เทพจุติ (ทุกข์ชาวสวรรค์)
การเกิดมาภพชาติหนึ่งก็เพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน และขยายธรรมกายให้ไปเป็นที่พึ่งแก่มวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ส่วนเรื่องอื่นก็เป็นเรื่องรองลงมา เพราะเป็นแต่เพียงเครื่องอาศัยอยู่ในโลกนี้เท่านั้น แต่เป้าหมายของการเกิดมานั้น ก็เพื่อสร้างบารมีและฝึกฝนอบรมจิตให้เข้าถึงธรรมกายภายในเพื่อทำนิพพานให้แจ้งนั่นเอง ถ้าจับหลักตรงนี้ได้ เราจะดำเนินชีวิตไม่ผิดพลาด จะไม่ติดอยู่ในโลกธรรม ๘ คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์ และจะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดทั้งสิ้น ใจจะเป็นปกติติดอยู่ในกลางพระธรรมกายอย่างเดียว แม้จะดำรงชีวิตอยู่ในโลก เราก็สามารถยกใจให้อยู่เหนือโลกได้ ซึ่งการจะพัฒนาจิตใจให้ไปถึงระดับนั้นได้ ก็ต้องเริ่มจากการนำใจกลับมาหยุดนิ่งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างเบาสบาย หยุดนิ่งกันเรื่อยไป แล้วเราจะสมปรารถนามีที่พึ่งภายในกันทุกคน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน จวมานสูตร ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด เทวดาเป็นผู้จะต้องจุติจากเทพนิกาย เมื่อนั้น นิมิต ๕ ประการ ย่อมปรากฏแก่เทวดานั้น คือ ดอกไม้ย่อมเหี่ยวแห้ง ๑ ผ้าย่อมเศร้าหมอง ๑ เหงื่อย่อมไหลออกจากรักแร้ ๑ ผิวพรรณเศร้าหมองย่อมปรากฏที่กาย ๑ เทวดาย่อมไม่ยินดีในทิพยอาสน์ของตน ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายทราบว่า เทพบุตรนี้จะต้องเคลื่อนจากเทพนิกาย ย่อมพลอยยินดีกับเทพบุตรนั้นด้วยถ้อยคำ ๓ อย่างว่า ท่านผู้เจริญ เมื่อท่านจากเทวโลกนี้แล้ว จงได้ไปสู่สุคติเถิด ๑ ครั้นไปสู่สุคติแล้ว ขอจงได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้ว ๑ ครั้นได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้ว ขอเป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยดีเถิด”
ครั้งนี้ หลวงพ่อจะได้นำเรื่องความทุกข์ของชาวสวรรค์มาเล่าให้ฟัง เพราะที่ผ่านมาดูเหมือนพวกเราจะเข้าใจว่า ชาวสวรรค์คงจะไม่มีความทุกข์ คงมีแต่เสวยสุขล้วนๆ แต่แท้จริงแล้วภพภูมิที่มีสุขล้วนๆ นั้นไม่มี มีอยู่ที่เดียวคือ อายตนนิพพาน ผู้รู้ท่านถึงกล่าวว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นสุขล้วนๆ ที่ไม่มีทุกข์เจือปน กิเลสอาสวะไม่สามารถเข้ามาห่อหุ้มในกายธรรมอรหัตละเอียดได้ จึงไม่มีการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตายอีกต่อไป เสวยเอกันตบรมสุขเพียงอย่างเดียว
ชาวสวรรค์เขายังมีกิเลสที่เป็นตัวตัณหาครอบงำจิตใจอยู่เหมือนกัน เพียงแต่เป็นกิเลสที่ละเอียดกว่าของชาวโลกทั่วไป สภาวะความเป็นอยู่ก็มีแต่ของทิพย์หรือของละเอียดๆ อาหารก็เป็นสุธาโภชน์เป็นอาหารทิพย์ มีปัจจัย ๓ คือ อาหาร เสื้อผ้าที่เป็นทิพยภูษาอาภรณ์ มีวิมานหรือปราสาทซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเขา ไม่มียารักษาโรค เพราะเทวดาเขาไม่ต้องแก่และไม่เจ็บป่วยเหมือนอย่างพวกเรา แต่ก็ยังมีความตายแทรกเข้าไปได้ ความทุกข์ก็จะเกิดตรงนี้แหละ ตรงที่ตนเองใกล้จะจุติเพื่อไปเกิดใหม่นั่นเอง
เมื่อกล่าวถึงความตายของเหล่าทวยเทพ เขาจะมีลางบอกเหตุ ที่เรียกว่าบุพนิมิตที่จะทำให้จุติจากสวรรค์ มีอยู่ ๕ ประการด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ดอกไม้ที่เทพบุตรเทพธิดาประดับนั้นจะเหี่ยวแห้งลง คือหมดความงดงามไปเลย เหมือนเอาทิ้งไว้กลางแดดในเวลาเที่ยงวันอย่างนั้นแหละ ต่อมาทิพยภูษาที่เทพบุตรเทพธิดานุ่งห่มตามปกติ ที่มีสีสันสวยงามนั้น จะกลับหมองลงไปเรื่อยๆ
เมื่อเทวดาเห็นความผิดปกติของทิพยอาภรณ์หรือรัศมีของตนเองแล้ว ก็จะเกิดความสลดใจ ความทุกข์ระทมใจนี่เอง เป็นเหตุส่งผลให้หยาดเหงื่อไหลออกจากรักแร้ทั้งสอง ซึ่งตามปกติแล้ว เทวดาเขาจะไม่มีเหงื่อ เพราะสรีรยนต์ของเขาจะสะอาดเกลี้ยงเกลา เหมือนแก้วมณีที่บริสุทธิ์โดยกำเนิด หรือเหมือนรัตนชาติที่ศิลปินผู้เชี่ยวชาญตกแต่งเอาไว้อย่างดีแล้ว แต่เมื่อถึงคราวหมดบุญหรือหมดอายุขัย ไม่ใช่แค่เหงื่อไหลเพียงอย่างเดียวที่ออกจากรักแร้ แต่แม้เหงื่อกาฬก็จะไหลออกจากร่างกายของเทพตนนั้นอีกด้วย กายของเทวดาจะเป็นเหมือนหนักอึ้งด้วยข่ายมุกดาที่ตนประดับอยู่นั่นเอง
ตามปกติแล้ว เหล่าทวยเทพส่วนใหญ่ซึ่งเกิดแบบโอปปาติกะ คือพอเกิดปุ๊บก็โตทันทีนั้น ร่างกายจะแผ่รัศมีคลุมกายเป็นปริมณฑลทรงกลม บางที ๑๐ วา บางทีก็ ๑โยชน์บ้าง ๒ โยชน์บ้าง จนถึง ๑๒ โยชน์ ตามอานุภาพบุญของตนที่ได้ทำเอาไว้ เทวดาจะปราศจากความชราภาพ ฟันหัก ผมหงอก หรือผิวหนังเหี่ยวย่น ความหนาว ความร้อน จะไม่เข้าไปกระทบกาย เพราะบนสวรรค์มีฤดูเดียวคือฤดูสบาย ไร้ความกังวลจากฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงเหมือนในมนุษย์โลก ร่างกายจึงเป็นเหมือนเทพธิดารุ่นสาวอายุราว ๑๖-๑๘ ปี ถ้าฝ่ายชายก็จะเป็นเหมือนเทพบุตรรุ่นหนุ่มอายุราว ๑๘-๒๐ ปี หล่อ สวยไม่สร่างตลอดเวลา
ในขณะที่ตนเองจะต้องจุตินั้น ความไม่ปกติจะเข้ามาแทนที่ทันที รัศมีกายจะค่อยๆ หดลง เกิดความไม่ยินดีในเทวโลก คือเทวดาจะหมดความชื่นใจในทิพยอาสน์ แม้จะมองเห็นเทพนารี นางฟ้าชาวสวรรค์อยู่ล้อมรอบ ก็เกิดความเบื่อหน่ายอยู่ในใจ คล้ายเวลาที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยแสนสาหัส มันไม่มีอารมณ์ที่จะชื่นชมยินดีอะไร แม้จะมีมหรสพดนตรีมาแสดงให้ดูอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่อยากดูไม่อยากเห็นทำนองนั้น
สำหรับเทพผู้มีบุญนั้น จุตินิมิตจะปรากฏให้รู้ตลอด ๗ วัน ของวันเวลาทิพย์ เมื่อบุพนิมิตเหล่านี้เกิดขึ้นให้เทพบุตรเห็นชัดแล้ว เทพบุตรก็จะถูกความโศกครอบงำ เพราะคิดว่าเราจะต้องพลัดพรากจากทิพยสมบัติมากมายเหล่านี้แล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งกระวนกระวายใจหนักขึ้นไปอีก เมื่อวิตกกังวลหนักเข้า เหงื่อจึงไหลออกจากรักแร้ดังที่เล่าข้างต้นนั้น เทพบุตรบางองค์ที่มีทุกข์มาก ไม่สามารถจะระงับความทุกข์เอาไว้ได้ ก็จะรำพึงพิไรรำพันว่า เรากลุ้มใจเหลือเกิน แต่ก็ไม่มีเทพตนไหนช่วยได้ บางองค์ตั้งสติได้ แม้จะไม่แสดงความผิดปกติทางกายหรือทางวาจา แต่ในใจนั้นก็ไม่สามารถอดกลั้นทุกข์เอาไว้ได้ ที่จำต้องมาพลัดพรากจากของรักที่เคยครอบครอง แม้จะเที่ยวไปที่ไหนก็ไม่สบายใจ เพราะในใจก็ยังกังวลอยู่ดีนั่นเอง
บุพนิมิตเหล่านี้จะปรากฏให้เห็นทั้งตนและเพื่อนชาวสวรรค์ที่มาพบเห็น เพราะกายเศร้าหมองลง แต่ถ้าเป็นเทพผู้มีศักดิ์ใหญ่ก็มักจะหลบอยู่แต่ในวิมาน ไม่กล้าออกมาให้ใครเห็น เหมือนผู้มีศักดิ์ใหญ่ในเมืองมนุษย์ ที่เป็นผู้ปกครองประเทศหรือมหาเศรษฐีก็จะเก็บตัวเงียบ ไม่ปรากฏให้คนทั่วไปได้เห็น สำหรับเทวดาแล้วตนเองเท่านั้นที่รู้ดีว่า นิมิตที่เกิดขึ้นมานี้ เป็นบุพนิมิตแห่งมรณะ ส่วนสหายแห่งเทวดาถ้าไม่สังเกตบางทีก็ไม่รู้ เพราะบุพนิมิตอาจเพิ่งเริ่มเกิด ครั้นครบ ๗ วันในเทวโลก เทวดานั้นก็จะจุติดับวูบไปเลย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับบุญและบาปที่เคยทำเอาไว้ในภพก่อนๆ ที่จะนำไปเกิด ถ้ากุศลกรรมที่ทำมาในอดีตมีไม่มาก เนื่องจากวิบากกรรมฝ่ายดีส่งผลก่อนทำให้ได้เสวยทิพยสมบัติอยู่บนสวรรค์นั้น แต่ครั้นหมดบุญจากสวรรค์แล้ว ถึงคราวจะลงมาเกิดใหม่ก็จะกลัวชีวิตในอนาคตของตน เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปบังเกิดที่ไหน ทำให้เกิดทุกข์ใจมากๆ ในขณะกำลังจะจุติใหม่นั้น
ส่วนทวยเทพที่มีบุญมาก เมื่อรู้ว่าตนเองสิ้นอายุขัยแล้ว จะไม่กลัวและไม่หวาดหวั่น คือพร้อมเสมอต่อการเกิดใหม่ เพราะได้เคยให้ทาน รักษาศีล และสั่งสมบุญไว้อย่างดีแล้ว เพราะฉะนั้น แม้จะจุติจากโลกสวรรค์แล้ว ก็มั่นใจว่าจะได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ชั้นสูงยิ่งๆ ขึ้นไป หรือได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ที่อยู่ในตระกูลสูง และมีสัมมาทิฏฐิที่จะเป็นเหตุได้สร้างความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก
เมื่อกำหนดบุพนิมิตแห่งความตายได้แล้ว จะพากันเข้าไปสู่สวนนันทวัน ซึ่งอุทยานสวรรค์แห่งนี้มีประจำอยู่ในเทวโลกทุกชั้น เขาจะเข้าไปนอนบนแท่นเป็นที่จุติ แล้วเหล่าทวยเทพด้วยกันก็จะกล่าวอำนวยพรว่า “ท่านผู้เจริญ ท่านจากเทวโลกนี้ไปแล้วจงถึงสุคติโลกมนุษย์ จงถึงความเป็นสหายของมนุษย์ทั้งหลายเถิด ท่านเป็นมนุษย์แล้ว จงมีศรัทธาในพระศาสนาที่พระตถาคตประกาศดีแล้ว ท่านจงละกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต และอย่ากระทำอกุศลกรรม จงบำเพ็ญบุญเอาไว้มากๆ จะได้กลับมาเสวยสุขในสวรรค์ด้วยกันอีก”
เราจะเห็นว่า ทุกข์ของเทวดาก็ยังมี คือ ช่วงเวลาก่อนจุติ ๗ วัน และสุคติของชาวสวรรค์นั้นก็คือโลกมนุษย์นี่แหละ เพราะเป็นโลกแห่งการสร้างบารมี เป็นโอกาสดีที่จะได้สั่งสมบุญใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้โอกาสอันเลิศนี้แล้ว เราทั้งหลายต้องสร้างบารมีให้เต็มที่ โดยเฉพาะพวกเราต่างเกิดมาอย่างมีเป้าหมายคือมาสร้างบุญบารมี เพื่อไปสู่ที่สุดแห่งธรรม ดังนั้นให้หมั่นสั่งสมบุญกันให้เต็มที่ ทั้งทาน ศีล ภาวนา แล้วเราจะได้กลับสู่วิมานบ้านเดิมของเราโดยพร้อมหน้ากันทุกคน
* มก. เล่ม ๔๕ หน้า ๕๐๑
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/13683
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับปรโลก
กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน
✨น้อมกราบหลวงพ่อธัมมชโย #คุณครู
ไม่ใหญ่ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ
🏵️🌼🌺🌸💮🌟🌷🌟💮🌸🌺🌼🏵️