ที่ตั้งของมหานรก (พระมาลกะติสสะ อดีตนายพราน)
เราเกิดมามีเวลาสร้างบารมีบนโลกใบนี้เพียงชั่วคราว ส่วนใหญ่ไม่ถึง ๑๐๐ ปี ก็จะต้องจากโลกนี้ไปแล้ว แม้ทรัพย์สมบัติภายนอกที่มีอยู่ก็ไม่สามารถจะเอาติดตัวไปได้ สิ่งที่จะติดตัวเราไป มีแต่บุญกับบาปเท่านั้นเอง ถ้าหากเราสั่งสมบุญ ชีวิตเราก็จะมีคุณค่า เพราะเกิดมาแล้วมีชีวิตที่ไม่ว่างเปล่าจากความดี ได้ทำชีวิตให้เกิดประโยชนทั้งต่อตนเองและผู้อื่น บุญบารมีที่เราสั่งสมเอาไว้นั้น จะเป็นทิพยสมบัติรอคอยให้เราได้ไปเสวยสุขในสัมปรายภพ แต่บาปอกุศลแม้เพียงน้อยนิดที่ทำไว้ ก็จะติดตามเราไป ทำให้ชีวิตของเราประสบความยากลำบากในภพเบื้องหน้า เพราะฉะนั้นเกิดมาทั้งที โดยเฉพาะเกิดมาในยุคที่มีพระพุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง ก็ขอให้ขวนขวายสร้างบุญบารมีให้เต็มที่กันทุกคน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน เทวทูตสูตร ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหานรกนั้นมีเปลวไฟพุ่งจากฝาด้านหน้าจรดฝาด้านหลัง พุ่งจากฝาด้านหลังจรดฝาด้านหน้า พุ่งจากฝาด้านเหนือจรดฝาด้านใต้ พุ่งจากฝาด้านใต้จรดฝาด้านเหนือ พุ่งขึ้นจากข้างล่างจรดข้างบน พุ่งจากข้างบนจรดข้างล่าง สัตว์นั้นจะเสวยทุกขเวทนาที่แรงกล้า เจ็บแสบอยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมยังไม่สิ้นสุด”
เรายังคงอยู่ในเรื่องภพภูมิอันน่าสะพรึงกลัวคือในอบายกันอยู่ คำว่า มหานรก ท่านหมายเอาอเวจีมหานรก ซึ่งเป็นนรกขุมใหญ่ที่สุด และอยู่ลึกที่สุด การถูกลงโทษก็ทรมานมากที่สุดชนิดไม่มีเวลาพักกันเลย ความร้อนแรงของอเวจีมหานรกนั้นแผ่ไปตลอด ๑๐๐ โยชน์ ในมหานรกนี้ มีแต่ไฟลุกท่วมอยู่ตลอดเวลา ถ้าเอาก้อนหินก้อนใหญ่ๆ เท่าบ้านหลังโตๆ โยนเข้าไปในไฟนรก เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น หินก้อนนั้นก็จะแหลกละเอียดเป็นจุณทันที แต่ที่สัตว์นรกทนอยู่ได้ ก็เพราะแรงกรรมที่ทำเอาไว้ ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานซํ้าแล้วซํ้าเล่า นอกจากนั้นก็เป็นมหานรกขุมใหญ่อีก ๗ ขุม ความทุกข์ ในขุมนรกเหล่านั้น ก็ทุกข์ทรมานแตกต่างกันตามชนิดและแรงกรรมที่ทำเอาไว้
ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงการถูกทรมานในอเวจีมหานรกเอาไว้ว่า มหานรกกว้างหนึ่งหมื่นโยชน์ แผ่นพื้นโลหะ หลังคาโลหะ ทั้งส่วนยาวและกว้างประมาณ ๙๐๐ โยชน์ ฝาข้างละประมาณ ๘๑ โยชน์ เปลวไฟตั้งขึ้นทางทิศบูรพาจรดฝาทิศตะวันตกทะลุฝาเข้าไป ๑๐๐ โยชน์ เปลวไฟในทิศที่เหลือก็เหมือนกัน อเวจีมหานรกนี้จะไม่มีช่องว่างระหว่างเปลวไฟที่กำลังเผาผลาญทรมานสัตว์นรก เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่าอเวจี ที่ได้ยินได้ฟังเป็นตัวอย่างกันบ่อยๆ ก็คือพระเทวทัต ท่านเกิดในท่ามกลางเปลวไฟเหล่านี้ มีอัตภาพ ๑๐๐ โยชน์ ข้อมือข้อเท้าถูกตรึงติดอยู่กับแผ่นพื้นโลหะและฝาโลหะ ศีรษะจรดหลังคาโลหะ ถูกหลาวเหล็ก ๑๐๐ เล่มทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา
เป็นเรื่องแปลกว่า มหานรกนี้กว้างใหญ่ไพศาลถึงหนึ่งหมื่นโยชน์ แต่ก็ดูเหมือนจะคับแคบเกินไปสำหรับสัตว์นรกที่ตกลงไปแออัดยัดเยียดกันอยู่ในนั้น ท่านอุปมาเหมือนแป้งที่เขายัดใส่ไว้ในถุง สัตว์นรกมีมากจนไม่มีช่องว่างเหลืออยู่เลย บางทีเราอาจจะแค่ฟังผ่านพอเพลินๆ หรือฟังพอเป็นเพียงเครื่องประเทืองปัญญา โดยไม่เห็นว่าเป็นเรื่องจริง หรืออาจเป็นสิ่งที่เราจะคอยย้ำเตือนตัวเองเสมอว่า จะต้องไม่ทำบาปอกุศลทุกชนิด จะได้ไม่ตกไปในอบายภูมิ แต่แท้จริงแล้ว เราควรจะมองให้เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดในนรกให้มาก ไม่ใช่ฟังเพียงผ่านๆ เหมือนฟังนิทานปรัมปราทั่วไป เพราะเรื่องเหล่านี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ไปเห็นมาแล้ว ท่านจึงนำมาเล่าให้ฟัง
* มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยหลังพุทธปรินิพพาน พระภิกษุรูปหนึ่งชื่อมาลกติสสะ เมื่อสมัยเป็นเด็กท่านเป็นลูกของนายพราน ชีวิตของนายพรานก็ต้องฆ่าสัตว์เพื่อนำมาขายเลี้ยงชีพ จึงจำเป็นต้องทำปาณาติบาตโดยปริยาย วันหนึ่ง เป็นวันที่มีเหตุการณ์พลิกผันวิถีชีวิตของท่าน ให้เปลี่ยนเส้นทางในการดำเนินชีวิต คือท่านได้ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่เพื่อไปล่าสัตว์ตามปกติ ดักบ่วงไว้ ๑๐๐ บ่วง ฝังหลาวไว้ ๑๐๐ แห่ง ซึ่งทำเป็นกิจวัตรทุกวัน พอช่วงบ่ายเกิดกระหายนํ้า จึงเข้าไปในวิหารซึ่งเป็นที่บำเพ็ญสมณธรรมของพระจูฬบิณฑปาติกติสสเถระ
นายพรานได้ขอนํ้าดื่มจากพระเถระ แต่เป็นเรื่องแปลก ที่แม้จะดื่มนํ้าจนหมดไปตั้ง ๑๐ หม้อ ก็ไม่สามารถบรรเทาความกระหายลงได้ เพราะแรงกรรมของนายพราน พระเถระคิดว่า นายพรานนี้ชะรอยจักเป็นชีวมานเปรต คือเปรตผู้มีชีวิตในร่างของมนุษย์ ท่านต้องการพิสูจน์ดูให้แน่ชัดอีกครั้ง จึงยกหม้อนํ้ารดลงที่มือของนายพราน ด้วยแรงกรรมของนายพรานผู้มีใจเหี้ยมโหด ทันทีที่นํ้าดื่มถูกราดลงบนฝ่ามือ น้ำดื่มนั้นก็ระเหยไปเหมือนใส่ลงในกระเบื้องร้อนฉะนั้น
เมื่อนายพรานดื่มนํ้าในหม้อหมดแล้ว ก็ยังไม่หายกระหาย พระเถระได้เมตตากล่าวสอนว่า “ดูก่อนอุบาสก ท่านได้ฆ่าสัตว์เอาไว้มาก ทำให้เป็นมนุสสเปโต เป็นเปรตในอัตภาพนี้ เพราะธรรมดาของเปรตจะหิวกระหายอาหารและนํ้าอยู่ตลอดเวลา แม้ตัวท่านจะยังไม่ใช่เปรต แต่ก็เป็นชีวมานเปรตในร่างมนุษย์ นี่ถ้าหากละจากโลกนี้ไปแล้ว เห็นทีท่านจะต้องเสวยวิบากกรรมอันเผ็ดร้อนในนรกแสนสาหัสอย่างแน่นอน ยิ่งท่านไม่ได้สั่งสมบุญกุศลอะไรเอาไว้เลย ยิ่งอันตราย”
ครั้นนายพรานได้ฟังธรรมจากพระเถระแล้ว เกิดความสลดสังเวชใจ รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาปหนา จะหากุศลที่จะมาเป็นที่พึ่งแก่ตัวในชาตินี้ก็ไม่มี เห็นทีจะต้องสร้างกุศลใหญ่ด้วยการออกบวชนี่แหละ แล้วก็ก้มลงกราบพระเถระ จากนั้นได้ไปรื้ออุปกรณ์ล่าสัตว์ทุกชนิดทั้งบ่วงและหลาว รีบเดินทางกลับบ้าน เพื่อขอลาบวชกับพ่อแม่
เมื่อบวชกับพระเถระแล้ว ท่านได้รํ่าเรียนกรรมฐาน ตั้งใจศึกษาพุทธวจนะจนแตกฉาน ในวันหนึ่ง ท่านได้ฟังธรรมะชื่อเทวทูตสูตรก็เกิดความกังขาขึ้นมาในใจว่า นรกคงไม่มีหรอกนะ คงเป็นเพียงคำสอนของพระบรมศาสดาที่ยกเรื่องนรกมาเล่าให้เราหวาดกลัว ท่านจึงเข้าไปถามพระเถระว่า “ถ้าหากนรกมีจริง พระบวชใหม่อย่างผมสามารถที่จะเห็นนรกด้วยตาตนเองได้ไหม”
พระเถระเมตตาตอบว่า “นรกไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ขึ้นชื่อว่าความเร่าร้อนในอเวจีมหานรกนี้ เป็นความร้อนที่สามารถทำลายนัยน์ตาของผู้ยืนดูในระยะประมาณ ๑๐๐ โยชน์ได้ทันที แต่ก็พอมีวิธีที่จะให้รู้ว่านรกมีจริง” แล้วท่านก็บอกให้พระมาลกติสสะไปชักชวนพวกสามเณรให้รวบรวมไม้สดมากองเอาไว้ จากนั้นพระเถระนั่งเข้าสมาบัติสักครู่ แล้วอธิษฐานนำเอาสะเก็ดไฟเท่าหิ่งห้อยจากมหานรก ใส่ลงในกองฟืนของพระมาลกติสสะซึ่งเฝ้ารอดูด้วยใจจดใจจ่อ เมื่อสะเก็ดไฟจากมหานรกตกลงไปในกองฟืนซึ่งเป็นไม้สดเท่านั้นแหละ ก็ไหม้เป็นจุณในทันทีนั่นเอง
ครั้นพระมาลกะติสสะเห็นของจริงอย่างนั้นแล้ว ก็ยิ่งอัศจรรย์ใจและเชื่อมั่นว่านรกมีจริง เป็นที่เสวยผลกรรมของคนบาปเท่านั้น เนื่องจากตัวเองก็เคยทำบาปเอาไว้มาก ไม่รู้ว่าลำพังการบวชจะสามารถทำให้หลุดพ้นจากอบายภูมิได้หรือไม่ ด้วยความกลัวที่จะตกนรก ท่านจึงตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ในที่สุดก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ หลุดจากการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
เราจะเห็นว่า นรกเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องเล่น มีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎกชัดเจน ไม่ใช่เพียงเรื่องราวที่เอามาพูดขู่ให้กลัวกัน สถานที่หรือภพภูมิของมหานรกนั้นก็มีอยู่ คืออยู่ใต้เขาพระสุเมรุ จะพิสูจน์ว่ามีจริงหรือไม่ ก็ต้องทำใจให้หยุดให้นิ่งกันให้ได้เสียก่อน เมื่อไรที่ได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย ก็จะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างดีและถูกต้องร่องรอยตรงไปตามความเป็นจริง จะได้ไปดูว่าในนรกแต่ละขุมนั้นเป็นไปอย่างไรบ้าง การลงทัณฑ์ทรมานของสัตว์นรกในสมัยก่อนกับปัจจุบันนี้มีความแตกต่างกันมากไหม เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนไป ทั้งเครื่องทรมานและวิธีการลงโทษในนรกก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน เนื่องจากที่ตรงนั้นเป็นผลที่เกิดจากการทำบาปจากโลกมนุษย์นี่แหละ เมื่อศึกษาภาคปริยัติแล้ว ก็ให้ศึกษาภาคปฏิบัติให้แจ่มแจ้ง ต้องรู้เองเห็นเองจึงจะทำให้มีกำลังใจในการทำความดีมากยิ่งขึ้นไป ดังนั้นให้หมั่นนั่งธรรมะ อย่าเกียจคร้าน ให้ขับไล่ความเกียจคร้านออกไป แล้วเอาความขยันมาแทนที่ ทำความเพียรกันไปอย่างนี้ทุกวัน จนกว่าจะเข้าถึงพระธรรมกายกันทุกคน
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/13519
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับปรโลก
กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน
น้อมกราบสาธุๆ สาธุ อนุโมทามิ
🏵️🌼🌺🌸💮 💮🌸🌺🌼🏵️