เปรต ๑๒ ตระกูล (๒) รากยาทำให้เห็นเปรต ภูต ผี ปีศาจ

เปรต ๑๒ ตระกูล (๒) รากยาทำให้เห็นเปรต ภูต ผี ปีศาจ

สรรพสัตว์ทุกชีวิตล้วนมีความทุกข์เป็นพื้นฐาน ทุกข์ที่มาพร้อมกับการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย ความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก หรืออยู่ร่วมกับบุคคลผู้ไม่เป็นที่รัก ทั้งทุกข์ประจำและทุกข์จร เมื่อเราเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตว่าชีวิตเป็นทุกข์แล้ว เราจะได้เกิดความเบื่อหน่ายในทุกข์ทั้งหลาย และรีบขวนขวายหาทางหลุดพ้นจากทุกข์  การปฏิบัติธรรมเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของผู้ที่ปรารถนาความหลุดพ้น เพื่อไปให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์

มีวาระพระบาลีที่ปรากฏใน เขตตูปมาวัตถุ ว่า
“เขตฺตูปมา อรหนฺโต   ทายกา กสฺสกูปมา
พีชูปมํ เทยฺยธมฺมํ      เอตฺโต นิพฺพตฺตเต ผลํ
เอตํ พีชํ กสิเขตฺตํ      เปตานํ ทายกสฺส จ
ตํ เปตา ปริภุญฺชนฺติ    ทาตา ปุญฺเญน วฑฺฒติ
อิเธว กุสลํ กตฺวา       เปเต จ ปฏิปูชิย
สคฺคญฺจ กมติ ฐานํ     กมฺมํ กตฺวาน ภทฺทกํ
พระอรหันต์ทั้งหลายเปรียบด้วยนา ทายกทายิกาทั้งหลาย เปรียบด้วยชาวนา ไทยธรรมเปรียบด้วยพืช ผลทานย่อมเกิดแต่การบริจาคไทยธรรมแก่ปฏิคาหก พืชนาและการหว่านพืชนั้น ย่อมให้เกิดผลแก่ทายกและเปรตทั้งหลาย เปรตทั้งหลายย่อมบริโภคผล แห่งการอุทิศส่วนบุญนั้น ทายกย่อมเจริญด้วยบุญ ทายกทำกุศลในโลกนี้แล้ว อุทิศให้เปรตทั้งหลาย ครั้นทำกรรมดีแล้วย่อมไปสวรรค์”

การทำบุญถวายสังฆทานหรือบุญกิริยาวัตถุทั้งหลาย แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่หมู่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นบุพเปตพลีซึ่งเป็นประเพณีที่ดีงามที่เราทั้งหลายควรประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันไป เพราะชีวิตของเรามีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาเป็นเวลายาวนาน เช่นบางคนเคยเกิดเป็นพ่อแม่พี่น้อง เป็นหมู่ญาติของเรา บางคนก็เคยเกิดเป็นญาติกันมาหลายชาติ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า “สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในสังสารวัฏ ที่ไม่เคยเป็นญาติกันนั้นไม่มี” เพราะฉะนั้นหมู่ญาติของเราที่พลั้งพลาดไปอยู่ในอบายภูมิก็มี ไปเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉานก็มี ดังนั้น เมื่อทำบุญกุศลอะไรแล้ว ก็อย่าลืมที่จะอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่บรรพบุรุษหมู่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว

ในครั้งนี้หลวงพ่อจะได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเปรต ๑๒ ตระกูล ท่านเรียกว่า ทวาทสวิธเปรต มาให้ทุกท่านได้ศึกษากันว่า มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง บางพวกมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่ทั้งหมดนี้ก็อยู่บนผืนแผ่นดินในโลกมนุษย์นี้แหละ นับว่าอยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์มากที่สุด เพียงแต่มนุษย์ทั้งหลายไม่สามารถมองเห็น เพราะเขามีกายที่ละเอียดกว่าเป็นอทิสสมานกาย สุดวิสัยของมังสจักษุคือตาเนื้อธรรมดาของมนุษย์จะมองเห็นได้ ยกเว้นเปรตอยากมาปรากฏกายให้เห็นเพื่อขอส่วนบุญเท่านั้น

* เปรตตระกูลที่ ๑ คือ วันตาสาเปรต มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวและอดอยากหิวโหย เมื่อเปรตเหล่านี้เห็นมนุษย์ถ่มเสลดนํ้าลายออกมา ต่างตื่นเต้นดีใจรีบตรงไปดูดเอาโอชะเสลดนํ้าลายของมนุษย์กินเป็นอาหาร แล้วก็หิวโหยต่อไปอีกตามเดิม จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้ จึงจะไปเกิดในภูมิอื่น  ที่ต้องมาเกิดเป็นวันตาสาเปรตนี้ ก็เพราะในชาติก่อนเป็นคนตระหนี่จับขั้วหัวใจ เห็นผู้ใดอดอยากมาขออาหาร ก็พาลโกรธถ่มนํ้าลายด้วยความรังเกียจ หรือเข้าไปในสถานที่ที่ควรเคารพบูชา เช่น โบสถ์ วิหาร ลานพระเจดีย์  แล้วไม่มีความเคารพต่อสถานที่ ได้ถ่มเสลดนํ้าลายลงในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อตายไปแล้วจึงมาเกิดเป็นวันตาสาเปรต ต้องกินเสลดนํ้าลายของมนุษย์เป็นอาหาร

เปรตตระกูลที่ ๒ คือ กุณปขาทาเปรต มีรูปร่างน่าเกลียดมาก วิถีชีวิตของเปรตตระกูลนี้ คือจะซอกซอนหาซากอสุภะกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหย ครั้นเห็นซากอสุภะของสัตว์ที่ล้มตายลงกลายเป็นศพขึ้นอืดเน่าเหม็น เปรตเหล่านี้ก็จะดีอกดีใจวิ่งเข้าไปดูดโอชะที่เน่าเหม็นจากซากอสุภะนั้น เพราะผลกรรมที่ทำมาในปางก่อน คือเมื่อครั้งเป็นมนุษย์มีความตระหนี่ เมื่อมีผู้มาขอบริจาคทาน ก็แกล้งให้ของที่ไม่ควรให้ ด้วยปรารถนาจะแกล้ง ประชดประชัน ไม่เคารพในทาน จึงต้องมาเกิดในกำเนิดเปรตพวกนี้

เปรตตระกูลที่ ๓ คือ คูถขาทาเปรต มีรูปร่างน่าสะอิดสะเอียน น่าเกลียดน่าชังต่อผู้ได้พบเห็นมาก เปรตชนิดนี้จะเที่ยวแสวงหาคูถคืออุจจาระที่คนถ่ายเอาไว้ ยิ่งมีกลิ่นเหม็นมากเท่าไรก็ยิ่งชอบ เมื่อเปรตเหล่านี้เห็นอุจจาระแล้วก็จะดีใจจนเนื้อเต้น รีบวิ่งรี่เข้าไปที่กองอุจจาระเหมือนสุนัขอย่างนั้นแหละ ครั้นไปถึงก็ก้มหน้าดูดเอาโอชะของคูถนั้นเป็นอาหาร แต่ก็ไม่เคยได้อิ่มเลย

ที่ต้องมาเกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะชาติก่อนเป็นคนตระหนี่จัด เมื่อหมู่ญาติที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือผู้คนมาหาเพื่อขอความช่วยเหลือขอข้าวขอนํ้าดื่ม จะเกิดอาการขุ่นเคืองขึ้นมาทันที ชี้ไปที่มูลสัตว์พร้อมกับบอกว่า “ถ้าอยากได้ ก็จงเอาไปกินเถิด แต่จะมาเอาข้าวปลาอาหาร ข้าไม่ให้หรอก” แล้วขับไล่ไสส่งไปด้วยความโกรธ ด่าด้วยคำผรุสวาทหยาบคาย ตายแล้วจึงต้องไปเกิดเป็นเปรตกินคูถอยู่อย่างนี้

เปรตกินของไม่สะอาด ๓ ประเภทนี้ เป็นเปรตที่มีความหิวโหยเป็นกำลัง ทั้งเกิดในที่ไม่สะอาด อีกทั้งบริโภคของเหม็นเน่า จึงเกิดความละอายต่อสัตว์ทั่วไป กลัวว่าจะเห็นตน ทั้งๆ ที่โดยธรรมชาติ เปรตเหล่านี้ก็เป็นอทิสสมานกาย คือจะไม่ปรากฏให้มนุษย์เห็นอยู่แล้ว นอกจากตนจะแสดงให้เห็นเป็นบางครั้งบางคราว ถึงกระนั้นก็ยังหาที่ซ่อนกำบัง ไม่กล้าพบหน้าผู้คน

หลวงพ่อมีตัวอย่างเกี่ยวกับเปรตตระกูลนี้มาเล่าให้ทุกท่านได้ศึกษากัน  เพื่อเป็นทิฏฐานุคติ เราจะได้ไม่ประมาท หลงไปทำบาปอกุศล แล้วต้องไปเกิดเป็นเปรตให้เสียเวลาสร้างบารมีไปอย่างน่าเสียดาย เรื่องมีอยู่ว่า พระเถระรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ที่ถูปาราม ครั้นรุ่งอรุณได้ออกจากอารามไปบิณฑบาต เมื่อเดินมาถึงซุ้มประตูอาราม เห็นเด็ก ๒ คน มีรูปแปลกพิกลผิดคนธรรมดานั่งอยู่ใกล้ประตู จึงเข้าไปไต่ถามถึงความเป็นไป

หนูน้อยทั้งสองบอกว่า “ข้าพเจ้าทั้งสองไม่ใช่ลูกคนแต่เป็นเปรต ได้มานั่งคอยเปรตมารดาซึ่งเข้าไปในเมือง บอกว่าจะหาอาหารมาให้ข้าพเจ้า แต่คอยอยู่นานแล้วก็ไม่เห็นมาสักที ครั้นเห็นพระคุณเจ้าเดินออกมา จึงสำแดงกายให้พระคุณเจ้าเห็น เพื่อรบกวนฝากข้อความไปบอกมารดาของข้าพเจ้าว่า ให้เอาอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมาให้โดยเร็วไว ตอนนี้ลูกชายทั้งสองหิวอาหารมากเหลือเกิน”

พระเถระจึงถามว่า “เจ้าหนูเอ๊ย ทำอย่างไรเราจึงจักเห็นมารดาของพวกเธอเล่า” เปรตกุมารทั้งสองหันหน้าปรึกษากัน แล้วส่งรากไม้ท่อนหนึ่งให้กับพระเถระ พลางบอกว่า “พระคุณเจ้า จงถือรากไม้ซึ่งเป็นยานี้ไปเถิด แล้วจักเห็นมารดาของข้าพเจ้าเอง” เมื่อพระเถระรับรากไม้แล้ว ก็รับปากตามนั้น

ครั้นพระเถระเข้าไปในเมือง ฝูงยักขิณีปีศาจทั้งหลายต่างมาปรากฏให้พระเถระเห็นมากกว่าร้อยกว่าพัน ปีศาจเหล่านั้นมีรูปกายน่าเกลียดน่าชัง กำลังเที่ยวแสวงหาของสกปรกโสโครกอย่างชุลมุนด้วยความหิวโหย พระเถระจึงเข้าไปไต่ถามหามารดาของเปรตกุมารทั้งสอง เมื่อพบแล้ว ท่านก็ได้บอกตามที่เปรตทารกทั้งสองนั้นฝากมา นางเปรตฉงนใจจึงถามว่า “เหตุไฉน พระคุณเจ้าจึงเห็นตัวข้าพเจ้า” พระเถรเจ้าจึงชูรากยานั้นขึ้น ทันทีที่นางเปรตพอเห็นรากยาที่พระเถระชูขึ้นเท่านั้น ก็รีบวิ่งเข้าไปชิงเอามาจากมือของพระเถระทันที ครั้นไม่มีรากยา ฝูงเปรต ภูต ผี ปีศาจที่เห็นอยู่มากมายก็หายวับไปกับตาของพระเถระในทันที

นี่ก็เป็นเรื่องแปลกว่า พวกฝูงเปรตที่ต้องมากินของสกปรกโสโครกอยู่อย่างนี้มีอยู่มากมาย ทั้งนี้เพราะในชาติก่อนตนไม่เคารพในทาน มีใจสกปรก และมีความโลภ ทำให้ต้องมารับทุกขเวทนา โหยหิวตลอดเวลาอย่างนี้แหละ สมบัติที่เคยมีในสมัยที่ยังเป็นมนุษย์ไม่สามารถนำเอามาใช้ได้ จะทำมาหากินเหมือนสมัยเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้ ต้องอาศัยบุญที่เคยทำไว้ในสมัยเป็นมนุษย์อย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นขอให้ทุกท่านเห็นคุณค่าของบุญกันให้มากๆ สมบัติที่เรามีก็อย่าได้ตระหนี่ ส่วนหนึ่งนำออกมาทำบุญให้ทาน จะได้กลายเป็นบุญ เป็นมหาสมบัติติดตัวไปข้ามชาติ และให้หมั่นนั่งธรรมะให้ใจใสๆ จะได้เข้าถึงพระธรรมกายภายในกันทุกคน

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/13559
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับปรโลก

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *