดมนต์นั่งสมาธิเจริญภาวนา และชักชวนกันมาวัด มาสั่งสมบุญร่วมกันเป็นหมู่คณะ สิ่งที่เราได้ทำไปและกำลังทำ คือ บุญของเราที่จะเป็นเหตุให้เราได้ลักษณะมหาบุรุษ ท่านหญิงจะได้ลักษณะเบญจกัลยาณีเหมือนมหาอุบาสิกาวิสาขา ท่านชายจะได้กายมหาบุรุษ ดังนั้น ให้หมั่นสั่งสมบุญ อย่าได้ว่างเว้นจากการสร้างความดี ไปทำหน้าที่ผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตรเป็นแสงสว่างแก่โลกให้เต็มที่กันทุกๆ คน
*มก.ลักขณสูตร เล่ม ๑๖ หน้า ๒๖
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/9896
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับศาสดาเอกของโลก
กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน