พรหมปุโรหิตาภูมิ
ตราบใดที่กิเลสอาสวะภายในใจของเรายังไม่หมด ย่อมต้องถูกพญามารตามรังควานในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่กิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร รวมไปถึงเทวบุตรมาร และผู้ที่จะถูกเขาบังคับบัญชาได้ง่าย คือผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนอบรมใจให้หยุดนิ่ง มัวปล่อยใจให้เลื่อนลอยไปตามกระแสโลก ปล่อยชีวิตให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ไปยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ต่างๆ ทำให้ประมาทในชีวิต
มีอยู่ที่หนึ่งที่พญามารบังคับบัญชาไม่ได้ คือที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ที่ตรงนี้เป็นเหมือนป้อมเหมือนค่าย เป็นหลุมหลบภัยที่ดีที่สุด เราจะปลอดภัยจากมารทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ให้ทุกท่านหยุดใจไว้ที่ตรงนี้ อย่าประมาทในชีวิต ให้ใช้เวลาที่ผ่านไปให้เกิดประโยชน์มากที่สุดด้วยการประพฤติธรรม นำใจมาหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายให้ได้ตลอดเวลา หมั่นทำในทุกอิริยาบถทำทุกๆ วันอย่างสมํ่าเสมอ เราจะได้พบกับที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด คือ พระรัตนตรัยภายใน ซึ่งเปรียบเสมือนเกราะแก้วคุ้มกันภัยชั้นเลิศของเรา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน เกวัฏฏสูตร ว่า
“ดูก่อนเกวัฏฏะ ปาฏิหาริย์ ๓ อย่างนี้ เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยตนเองแล้ว จึงประกาศให้รู้ ปาฏิหาริย์ ๓ อย่างคือ อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทศนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ดูก่อนเกวัฏฏะ อิทธิปาฏิหาริย์ คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แยกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ นั่งบัลลังก์เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากก็ได้ ใช้อำนาจกาย ไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ”
การไปสู่พรหมโลกของนักปฏิบัตินอกศาสนา ดูเหมือนจะไปรู้ไปเห็นได้ต่อเมื่อละสังขารไปแล้ว สำหรับในทางพุทธศาสนานอกจากจะเห็นก่อนตายแล้ว ยังสามารถไปรู้เห็นด้วยกายเนื้อได้ คือผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายท่านสามารถใช้กายเนื้อไปสู่พรหมโลกได้อีกด้วย ซึ่งมีตัวอย่างของพระอรหันต์หลายรูป ที่สามารถใช้อิทธิฤทธิ์ไปสู่พรหมโลก ส่วนในปัจจุบัน ถ้าหากเข้าถึงพระธรรมกายที่ชัดใสสว่าง มีโอกาสได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย ก็สามารถที่จะอาศัยธรรมกายไปตรวจดูภพภูมิของพรหมโลกได้ เมื่อไปรู้ไปเห็นแล้ว จะได้หมดความสงสัยว่า พรหมนั้นมีกี่หน้า
* ครั้งนี้ เรามาถึง พรหมโลกชั้นที่ ๒ ชื่อว่า พรหมปุโรหิตาภูมิ เป็นที่อยู่ของรูปพรหม ผู้ทรงฐานะประเสริฐกว่าพรหมชั้นปาริสัชชา เพราะเป็นผู้นำของมหาพรหม พรหมชั้นนี้ประเสริฐกว่าพรหมชั้นแรก ทั้งในด้านพรหมสมบัติ เช่น ปราสาทวิมานและอายุขัย ทั้งในด้านสรีระร่าง ก็มีรูปกายที่ใหญ่กว่า สวยงามกว่า รัศมีสว่างกว่า
เมื่อกล่าวโดยอายุ พรหมปุโรหิตาภูมินี้มีอายุยืนนานนับได้ครึ่งหนึ่งของวิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัปนั้นมี ๖๔ อันตรกัป ครึ่งหนึ่งก็คือ ๓๒ อันตรกัป บุพกรรมของผู้ที่มาบังเกิดเป็นพรหมชั้นนี้ โดยมากเคยเป็นโยคีผู้ประพฤติธรรม พระฤาษี ดาบส นักพรต สิทธาทั้งหลาย ที่ท่านเบื่อหน่ายในโลกียวิสัย จึงออกบำเพ็ญพรตภาวนา หรือเป็นสมณะในพระพุทธศาสนา บำเพ็ญสมถกรรมฐานจนได้มัชฌิมปฐมฌาน คือปฐมฌานชั้นกลาง เมื่อจะดับจิตตายไปจากโลกนี้ ฌานที่ได้ไว้ไม่เสื่อมคลาย อีกทั้งมีใจปรารถนาไปเกิดในพรหมโลก ก็จะเป็นเหตุปัจจัยให้มาอุบัติเป็นพรหมชั้นพรหมปุโรหิตาภูมิ เสวยสุขสมบัติกันยาวนาน สมกับภาวนากรรมที่ได้สั่งสมเอาไว้
สำหรับท่านที่บำเพ็ญภาวนาและเจริญอิทธิบาท ๔ จนได้ฌานสมาบัตินั้น ธรรมทั้ง ๔ ประการ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ของท่านผู้นั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องเข้าถึงความเป็นใหญ่ในขณะที่ฌานจะเกิดขึ้นนั้น ความเป็นใหญ่ของธรรมทั้ง ๔ ที่เกิดขึ้น หากเป็นไปอย่างสามัญธรรมดาคือมีกำลังอ่อน ฌานที่เกิดขึ้นก็เป็นปริตตฌาน ถ้าหากมีกำลังปานกลาง ฌานที่เกิดขึ้นนั้นก็เป็นมัชฌิมฌาน หากมีกำลังเข้มแข็ง ฌานที่เกิดขึ้นก็เป็นปณีตฌาน ฌานที่เกิดขึ้นแบ่งเป็น ๓ ชั้น คือ ชั้นปริตตะ มีอำนาจสูงต่ำกว่ากัน เพราะฉะนั้น เมื่อจะให้ผลไปบังเกิดในพรหมโลก จึงให้ผลแตกต่างกัน เช่น ท่านผู้ได้ปฐมฌานชั้นปริตตะ ก็มีโอกาสได้เกิดเพียงพรหมชั้นล่าง คือพรหมปริสัชชาเท่านั้น เพราะฌานมีกำลังอ่อน
ถัดมาเป็น พรหมโลกชั้นที่ ๓ คือ มหาพรหมภูมิ เป็นที่อยู่ของพรหมผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย คือยิ่งกว่าพรหมปาริสัชชาและพรหมปุโรหิตา เมื่อว่าโดยสมบัติ คือความเป็นอยู่ของมหาพรหมนี้ จะมีพรหมสมบัติและความเป็นอยู่ประเสริฐล้ำเลิศกว่าพรหมทั้งสองชั้นที่หลวงพ่อได้เล่ามาแล้ว เมื่อว่าโดยอายุขัยของพรหมโลกชั้นนี้ ก็มีอายุนานนับได้ประมาณ ๑ มหากัปพอดี
ผู้ที่มาอุบัติในพรหมโลกชั้นมหาพรหมนี้ ได้แก่พวกดาบสโยคี และพระฤๅษีผู้บำเพ็ญตบะ และสมณะในพระพุทธศาสนา ซึ่งทำกรรมฐานจนได้ปฐมฌานขั้นประณีต ครั้นดับจิตตายจากมนุษยโลกแล้ว ก็มาอุบัติเป็นมหาพรหม ในมหาพรหมภูมินี้ มีข้อควรจำง่ายๆ ว่า พรหมภูมิ ๓ ชั้นนี้ ตั้งอยู่บนภาคพื้นเดียวกัน แต่แยกกันเป็น ๓ เขต มีอาณาเขตอยู่เป็นพวกๆ ตามกำลังฌาน แม้จะได้ปฐมฌานเหมือนกัน แต่ว่ามีประเภทต่างกัน คือ ปฐมฌานชั้นสามัญส่งผลให้เกิดในพรหมปาริสัชชา ปฐมฌานชั้นกลางส่งผลให้เกิดในพรหมปุโรหิตา ปฐมฌานชั้นประณีตส่งผลให้เกิดในมหาพรหม
พรหมโลกชั้นที่ ๔ มีชื่อว่า ปริตตาภาภูมิ เป็นที่อยู่ของพรหมที่มีรัศมีน้อยกว่าพรหมที่อยู่เบื้องบนขึ้นไป ที่ว่ารัศมีน้อยของเขานั้น ต้องถือว่าสว่างไสวกว่ารัศมีของพรหม ๓ ชั้นแรกมาก โดยเฉพาะรัศมีของเทวดาจะมาเทียบรัศมีของพรหมชั้นนี้ไม่ได้เลย อายุขัยก็ยืนยาวถึง ๒ มหากัป สำหรับบุพกรรมที่ทำให้ได้มาอุบัติในพรหมโลกชั้นนี้ ต้องสำเร็จทุติยฌาน ประเภทปริตตะคือเล็กน้อยหรือสามัญ
พรหมโลกชั้นที่ ๕ คืออัปปมาณาภา เป็นที่อยู่ของพรหมที่มีรัศมีมากมายประมาณมิได้ สามารถส่องแสงสว่างไสวไปได้ทั่วหมื่นโลกธาตุ มีอายุยืนนานถึง ๔ มหากัป บุญที่หนุนส่งให้ได้มาเกิดในพรหมโลกชั้นนี้ เพราะได้สำเร็จทุติยฌาน ประเภทมัชฌิมะ คือปานกลาง
พรหมโลกชั้นที่ ๖ คืออาภัสสราภูมิ เป็นภูมิที่อยู่ของพรหมที่มีรัศมีเป็นประกายรุ่งโรจน์ และมีแสงชนิดต่างๆ ดุจแสงฟ้าแลบตลอดเวลา สว่างไสวกว่าพรหมที่อยู่ชั้นอัปปมาณาภา พรหมชั้นนี้มีอายุยืนนาน ๘ มหากัป ผู้ที่จะมาอุบัติในพรหมโลกชั้นนี้ได้ ต้องสำเร็จทุติยฌานประเภทปณีตะ คือ ประณีตยอดเยี่ยม
ทุติยฌานภูมิทั้ง ๓ ชั้นนี้ ตั้งอยู่ภาคพื้นเดียวกัน แต่แยกกันเป็น ๓ เขต คือปริตตาภาภูมิเขตหนึ่ง อัปปมานาภาภูมิเขตหนึ่ง และอาภัสสราภูมิเขตหนึ่ง มีอาณาเขตอยู่เป็นพวกๆ ตามกำลังฌานสมาบัติ
พรหมโลกชั้นที่ ๗ ชื่อปริตตสุภา พรหมชั้นนี้มีรัศมีกายที่สว่างสวยงามมาก แต่ก็ยังสง่างามน้อยกว่าชั้นที่ ๘ อายุของพรหมชั้นนี้ยืนนานถึง ๑๖ มหากัป เพราะเป็นผลที่เกิดจากได้สำเร็จตติยฌานประเภทปริตตะ
พรหมโลกชั้นที่ ๘ ชื่ออัปปมาณสุภาภูมิ มีความสว่างสวยงามไม่มีประมาณ อายุยืน ๓๒ มหากัป เพราะได้สำเร็จตติยฌาน ประเภทมัชฌิมะคือชั้นกลาง
พรหมโลกชั้นที่ ๙ ชื่อสุภกิณหาภูมิ พรหมชั้นนี้มีรัศมีสว่างสวยงาม รัศมีออกสลับกันตลอดทั่วสรีระ มีอายุยืนนานถึง ๖๔ มหากัป เพราะได้สำเร็จตติยฌานประเภทปณีตะ
ตติยฌานภูมิทั้ง ๓ นี้ ตั้งอยู่ในระดับเดียวกันในท่ามกลางอากาศ แต่แยกกันอยู่เป็น ๓ เขต เช่นเดียวกับปฐมฌานภูมิและทุติฌานภูมิ เสวยสุขด้วยอำนาจฌานสมาบัติ ที่ตัวเองได้ทำไว้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์
ครั้งนี้ขอหยุดไว้ที่พรหมโลกชั้นที่ ๙ ให้ทุกท่านหมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมกันต่อไป จะมืดบ้างสว่างบ้างก็นั่งกันไปเถอะ ความเพียรเป็นหัวใจของความสำเร็จ สักวันหนึ่งเราจะได้เข้าถึงพระธรรมกาย ถ้าขยันหมั่นเพียรเอาจริงเอาจังต้องสมหวังกันอย่างแน่นอน ผู้ที่ไม่สมหวังคือผู้ที่ไม่ได้ลงมือทำ ถ้าลงมือทำต้องสมหวังอย่างแน่นอน ดังนั้น ให้หมั่นฝึกฝนอบรมใจให้หยุดนิ่งกันเป็นประจำสมํ่าเสมอทุกวัน
* ภูมิวิลาสินี (พระพรหมโมลี)
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/13753
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับปรโลก
กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน
✨น้อมกราบอนุโมทนาบุญกับโอวาท
คำสอนและธรรมทานอันทรงคุณค่า
หลวงพ่อธัมมชโย #คุณครูไม่ใหญ่
ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง สาธุครับ
🌟✨🌟✨🌟✨🌟✨🌟✨🌟✨🌟