ภพของเปรตผู้มีฤทธิ์ (ภรรยาเวมานิกเปรต)

ภพของเปรตผู้มีฤทธิ์ (ภรรยาเวมานิกเปรต)

สรรพสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต  ต่างอยู่บนพื้นฐานของกฎไตรลักษณ์ คือมีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสื่อมตลอดเวลา และสูญสลายไปในที่สุด เพราะฉะนั้น เราควรแสวงหาสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน ที่จะนำแต่ความสุขและความสำเร็จมาให้ เป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา  ด้วยการปฏิบัติธรรมในหนทางสายกลางหรือเอกายนมรรค ทางเอกสายเดียวที่มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพาน

มีสุภาษิตที่เวมานิกเปรตได้กล่าวไว้ใน สุตตเปตวัตถุ ว่า
“ท่านพึงบอกชนเหล่าอื่นที่มาสู่ที่นี่ว่า ท่านทั้งหลายจงทำบุญเถิด ท่านทั้งหลายจะได้รับความสุข ดิฉันได้เห็นเปรตทั้งหลายผู้ไม่ได้ทำความดี กำลังเดือดร้อนอยู่ฉันใด มนุษย์ทั้งหลายก็ฉันนั้น หมู่สัตว์คือเทวดาและมนุษย์กระทำกรรมอันมีสุขเป็นวิบากแล้ว ย่อมเป็นผู้ดำรงอยู่ในความสุข”

เรื่องของบุญกุศล เป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญเอาไว้มากๆ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของเราในทุกภพทุกชาตินั้น ไม่มีอะไรจะสำคัญยิ่งไปกว่าบุญกุศล ถ้าบุญในตัวของเรามีมาก ความสุขและความสำเร็จก็มีมาก  หากมีบุญน้อย ความสุขและความสำเร็จก็ลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ มนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องกระบวนการของชีวิตในจุดสุดท้าย ซึ่งเป็นรอยต่อของชีวิตจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้า นอกจากนี้บางคนยังเข้าใจว่าชีวิตไปสิ้นสุดอยู่ที่เชิงตะกอน แต่ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น

เราจะต้องมาศึกษาคำสั่งสอนของผู้รู้ผู้บริสุทธิ์ คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ให้ความรู้ที่สำคัญสำหรับรอยต่อของชีวิตว่า ตอนช่วงจิตดวงสุดท้ายที่จะดับวูบไป ถ้าจิตผ่องใสไม่เศร้าหมอง ก็จะไปสู่สุคติโลกสวรรค์ แต่ถ้าจิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส หนทางเดียวที่จะไปคืออบายภูมิ  ต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน คือไปสู่ในภพภูมิที่เสื่อมลงไป ที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน ตรงข้ามกับสุคติภพที่มีแต่ความสุขสดชื่นเบิกบาน ดังนั้นเส้นทางของชีวิตที่จะไปสู่สุคติหรือทุคตินั้นย่อมขึ้นอยู่กับตัวของเราเองทั้งสิ้น

* ดังเรื่องในสมัยก่อนพุทธกาลประมาณ ๗๐๐ ปี มีหนูน้อยคนหนึ่ง  อาศัยอยู่กับพ่อแม่ในหมู่บ้านไม่ไกลจากกรุงสาวัตถี เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสศรัทธา ได้อุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งด้วยความเคารพ เมื่อเติบโตเป็นหนุ่ม มารดาได้ไปขอหญิงสาวซึ่งมีฐานะเท่าเทียมกันมาเป็นลูกสะใภ้  แต่โชคร้าย ในวันก่อนแต่งงานเพียงวันเดียว ชายหนุ่มไปอาบน้ำกับเพื่อนๆ ถูกงูกัดตาย จึงไม่มีโอกาสได้แต่งงาน

ด้วยบุญที่ชายหนุ่มเคยอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะขาดสติช่วงก่อนตายและด้วยจิตที่ปฏิพัทธ์ในหญิงสาว เขาได้ไปบังเกิดในวิมานเปรตผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมาก ขณะที่ตรวจตราดูทิพยสมบัติอยู่นั้น เวมานิกเปรตปรารถนาอยากได้หญิงสาวนั้นมาเป็นคู่ครอง จึงคิดหาวิธีการที่จะได้นางมาเสวยทิพยสมบัติในดินแดนของเหล่าเวมานิกเปรตแห่งนี้ด้วยกัน แต่การที่นางจะมาอยู่ได้นั้น ต้องทำบุญเสียก่อน จึงจะสามารถมาอยู่ด้วยกันได้

ขณะนั้นเอง เปรตได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งกำลังจะตัดเย็บจีวรแต่ยังขาดด้ายเพียงอย่างเดียว จึงแปลงร่างเป็นมนุษย์เข้าไปไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า พร้อมทั้งชี้บอกหนทางไปบ้านของหญิงสาว เพื่อให้นางได้บุญใหญ่จากการถวายด้าย ฝ่ายหญิงสาวรู้ว่าพระมาบิณฑบาตด้ายเย็บจีวร ก็มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายด้ายเป็นจำนวนมากแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า

จากนั้น เปรตได้แปลงร่างเป็นชายหนุ่มไปบ้านของหญิงสาว อ้อนวอนมารดาของนางเพื่อขอนางไปอยู่ด้วย ด้วยฤทธิ์ของอมนุษย์ทำให้ภาชนะทุกอย่างในบ้านของนางกลายเป็นของมีค่า เต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทอง และมีชื่อเขียนติดไว้ทั้งหมด เพื่อให้คนในบ้านรู้ว่า ผู้มีฤทธิ์นำทรัพย์เหล่านี้มามอบให้คนในบ้านหลังนี้โดยเฉพาะ คนอื่นจะเอาไปไม่ได้

เมื่อมารดาของหญิงสาวเห็นอานุภาพเช่นนั้น อนุญาตให้นำลูกสาวไปอยู่ด้วยได้ และด้วยอานุภาพบุญของนางที่ได้ถวายด้ายกับพระปัจเจกพุทธเจ้า ทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่กับเวมานิกเปรตอย่างมีความสุข ผ้าทิพย์มากมายได้บังเกิดขึ้นกับนาง วิมานที่ลอยได้ก็เกลื่อนกล่นไปด้วยดอกไม้ทิพย์น่ารื่นรมย์ และวิจิตรด้วยรูปภาพต่างๆ เพียบพร้อมไปด้วยบริวาร นางสามารถใช้สอยได้ตามใจชอบ

เมื่อมารดาของนางได้ทรัพย์มากมายเช่นนั้น ก็ไม่ได้ตระหนี่ถี่เหนียว  นางแบ่งให้พวกญาติๆ ได้ใช้สอยด้วย ที่เหลือก็ให้คนกำพร้าและคนเดินทาง ส่วนตัวเองก็ใช้สอยตามอัตภาพ นางได้รอคอยการกลับมาของลูกสาว แต่ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวแต่อย่างใด ก่อนตายมารดาของนางได้บอกหมู่ญาติว่า ถ้าหากลูกสาวกลับมาที่บ้านเกิด ก็ขอให้มอบทรัพย์เหล่านี้แก่นางด้วย จะได้มีสมบัติเอาไว้หล่อเลี้ยงตัวเองและได้ทำบุญด้วย

นางได้เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์อย่างเพลิดเพลิน จนล่วงไป ๗๐๐ ปี  เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ขณะพระองค์กำลังประกาศธรรมอยู่ในกรุงสาวัตถี นางเกิดความคิดถึงพ่อแม่และหมู่ญาติ จึงขอร้องอมนุษย์ให้นำนางกลับไปหาพ่อแม่และหมู่ญาติ แต่อมนุษย์รักนางมาก จึงไม่อยากให้กลับไปยังโลกมนุษย์ พยายามห้ามนางว่านางมาอยู่ในวิมานนี้ ๗๐๐ ปีแล้ว หมู่ญาติของนางก็ตายไปหมดแล้ว นางจะไปอยู่ในมนุษยโลกทำไมกัน

นางก็ยังคงยืนยันว่าอยากจะกลับไป เวมานิกเปรตเห็นความตั้งใจแน่วแน่ของนาง จึงอนุญาตนางให้กลับไปยังโลกมนุษย์และบอกนางว่า เมื่อนางกลับไปจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วันก็จะต้องตาย เพราะกายมนุษย์ของนางมากเกินอายุขัยของมนุษย์ทั่วๆ ไปแล้ว ที่อยู่ได้ในภพนี้ก็เพราะบุญหล่อเลี้ยง พอนางกลับไปก็ขอให้รีบนำทรัพย์ที่มารดาฝังเอาไว้มาบริจาคทำบุญแด่พระสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ อย่าได้ประมาทหรือมัวเสียเวลากับเรื่องไร้สาระในเมืองมนุษย์ เพื่อนางจะได้มีทิพยวิมานที่สว่างไสวกว่าเดิมอีกหลายเท่า

ทันทีที่เวมานิกเปรตพานางส่งถึงบ้านเกิด ร่างของนางก็กลับกลายเป็นหญิงชรา ผมขาวโพลนไร้เรี่ยวแรง ไม่มีกำลังวังชา และไม่มีใครจำนางได้  นางได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับหลานเหลนโหลน ซึ่งสืบทอดมายาวนานถึง ๗ ชั่วคน ทุกคนเข้าใจ เพราะต่างก็เคยได้ยินเรื่องของนางจากการเล่าของบรรพบุรุษมาบ้างแล้ว ว่าผู้มีฤทธิ์มารับไปอยู่ด้วย ทำให้ทั้งหมู่ญาติและชาวบ้านที่ได้ยินข่าว พากันมาเยี่ยมหญิงชราผู้มีอายุยืนที่สุด นางได้ให้หลานๆ ขนเอาทรัพย์ที่มารดาของตนฝังเอาไว้มาทำทาน และแนะนำให้ทุกคนเร่งรีบสั่งสมบุญกุศลเอาไว้มากๆ เพื่อชีวิตหลังความตายจะได้ไม่ลำบาก และจะได้ไปเสวยสุขในสัมปรายภพ

นางจะสอนทุกคนว่า “เราได้เห็นเปรตมากมายที่ไม่ได้ทำความดีไว้ ต่างได้รับความเดือดร้อนทุกข์ทรมาน เพราะไม่ได้สั่งสมบุญเอาไว้ บางประเภทก็เสวยสุขเฉพาะกลางวัน กลางคืนได้รับการลงทัณฑ์ทรมาน มนุษย์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ควรจะสั่งสมบุญเอาไว้มากๆ จะได้ไปเสวยสุขในสวรรค์อย่างเดียว ไม่ต้องไปบังเกิดเป็นเปรต”

หญิงชราได้บำเพ็ญมหาทานบารมีแด่ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ตลอด ๗ วัน และให้คำแนะนำแก่หมู่ญาติและคนอื่นที่มาเยี่ยมเยียนขอศีลขอพรจากนางว่า ให้รักในการทำบุญสั่งสมบุญให้มากๆ อย่าได้ตระหนี่หรือประมาทในชีวิต  ครั้นครบ ๗ วัน  นางก็ได้เสียชีวิตลง และได้ไปบังเกิดเป็นเทพธิดาผู้มีรัศมีกายสว่างไสวในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ชีวิตนี้มีเรื่องลี้ลับซับซ้อนมากมายนัก มีภพซ้อนภพ แต่ละภพภูมิก็มีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันออกไป ภพของมนุษย์นี้มีไว้ใช้สร้างบารมี ชีวิตมีการเคลื่อนย้ายตลอดเวลาไม่ได้ยุติลงแค่เชิงตะกอนอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน ขันธ์ห้าซึ่งประกอบด้วยมหาภูตรูปสี่นี้ มีความเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา แต่ปฏิสนธิวิญญาณยังต้องไปเกิดต่อเพื่ออาศัยรูปกายใหม่ ซึ่งก็แล้วแต่บุญและบาปที่ได้ทำไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์ว่าได้ประกอบเหตุอย่างไรไว้ ทุกคนสามารถเลือกเส้นทางชีวิตของตนเองได้ ถ้าเลือกทางไปสวรรค์ก็ต้องมีบุญหนุนนำ หากเลือกทางไปนรกก็ทำตรงข้ามกัน และหากจะเสวยสุขให้ได้นานๆ ก็ต้องสั่งสมบุญเอาไว้มากๆ

เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเราได้เข้าใจเรื่องราวที่หลวงพ่อนำมาเล่าเป็นอุทาหรณ์นี้แล้ว ก็อย่าได้ประมาทในชีวิตกัน ให้เร่งรีบสั่งสมบุญกันให้เต็มที่ ชีวิตเราจะได้มีความสุขทั้งในภพนี้ ภพหน้า และทุกภพทุกชาติตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมกันทุกคน

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/13549
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับปรโลก

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

1 thought on “ภพของเปรตผู้มีฤทธิ์ (ภรรยาเวมานิกเปรต)”

  1. น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับโอวาท
    คำสอนและธรรมทานอันทรงคุณค่า
    หลวงพ่อธัมมชโย #คุณครูไม่ใหญ่
    ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง สาธุครับ
    🏵️🌺🌸💮🌼🌷🌷🌼💮🌸🌺🏵️

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *