ปรนิมมิตวสวัตดี ตอน สิริมาเทพนารี ๑

ปรนิมมิตวสวัตดี ตอน สิริมาเทพนารี ๑

การกระทำต่างๆ จะดีหรือร้ายก็ตามล้วนเป็นผลจากความคิดทั้งสิ้น การกระทำที่ถูกต้องมาจากความคิดที่ดีเป็นกุศล การกระทำที่ไม่ถูกต้องมาจากความคิดที่เป็นอกุศล ดังนั้นความคิดจึงเป็นสิ่งที่ควรปรับปรุงก่อนสิ่งอื่นใด  การปฏิบัติธรรมเป็นการพัฒนาความคิดให้สมบูรณ์ขึ้น โดยเฉพาะความคิดที่จะปรารภความเพียรนั่งสมาธิให้ต่อเนื่องจนกระทั่งเข้าถึงพระธรรมกาย เป็นความคิดที่ประเสริฐสุด ต้องอาศัยความต่อเนื่อง ความสมํ่าเสมอ และความเพียร ซึ่งเป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรม

เมื่อเราได้ปฏิบัติธรรม อย่างน้อยที่สุดความคิดก็จะเป็นระเบียบ มีพลังความคิดสร้างสรรค์อย่างไม่รู้หมดสิ้น การนั่งสมาธิทุกๆ วันจะทำให้ใจเราสงบเยือกเย็น มีความสุข และความเบิกบานเกิดขึ้น เป็นการเพิ่มพลังชีวิตให้แก่ตัวของเราเอง เมื่อใจหยุดนิ่งจนถูกส่วนแล้ว ก็จะได้เข้าถึงพระธรรมกายภายในที่ใสสว่าง ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึก เป็นหลักประกันของชีวิตอย่างแท้จริง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทานสูตร ว่า
“ดูก่อนสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตใจผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน อีกทั้งไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เช่นเดียวกับบัณฑิตนักปราชญ์ในกาลก่อนทั้งหลาย แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้แล้ว จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและปีติโสมนัส เขาให้ทานคือ ข้าวและนํ้าเป็นต้นแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี”

ตอนนี้ เราได้มาถึงสวรรค์ชั้นที่ ๖ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดในฉกามาวจรภูมิ สวรรค์ชั้นนี้มีนามว่า ปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ เป็นที่อยู่ของเหล่าทวยเทพ ซึ่งเสวยเบญจกามคุณอันเป็นทิพย์ที่วิเศษสุดด้วยสุขสมบัติยิ่งกว่าสวรรค์ทุกชั้นฟ้า เพราะว่าเมื่ออยากได้อะไร ก็จะมีเทพบริวารคอยเนรมิตให้ โดยไม่ต้องเสียเวลาไปเนรมิตเอาเอง คือมีเทพบริวารที่รู้ใจเจ้านายจัดการให้ทุกเรื่อง เช่นรู้ว่าวันนี้เจ้านายอยากสวมใส่ทิพยภูษาอาภรณ์ชุดไหน อยากไปเที่ยวที่ไหน พอรู้ว่าเจ้านายปรารถนาจะเสวยสุธาโภชน์ชนิดใด ก็จะช่วยเตรียมการจัดแจงเนรมิตให้ทันที ทวยเทพชั้นนี้จึงเสวยสุขสมบัติกันอย่างเต็มที่ราวกับผู้นิรทุกข์ สำหรับความเป็นอยู่ของผู้ที่อุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ ได้แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ ฝ่ายที่มีจอมเทพนามว่า “ท้าวปรนิมมิตเทวราช” ทรงปกครองเหล่าทวยเทพให้ได้รับความสุขสำราญ และมี “ท้าวปรนิมมิตวสวัตดีมาร” เป็นผู้ปกครองบริวารอีกกลุ่มหนึ่ง

เรื่องของท้าวปรนิมมิตวสวัตดีมารนั้น เราจะมาศึกษากันในครั้งต่อๆ ไป  สำหรับครั้งนี้หลวงพ่อมีตัวอย่างของผู้ที่ทำบุญกุศลแล้ว ได้ไปเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นนี้ เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องของหญิงงามเมือง หรือหญิงโสเภณีผู้พลิกผันชีวิตจากปุถุชนคนธรรมดา กลายมาเป็นยอดหญิงผู้มีจิตใจงดงามสูงส่ง จนได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เมื่อละโลกแล้ว ทั้งกายและใจก็สูงส่งยิ่งขึ้นตามไปด้วย คือได้ไปบังเกิดเป็นเทพนารีในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี เรื่องของนางจึงน่าสนใจ และน่าศึกษามาก ว่านางได้พลิกผันวิถีชีวิตของตัวเองอย่างไร

* เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เวฬุวันมหาวิหาร มีอุบาสิกาผู้มีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยไม่คลอนแคลนท่านหนึ่งชื่อ อุตตรา เธอได้แต่งงานกับลูกชายเศรษฐีซึ่งยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ เพราะทุกคนในครอบครัวฝ่ายสามีไม่ได้นับถือพุทธศาสนา แต่เนื่องจากนางเป็นพระโสดาบัน จึงอยากหาโอกาสสั่งสมบุญบ้าง หลังจากเข้าพรรษาไปได้สองเดือนครึ่ง เหลือเวลาอีกประมาณ ๑๕ วันก็จะหมดช่วงเข้าพรรษา นางมีความปรารถนาจะทำบุญให้ทานมาก จึงตัดสินใจขอเงินจากพ่อ ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ  เพื่อจะนำมาเป็นค่าจ้างหญิงงามเมืองหรือหญิงโสเภณีชั้นสูงนางหนึ่งนามว่า สิริมา เพื่อให้มาดูแลสามีแทนตน โดยจ่ายค่าจ้างให้วันละ ๑,๐๐๐ กหาปณะ เพื่อตัวเองจะได้มีเวลาที่เหลือไปทำบุญตามชอบใจ

เมื่อนางสิริมาเห็นค่าจ้างในราคาสูงถึงปานนั้น ก็รับปากว่าจะทำหน้าที่ปรนนิบัติสามีของนางเป็นอย่างดี ฝ่ายสามีของเธอก็ยินยอมพร้อมใจ เมื่อได้รับคำอนุญาตแล้ว นางอุตตราก็กราบนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้มาฉันภัตตาหารที่บ้าน และยังได้ฟังธรรมจากพุทธองค์จนถึงวันมหาปวารณา ซึ่งการทำบุญครั้งนี้ เธอได้เป็นแม่งานในการจัดแจงงานทุกอย่างด้วยความเบิกบานใจยิ่งนัก

ก่อนถึงวันมหาปวารณาหนึ่งวัน สามีผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิของเธอ ได้ยืนมองไปทางโรงครัวทางหน้าต่าง เห็นภรรยากำลังง่วนอยู่กับงานครัว เนื้อตัวขะมุกขะมอมไปด้วยเขม่าควัน ไม่ยอมพักเลย จึงคิดว่านางช่างโง่เขลา ไม่รู้จักอยู่สุขสบาย มัวแต่ไปอุปัฏฐากสมณะโล้น คิดดังนั้นก็รู้สึกขำจึงหัวเราะขึ้น หญิงงามเมืองสิริมาซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ เห็นกิริยาสามีของนางอุตตราเช่นนั้น ก็เกิดลืมตัวสำคัญตนผิด นางรู้สึกหึงหวงและโกรธนางอุตตรา จึงได้เดินเข้าไปในครัว  ตักเนยใสที่กำลังเดือดพล่าน ถือเดินตรงรี่เข้าไปหานางอุตตรา

เมื่อนางอุตตราเห็นอาการของนางสิริมาที่เดินเข้ามาหาด้วยความโกรธ ก็รู้ว่าตนเองกำลังจะถูกประทุษร้าย จึงแผ่เมตตาไปถึงนางว่า “หญิงสหายของเรานี้ มีอุปการะต่อเรามาก เราทำบุญกุศลเพื่อหวังความสุขในพระนิพพาน จักรวาลนี้ก็แคบนัก พรหมโลกก็ยังต่ำเกินไป แต่บุญคุณของหญิงนี้ยิ่งใหญ่ไพศาล ถ้าเราโกรธก็จะเวียนว่ายตายเกิดผูกพยาบาทอยู่ในกามภพนี้ เพราะอาศัยนางแท้ๆ เราจึงได้โอกาสถวายทานและฟังธรรม ถ้าเรามีความโกรธต่อหญิงนี้แม้แต่น้อย ขอเนยใสนี้จงลวกเราเถิด แต่หากไม่มีความโกรธ  ขอเนยใสนี้อย่าได้ลวกเราเลย” เนยใสเดือดพล่านที่นางสิริมาถือมานั้น ได้ถูกราดลงบนศีรษะของนางอุตตรา ด้วยอานุภาพแห่งการเจริญเมตตาจิต  เนยใสนั้นกลายเป็นน้ำเย็นชะโลมกาย ไม่สามารถทำอันตรายใดๆ นางได้เลย

ฝ่ายหญิงรับใช้เห็นนายถูกทำร้าย ต่างเข้ารุมทุบตีนางสิริมาจนล้มลง นางอุตตราเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าห้ามปราม และสอบถามถึงสาเหตุที่มาทำร้ายตน  เมื่อทราบความแล้วจึงว่ากล่าวอบรม และให้นางไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำอุ่น นอกจากนั้นยังให้ทานํ้ามันซึ่งหุงถึง ๑๐๐ ครั้งด้วยตนเอง  เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ นางสิริมาก็รู้สึกตัวสำนึกผิด คิดว่าตนได้ทำกรรมหนักเสียแล้ว จึงได้กราบขอขมาในความผิดครั้งนี้ นางอุตตราเป็นผู้ฉลาดในการทำหน้าที่กัลยาณมิตร จึงกล่าวว่า “ตัวฉันเองเป็นผู้มีบิดา ถ้าหากปุณณเศรษฐี ผู้เป็นบิดาในวัฏฏะ และบิดาในวิวัฏฏะคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งสองท่านนี้ยกโทษให้ เราก็จะยกโทษให้”

นางสิริมาจึงบอกว่า รู้จักแต่ท่านปุณณเศรษฐี แต่ไม่คุ้นเคยกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นางอุตตราจึงอาสาว่าจะพาไปเข้าเฝ้าเอง เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันมหาปวารณา พระบรมศาสดาพร้อมกับภิกษุสงฆ์จะเสด็จมารับภัตตาหารที่บ้าน เธอจงถือเครื่องสักการะมา แล้วขอให้พระองค์อดโทษเถิด นางสิริมาจึงกลับบ้านของตนเอง และให้หญิงบริวารตระเตรียมอาหารที่ประณีตให้พร้อม รุ่งเช้านางจัดแจงถือเครื่องสักการะมาถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและหมู่ภิกษุสงฆ์ หลังจากนั้นนางสิริมาพร้อมด้วยบริวารได้หมอบลงแทบพระบาทของพระบรมศาสดา พร้อมกับทูลเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น

พระบรมศาสดาทรงสอนว่า “บุคคลควรชนะความโกรธหรือคนที่มักโกรธด้วยความไม่โกรธ พึงชนะคนไม่ดีด้วยความดี พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้  จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีชัยชนะอย่างแท้จริง” เมื่อเห็นว่าใจของเธอเลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้ว พระพุทธองค์ทรงแสดงอริยสัจสี่ นางสิริมาได้ปล่อยใจไปตามกระแสพระธรรมเทศนาในที่สุดก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน

นี่เป็นฉากหนึ่งของชีวิตหญิงงามเมืองผู้คลุกคลีอยู่กับกิเลสตัณหา แต่สามารถถอนตนออกจากวังวนเหล่านี้ได้ โดยยกใจขึ้นสู่กระแสพระนิพพาน ส่วนฉากชีวิตต่อไปของเธอจะเป็นอย่างไร นางได้สั่งสมบุญอะไรไว้อีก จึงเป็นเหตุให้ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี หลวงพ่อจะเล่าในครั้งต่อไป

ขอให้ทุกท่านหมั่นสั่งสมบุญกันให้มาก และรักที่จะทำความดีให้ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ทำบุญแล้วก็ให้หมั่นนึกถึงบ่อยๆ ดวงบุญของเราจะได้โตขึ้นไปเรื่อยๆ  และหมั่นนั่งธรรมะกันเป็นประจำอย่าได้ขาด ให้ฝึกใจหยุดนิ่งเรื่อยไปจนกว่าจะเข้าถึงพระธรรมกายภายในกันทุกคน

* มก. เล่ม ๓๓ หน้า ๑๓๕

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/13740
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับปรโลก

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

1 thought on “ปรนิมมิตวสวัตดี ตอน สิริมาเทพนารี ๑”

  1. ✨น้อมกราบ สาธุ สาธุ สาธุครับ
    🌟✨🌟✨🌟✨✨🌟✨🌟✨

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *