ชีวิตในสังสารวัฏ

ชีวิตในสังสารวัฏ

ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป เราจะได้ให้โอกาสแก่ตัวของเราเอง ในการศึกษาความเป็นจริงของชีวิต และเพื่อเพิ่มเติมสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดให้กับชีวิตของเรา ด้วยการศึกษาพระสัทธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมกับการปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน ชีวิตจะได้ประสบแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรือง การศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทำให้จิตใจของเราผ่องใส เมื่อใจผ่องใสไม่เศร้าหมอง ชีวิตของเราจะมีความสุข รู้สึกโปร่งเบาสบาย มีความสดชื่นเบิกบาน คลายจากความเหน็ดเหนื่อยที่ได้ตรากตรำมาทั้งวัน กำลังใจของเราจะเพิ่มพูนขึ้น เป็นกำลังใจที่พร้อมจะต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ดังนั้นให้เราทั้งหลายหมั่นตระหนักเสมอว่า  การเจริญสมาธิภาวนาคือกรณียกิจที่สำคัญที่จะต้องปฏิบัติให้ได้ทุกวัน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปฐมวัชชีสูตร ว่า
“จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ    ยถาภูตมทสฺสนา
สํสริตํ ทีฆมทฺธานํ    ตาสุ ตาเสฺวว ชาติสุ ฯ
ยานิ เอตานิ ทิฏฺฐา    ภวเนตฺติ สมูหตา
อุจฺฉินฺนํ มูลํ ทุกฺขสฺส    นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว

เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามเป็นจริง เราและเธอทั้งหลายได้ท่องเที่ยวไปในชาตินั้นๆ ตลอดกาลนาน อริยสัจ ๔ เหล่านี้ เราและเธอทั้งหลายเห็นแล้ว ตัณหาที่จะนำไปสู่ภพถอนขึ้นได้แล้ว มูลแห่งทุกข์ตัดขาดแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี”

สังสารวัฏ คือการเวียนว่ายตายเกิดที่วนเวียนไปมาอยู่ในภพทั้ง ๓ ในกำเนิดทั้ง ๔  คติ ๕  วิญญาณฐิติ ๗  หรือสัตตาวาสทั้ง ๙  จากที่นี่ไปที่นั่น จากที่นั่นมาที่นี่ วนเวียนไปตามกำลังบุญและบาปที่ตัวเองได้ทำเอาไว้  พวกเราอาจสงสัยในคำศัพท์ต่างๆ ที่หลวงพ่อได้ยกขึ้นมา เช่นภพ ๓ คือกามภพ รูปภพ และอรูปภพ อันนี้เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะฟังจนคุ้นหู ส่วนกำเนิด ๔  ก็มีตั้งแต่สัตว์ที่เกิดในครรภ์ของมารดา เรียกว่า ชลาพุชะ เช่น มนุษย์ ช้าง ม้า เป็นต้น สัตว์ที่ถือกำเนิดในไข่ เรียกว่าอัณฑชะ เช่น นก ปลา เป็ด ไก่ เป็นต้น สัตว์ที่เกิดในเหงื่อไคลของหมักหมม เรียกว่า สังเสทชะ และโอปปาติกะ คือสัตว์ที่เกิดผุดขึ้นแบบเกิดปุ๊บก็โตทันที ด้วยอานุภาพบุญและบาป ดังเช่น เทวดา พรหม อรูปพรหม และสัตว์นรก เปรต อสุรกาย

คติ ๕ หมายถึง ที่ไปของสรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีคติไม่แน่นอน บ้างก็ไปนรก บ้างก็กำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน บ้างก็เกิดเป็นเปตติวิสัย คือคติของพวกเปรตและอสุรกาย บ้างก็ไปเกิดเป็นมนุษย์ และคติที่สูงไปกว่านั้นคือเหล่าเทวดา ซึ่งหมายรวมเอาทั้งที่เป็นพรหมและอรูปพรหม ที่ไปของสัตว์ที่ยังอยู่ในวัฏฏะมี ๕ อย่างเท่านี้ ไม่ยิ่งไปกว่านี้ สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังเวียนวนอยู่ในสังสารวัฏนี้จึงเหมือนถูกขังอยู่ในคุกขนาดใหญ่ ท่านอุปมาว่า เป็นเหมือนเชลยศึกที่ถูกจองจำ เป็นประดุจโคงานที่เขาเทียมไว้หรือเป็นดุจวัวที่ผูกหลักเอาไว้

การที่มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายต้องเสวยสุขและทุกข์คลุกเคล้ากันไปเช่นนี้ ก็เพราะมนุษย์ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ไม่รู้ว่าทุกข์ซึ่งเป็นความจริงอันประเสริฐมีอะไรบ้าง เมื่อพิจารณาเห็นทุกข์แล้ว ก็ต้องสาวย้อนไปหาเหตุที่มาของความทุกข์ว่าเกิดจากอะไร และจะดับทุกข์นั้นได้ด้วยวิธีการใด เมื่อไม่รู้ที่มาของความทุกข์ ก็ย่อมไม่รู้หนทางที่จะนำไปสู่การดับทุกข์ได้ เมื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่สามารถกำหนดรู้อริยสัจเหล่านี้ จึงไม่สามารถหลุดจากวงจรของสังสารวัฏเหล่านี้ไปได้

* เหมือนดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เคยตรัสกับพระสารีบุตรเอาไว้ว่า “ดูก่อนสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะและทิฏฐิอย่างนี้ว่า ความหมดจดย่อมมีได้ด้วยสังสารวัฏ ดูก่อนสารีบุตร ก็สังสารวัฏที่เราไม่เคยท่องเที่ยวไปโดยกาลยืดยาวช้านานนี้ เว้นแต่ชั้นปัญจสุทธาวาส เป็นสิ่งที่หาไม่ได้ง่ายนัก” ที่ทรงตรัสว่าเว้นปัญจสุทธาวาส เพราะว่าเป็นภูมิที่อุบัติของพระอนาคามีบุคคลเท่านั้น เพราะฉะนั้น บรรดาภูมิ ๓๑ ภูมิที่พรรณนามาทั้งหมดนี้ ยกเว้นปัญจสุทธาวาส นอกนั้นยังเป็นที่อุบัติและเป็นที่ตายของสัตว์ทั้งหลาย ท่านจึงเรียกอาการที่เวียนว่ายตายเกิดนี้ว่า วัฏสงสาร ซึ่งจำแนกเป็น ๓ ประเภทใหญ่ๆ เพื่อจำกันง่ายๆ คือ

ตั้งแต่ เหฏฐิมสงสาร เป็นการท่องเที่ยวไปในโลกเบื้องต่ำซึ่งมีอยู่ ๔ โลกด้วยกัน ได้แก่ นิรยภูมิ คือโลกนรก ซึ่งมีทั้งมหานรก อุสสทนรกและยมโลกนรก เปตติวิสัยภูมิ เป็นโลกของเปรต อสุรกายภูมิเป็นโลกอสุรกาย และเดรัจฉานภูมิ คือโลกของสัตว์เดรัจฉาน

มัชฌิมสงสาร คือการท่องเที่ยวไปในโลกชั้นกลาง มีอยู่ ๗ โลก คือ มนุสสภูมิ หมายถึง โลกมนุษย์ และสวรรค์ ๖ ชั้น คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตดี

อุปริมสงสาร คือการท่องเที่ยวอยู่ในโลกเบื้องสูง มีอยู่ ๒๐ แห่ง คือ พรหมปาริสัชชา พรหมปุโรหิตา มหาพรหมา ปริตตาภา อัปปมาณาภา อาภัสสรา ปริตตสุภา อัปปมาณสุภา สุภกิณหา เวหัปผลา อสัญญีสัตตา อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และอกนิษฐภูมิ ทั้ง ๑๖ ภูมินี้ เป็นรูปภูมิหรือรูปภพ คือเป็นที่อยู่ของพรหมผู้ได้บรรลุรูปฌานสมาบัติ ตั้งแต่ปฐมฌานจนถึงจตุตถฌาน

ต่อมา ภูมิที่ ๑๗ คือ อากาสานัญจายตนภูมิ ภูมิที่ ๑๘ คือ วิญญานัญจายตนภูมิ ภูมิที่ ๑๙ คือ อากิญจัญญายตนภูมิ ภูมิที่ ๒๐ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ทั้ง ๔ ภูมินี้เป็นอรูปภพ  ซึ่งเป็นที่อยู่ของอรูปพรหมผู้ได้บรรลุอรูปฌานสมาบัติที่ละเอียดกว่ารูปพรหม ดังนั้นกล่าวสรุปคือ กามภพมี ๑๑ ภูมิ  รูปภพมี ๑๖ ภูมิ และอรูปภพอีก ๔ ภูมิ  รวมเป็น ๓๑ ภูมิ ภพภูมิเหล่านี้ยังตกอยู่ในไตรลักษณ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภพภูมิที่ดีหรือภูมิที่เสวยสมบัติอันประเสริฐสุด ดุจพระเจ้าจักรพรรดิราชก็ดี มีทิพยสมบัติดุจองค์อัมรินทร์จอมสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็ดี มีความสุขดุจรูปพรหมและอรูปพรหมทั้งหลายก็ดี แต่ที่จะเที่ยงแท้ยั่งยืนเป็นอยู่อย่างนั้นเรื่อยไปตลอดกาล ย่อมไม่มี เมื่อถึงคราวก็ต้องพลัดพรากจากความสุขนั้นๆ เป็นธรรมดา

เมื่อถึงคราวสิ้นอายุแล้ว ก็ย่อมจะเคลื่อนจากอัตภาพนั้น ท่องเที่ยวไปเกิดในภพภูมิอื่นอีกภายใต้วัฏสงสารที่กล่าวมานี้ หากได้ทำบาปไว้ ด้วยใจที่หมองเศร้าก็ต้องพลัดไปเกิดในอบายภูมิ ๔  ต้องเสวยทุกขเวทนาเหลือประมาณในสงสารเบื้องตํ่า ถ้าหากเคยทำความดีเอาไว้ พอกรรมฝ่ายอกุศลเบาบาง ก็จะดลบันดาลให้ขึ้นมาอุบัติในมัชฌิมสงสาร พอจะมีความสุขกายสบายใจขึ้นมาบ้าง ถ้ากิเลสเบาบางมาก บางทีไปเกิดเป็นพรหม เพราะได้บำเพ็ญภาวนามาดี แต่เมื่อหมดอายุขัยก็ต้องจุติไปเกิดตามยถากรรม การเวียนวนอยู่ในมหาสมุทรแห่งสังสารวัฏนี้ไม่มีวันสิ้นสุด จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางคืออายตนนิพพาน

ครั้นพวกสัตว์นรกสิ้นอายุในนรกแล้ว บางทีก็กลับเกิดซ้ำอยู่ในนรกขุมเก่า บางทีไปเกิดในนรกขุมอื่นๆ ก็มี บางทีไปเกิดขุมอุสสทนรกและขุมบริวาร และไปยังยมโลกไปเป็นเปรตเป็นอสุรกาย ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางครั้งก็มาเกิดเป็นคน ถ้าเคยทำบุญมาแต่ชาติปางก่อนบ้างแล้ว เมื่อบุญส่งผลก็ไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ได้เหมือนกัน

สำหรับพวกเปรต ต้องเสวยวิบากกรรมยาวนานจนกว่าจะหมดสิ้นอายุขัย ครั้นสิ้นอายุจากเปตวิสัยแล้ว บางทีไม่แคล้วกลับไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน  หากเคยทำบุญกุศลมาบ้าง ก็ย้อนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก บางทีบุญตามมาทัน ก็ไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ พวกอสุรกายและสัตว์เดรัจฉานก็มีการเวียนว่ายตายเกิด วกไปเวียนมาเหมือนกับเปรตนั่นเอง

ส่วนผู้ที่มาเกิดเป็นคนในโลกมนุษย์นี้ มีอยู่ ๒ จำพวก คือพวกผุดขึ้นมาเกิดกับพวกลงมาเกิด จำพวกแรกเป็นพวกเคยก่อกรรมทำเข็ญ บุญบาปไม่คำนึงถึง มีชีวิตอยู่วันหนึ่งๆ ทำแต่บาปอกุศล ครั้นดับชีพลงก็ไปเกิดในอบายทั้ง ๔  เมื่อชดใช้กรรมในภูมิของอบายแล้ว มีกำลังบุญพอที่จะเกิดเป็นมนุษย์ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก แต่กรรมชั่วก็ตามให้ผลต่อ บางคนต้องเป็นคนทุพพลภาพ มีรูปร่างอัปลักษณ์ นอกจากตัวเองจะต้องรับทุกข์แล้ว ยังเป็นภาระของคนรอบข้างและสังคมอีกด้วย บางคนเกิดมาได้รูปกายสมบูรณ์เพราะบุญเก่าปรุงแต่ง แต่ประมาทไปทำกรรมชั่วอีก ก็กลับลงไปที่เดิมก็มี

มนุษย์อีกจำพวกหนึ่ง เป็นประเภทลงมาเกิดสร้างบารมีเป็นกัลยาณชน เป็นคนดีมีศีลธรรม หมั่นสั่งสมบุญอยู่เป็นนิตย์ ครั้นละจากโลกนี้ ก็ไปบังเกิดในสวรรค์ หากได้ฌานสมาบัติ ก็ไปเกิดในพรหมโลก ถ้าหมั่นทำใจให้หยุดนิ่ง มีความเพียร ไม่ประมาทตามหลักพุทธวิธี ก็สามารถที่จะสลัดหลุดพ้นจากภพสามนี้ไปได้ แต่ถ้ายังไม่หลุดพ้น ก็จะลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีต่อไป สังสารวัฏก็เป็นอย่างนี้แหละ แม้เรายังไม่สามารถสลัดหลุดจากคุกขนาดใหญ่นี้ไปได้ อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าเป็นเชลยผู้รู้ ที่รู้วิธีที่จะหลุดพ้นจากคุกคือภพสามนี้ได้ ไม่ได้หลงเพลิดเพลินอยู่ในโลกไปวันๆ มุ่งสร้างบารมีทุกเวลานาที เพราะฉะนั้นเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าประมาท หมั่นสั่งสมบุญกันให้เต็มที่ แม้ตอนนี้เราจะเวียนวนอยู่ในสังสารวัฏ ก็จงอยู่เพื่อสร้างบารมีให้แก่รอบ จนกว่าบารมีจะเต็มเปี่ยม ได้บรรลุถึงจุดหมายปลายทาง คือสามารถทำกิเลสอาสวะให้หมดสิ้น เพื่อยกตนและสรรพสัตว์ไปสู่ที่สุดแห่งธรรม

* มก. เล่ม ๑๘ หน้า ๑๖๐

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/13374
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับปรโลก

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

1 thought on “ชีวิตในสังสารวัฏ”

  1. น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับโอวาท
    คำสอนและธรรมทานอันทรงคุณค่า
    หลวงพ่อธัมมชโย #คุณครูไม่ใหญ่
    ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง สาธุครับ
    🏵️🌺🌸💮🌼🌷🌷🌼💮🌸🌺🏵️

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *