ทุกข์ในอเวจีมหานรก (พระเทวทัต)

ทุกข์ในอเวจีมหานรก (พระเทวทัต)

เวลาในโลกนี้แสนสั้น แต่เวลาหลังจากที่ละโลกนี้ไปแล้วยาวนานมาก  นักปราชญ์บัณฑิตทั้งหลายท่านมองเห็นภัยในสังสารวัฏ เห็นทุกข์เห็นโทษในอบายภูมิ และมองเห็นสุขในสุคติภูมิ จึงละชั่วทั้งทางกาย วาจา และใจ หมั่นสั่งสมบุญกุศลอย่างเต็มที่ ฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งเป็นประจำสมํ่าเสมอ เพื่อให้ชีวิตที่อยู่ในโลกนี้มีคุณค่า และให้ชีวิตในสัมปรายภพมีความปลอดภัย มีความสุขสดใสยิ่งๆ ขึ้นไป เราทั้งหลายก็ควรดำเนินตามปฏิปทาของบัณฑิตผู้รู้เหล่านั้น ชีวิตเราจะได้ไม่ผิดพลาด เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้อย่างจำกัด ดังนั้นต้องรีบสั่งสมบุญกันให้เต็มที่ ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและชาวโลก ให้สมกับที่เป็นยอดนักสร้างบารมี ที่เกิดมาทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้แก่มวลมนุษยชาติ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
“สุกรํ สาธุนา สาธุ    สาธุ ปาเปน ทุกฺกรํ
ปาปํ ปาเปน สุกรํ    ปาปมริเยหิ ทุกฺกรํ
ความดี คนดีทำได้ง่าย แต่คนชั่วทำได้ยาก  ความชั่ว คนชั่วทำได้ง่าย แต่คนดีทำได้ยาก”

ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม มีทั้งคนดีและคนไม่ดีอาศัยอยู่ บางครั้งตัวเราเองก็เป็นคนดี คิดดี พูดดี แต่บางทีก็ไม่ค่อยจะดี ขุ่นมัว ขัดเคือง โกรธคนนั้นโกรธคนนี้ ยังมีทั้งดีและไม่ดีสลับกัน ถ้าช่วงไหนกุศลธรรมเข้ามาในจิตใจ เราก็อยากจะทำแต่ความดี เมื่อทำความดีไว้มากๆ ความดีนั้นก็จะส่งผลให้เจริญรุ่งเรือง ให้พรั่งพร้อมด้วยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ หรือกระทั่งนิพพานสมบัติ จะได้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันอีกต่อไป แต่ถ้าช่วงไหนอกุศลธรรมเข้ามาในจิตใจ ก็จะบังคับให้สร้างกรรม กรรมนั้นก็จะส่งผลเป็นวิบากอันเผ็ดร้อน ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสในอบายภูมิ ทุคติ วินิบาต นรก

ดังเช่นพระเทวทัตเป็นตัวอย่าง ท่านเป็นบุคคลประเภททำความชั่วได้ง่าย แต่ทำความดีได้ยาก จึงได้ทำกรรมหนักหลายอย่าง แม้ว่าท่านจะบวชเป็นพระ แต่ด้วยความคิดจะเป็นใหญ่ปกครองสงฆ์แทนพระพุทธองค์ จึงได้ทำสังฆเภท ทำสงฆ์ให้แตกแยกกัน เมื่อละโลกไปแล้วจึงต้องไปเกิดในอบายภูมิ ตกนรกอเวจีอยู่นานถึง ๑ อันตรกัป

* เรื่องพระเทวทัตเราได้ยินกันบ่อยๆ ว่าเป็นคู่ปรับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่สมัยสร้างบารมีกันมา เจอกันทีไรพระเทวทัตเป็นต้องหาเรื่องประทุษร้ายพระบรมโพธิสัตว์ทุกที เพราะได้จองเวรกับพระพุทธองค์ ทั้งๆ ที่พระองค์ก็ไม่เคยคิดร้ายให้โทษใคร แต่พระเทวทัตก็ผูกพยาบาทจองเวรเรื่อยมา แม้ภพชาติสุดท้ายท่านก็ยังชักชวนพระเจ้าอชาตศัตรูให้ทำปิตุฆาต คือฆ่าพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชบิดาของพระองค์เอง และว่าจ้างนายขมังธนูหลายคน ให้ไปลอบปลงพระชนม์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่สำเร็จ ถึงกระนั้นพระเทวทัตก็ไม่ละความพยายาม

วันหนึ่งพระเทวทัตได้ขึ้นไปบนยอดเขา แล้วกลิ้งก้อนหินลงมาหมายจะให้ทับพระบรมศาสดา เศษหินได้กระเด็นมาถูกพระพุทธองค์จนเกิดห้อพระโลหิตที่เรียกว่า โลหิตุปบาท ซึ่งถือว่าเป็นกรรมหนักทีเดียว โทษของท่านปรากฎชัดเจนมากขึ้นตอนที่ปล่อยช้างนาฬาคิรีให้วิ่งเข้าใส่พระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ด้วยกระแสแห่งเมตตาจิตของพระองค์ ทำให้ช้างหายตกมัน และหมอบลงต่อหน้าพระพุทธองค์

มหาชนได้เห็นเหตุการณ์นั้น ต่างรู้ว่าพระเทวทัตเป็นต้นเหตุของการคิดปลงพระชนม์ จึงไม่ยอมใส่บาตรพระเทวทัต เมื่อพระเทวทัตเสื่อมจากลาภสักการะ จึงจำเป็นต้องเลี้ยงชีพด้วยการหลอกลวง ท่านได้ไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ทูลขอให้คณะสงฆ์ปฏิบัติตามเงื่อนไข ๕ ประการว่า ภิกษุสงฆ์ควรอยู่ป่าตลอดชีวิต ควรเที่ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต ควรถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต ควรอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ไม่ควรอยู่ในที่มุงบัง อีกทั้งภิกษุสงฆ์ไม่ควรฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต ถ้าภิกษุใดฉันปลาและเนื้อ จะต้องได้รับโทษ

ข้อเสนอของพระเทวทัตในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงเห็นด้วย เพราะพระองค์เห็นว่าข้อปฏิบัติทั้ง ๕ ประการเป็นการแสดงความโอ้อวด ถ้าบัญญัติขึ้นมาก็จะทำให้ภิกษุสงฆ์ลำบาก ใครจะทำหรือไม่ทำก็ได้ พระองค์ไม่บังคับ พระเทวทัตได้โอกาส จึงประกาศให้พระที่บวชใหม่เห็นว่า ตัวเองเคร่งครัดในพระธรรมวินัย พระที่บวชใหม่ ๕๐๐ รูปหลงเชื่อ จึงตามพระเทวทัตไปอยู่ที่คยาสีสะ แต่หลังจากนั้นไม่นานพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะได้ไปเทศน์โปรดจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูป แล้วพากลับมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเหตุให้พระเทวทัตเสื่อมทั้งลาภ ทั้งบริวาร เกิดความทุกข์ใจหนัก ถึงขนาดอาเจียนเป็นโลหิต

เมื่อเจ็บป่วยหนักใกล้ตาย พระเทวทัตเริ่มนึกถึงโทษของตัวเองว่า ที่ผ่านมาท่านเป็นต้นเหตุในเรื่องไม่ดีมาตลอด จึงคิดอยากจะขอขมาลาโทษต่อพระพุทธองค์ ท่านได้ขอร้องให้ภิกษุ ช่วยหามเตียงท่านไปเฝ้าพระบรมศาสดา แต่เนื่องจากทำกรรมหนักเกินไป พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า พระเทวทัตจะไม่มีโอกาสได้พบเห็นพระองค์อีกต่อไป พอลูกศิษย์ของท่านวางเตียงลงบนพื้นดินที่ฝั่งสระโบกขรณีใกล้วัดพระเชตวัน ทันทีที่ฝ่าเท้าสัมผัสพื้นดิน แผ่นดินก็แยกออกเป็นช่อง ดูดเอาร่างของพระเทวทัตลงไปในอเวจีมหานรกทันที

ในพระปิฏกบันทึกไว้ชัดเจนว่า เมื่อพระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบลงไปแล้ว ท่านถูกไฟนรกเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา ร่างกายของท่านสูงประมาณ ๑๐๐ โยชน์ อเวจีมหานรกสูงประมาณ ๓๐๐ โยชน์ ศีรษะของท่านสอดเข้าไปในแผ่นเหล็กจนถึงหู เท้าทั้งสองจมลงไปในแผ่นเหล็กจนถึงข้อเท้า ยึดหัวยึดเท้าตรึงแน่นทีเดียว แล้วหลาวเหล็กอันร้อนแรงขนาดเท่าลำตาล ก็พุ่งออกมาจากผนังด้านหลัง แทงเข้ากลางหลังทะลุหน้าอก ปักฝาผนังด้านหน้า หลาวเหล็กอีกอันหนึ่งก็พุ่งออกมาจากผนังด้านข้าง แทงสีข้างเบื้องขวาทะลุออกเบื้องซ้าย ทะลุเข้าไปในฝาผนังอีกด้านหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีหลาวเหล็กพุ่งออกจากด้านบน แทงกระหม่อมทะลุออกทางเบื้องล่าง ปักลงสู่แผ่นดินเหล็ก ทนทุกข์ทรมานไม่ได้หยุดพักเลยแม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว ทนอยู่อย่างนั้นแหละ ที่ทนอยู่ได้ก็เพราะวิบากกรรมมาบดบัง

คำว่า อเวจีมหานรก คือนรกที่ปราศจากคลื่น เวลาที่เราเห็นคลื่นลมในท้องทะเล ยังเป็นเพียงระลอก มีสูงมีตํ่า มีนํ้าขึ้นนํ้าลง แต่การเสวยทุกข์ในอเวจีมหานรก ทุกข์หนักสมํ่าเสมอคงที่ไม่มีกระเพื่อมเลย ท่านถึงเรียกว่าเป็นนรกที่ปราศจากคลื่น มีทุกข์เป็นอนันต์

เพราะฉะนั้น อย่าได้ดูเบาในบาปกรรมแม้เพียงเล็กน้อย เพราะอายุของมหานรกในแต่ละขุมยาวนานเหลือเกิน นานกว่าเวลาในโลกมนุษย์มากมายหลายเท่า อย่างในมหานรกขุมใหญ่ทั้ง ๘ ขุม มีกำหนดอายุที่แตกต่างกันมาก ตั้งแต่ขุมที่ ๑ คือสัญชีวนรก สัตว์นรกจะมีอายุประมาณ ๕๐๐ ปีนรก เมื่อเทียบกับปีของมนุษย์แล้ว  ๑ วันในสัญชีวนรกเท่ากับ ๙ ล้านปีมนุษย์  ดังนั้น ๕๐๐ ปีนรก จึงเท่ากับ ๑,๖๒๐,๐๐๐ ล้านปีของมนุษย์

มหานรกขุมที่ ๒ คือกาฬสุตตนรก สัตว์นรกจะมีอายุ ๑,๐๐๐ ปีนรก ๑ วันของมหานรกขุมนี้ เท่ากับ ๓๖ ล้านปีของมนุษย์ ฉะนั้น ๑,๐๐๐ ปีนรก จึงเป็นเวลา ๑๒,๙๖๐,๐๐๐ ล้านปีมนุษย์  ขุมที่ ๓ คือสังฆาตนรกต้องรับทุกข์เป็นร้อยล้านปีทีเดียว  ขุมที่ ๔ คือโรรุวนรกก็มากขึ้นไปอีกเป็น ๘๐๐ กว่าล้านปี  ขุมที่ ๕ คือมหาโรรุวนรก ต้องรับกรรมนานถึงหกพันกว่าล้านปี  ขุมที่ ๖ คือตาปนนรก สัตว์นรกจะถูกนายนิรยบาลจับตรึงไว้กับหลาวเหล็กที่ลุกโพลงไปด้วยไฟนรก ต้องทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้นนานถึงห้าหมื่นกว่าล้านปี  ส่วนขุมที่ ๗ มหาตาปนนรก ต้องรับกรรมอยู่ที่นั้นนานถึงครึ่งอันตรกัปของมนุษย์

ระยะเวลาอันตรกัปคือ ตั้งแต่ในสมัยต้นกัปที่มนุษย์มีอายุยืนถึงอสงไขยปี ต่อมาอายุของมนุษย์ค่อยๆ ลดลงจนกระทั่งเหลือ ๑๐ ปี แล้วค่อยเพิ่มขึ้นไปอีกจนถึงอสงไขยปีเหมือนเดิม ระยะเวลานับแต่กัปไขลงจนถึงช่วงที่กัปไขขึ้น เรียกว่าเป็น ๑ อันตรกัป  ส่วนขุมที่ ๘ เป็นขุมสุดท้ายที่อยู่ลึกที่สุด คืออเวจีมหานรก ขุมนี้มีอายุเทียบกับ ๑ อันตรกัปของมนุษย์ซึ่งยาวนานมากทีเดียว

เรื่องราวเกี่ยวกับนรกสวรรค์ เป็นเรื่องที่น่าศึกษา และเป็นเรื่องจริงที่ผู้รู้ท่านรู้ท่านเห็นกัน แต่อยู่เหนือขีดความสามารถของบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั่วไปที่จะวิเคราะห์หาเหตุผลได้ สามารถพิสูจน์ได้ด้วยใจที่หยุดนิ่งเท่านั้น  เพราะฉะนั้น ถ้าอยากรู้ว่านรกสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ตั้งใจฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระธรรมกายก่อน หลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญท่านบอกว่า อาศัยธรรมกายไปตรวจดูได้ สัตว์นรกมีกี่ขุม เปรตมีกี่ตระกูลตรวจดูได้หมด จับมือถือแขนกันได้ พูดคุยกันได้ ไปถามถึงบุพกรรมที่ทำไว้ก็ได้  ดังนั้น เมื่อเราอยากจะหายสงสัยในเรื่องเหล่านี้ อยากมีปัญญารู้แจ้ง ก็ให้หมั่นทำใจหยุดนิ่งให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้กันทุกๆ คน

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/13540
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับปรโลก

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

1 thought on “ทุกข์ในอเวจีมหานรก (พระเทวทัต)”

  1. น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับโอวาท
    คำสอนและธรรมทานอันทรงคุณค่า
    หลวงพ่อธัมมชโย #คุณครูไม่ใหญ่
    ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง สาธุครับ
    🏵️🌺🌸💮🌼🌷🌷🌼💮🌸🌺🏵️

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *