โลกาพินาศเพราะอำนาจกิเลส (โลกนี้จะถูกทำลายด้วยภัย ๓ อย่าง)

โลกาพินาศเพราะอำนาจกิเลส (โลกนี้จะถูกทำลายด้วยภัย ๓ อย่าง)

ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก วันคืนล่วงไปๆ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี กาลเวลาได้กลืนกินอายุของเราให้เหลือน้อยลงไปทุกที บุคคลใดดำรงชีวิตอยู่ด้วยความประมาท ไม่สั่งสมบุญ ไม่ให้ทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนา แม้ยังมีชีวิตอยู่ มีร่างกายที่แข็งแรง ก็ได้ชื่อว่าเหมือนคนที่ตายแล้ว เพราะเขากำลังเดินสวนทางกับกระแสแห่งความดี กาลเวลาที่ผ่านไปจึงกลืนกินทั้งชีวิต และคุณธรรมของบุคคลนั้น ชีวิตก็จะไม่ต่างอะไรกับสวะลอยน้ำที่ล่องลอยไป หาจุดหมายปลายทางไม่ได้ ส่วนชีวิตของผู้ที่ประพฤติธรรมจนได้เข้าถึงพระรัตนตรัย ชื่อว่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า

“อถ ปาปานิ กมฺมานิ กรํ พาโล น พุชฺฌติ
เสหิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ

คนพาลมีปัญญาทราม กระทำกรรมชั่วอยู่ ก็ไม่รู้สึกว่าได้ทำความชั่ว แต่เขาย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตน เหมือนถูกไฟไหม้ ฉะนั้น”

ปัจจุบันนี้ โลกของเรากำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติหลายๆ อย่าง รวมทั้งมหันตภัยทางธรรมชาติ ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น เช่น ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล บางแห่งประสบอุทกภัย แผ่นดินไหว มีมรสุมร้ายจากท้องทะเลโหมกระหน่ำพัดเข้าใส่บ้านเรือนพังพินาศ ได้รับความเสียหายกันไปทั่ว พ่อแม่พลัดพรากจากลูก เกิดโศกนาฏกรรมแผ่นดินถล่มกลบมนุษย์ทั้งเป็น บางแห่งอากาศหนาวเย็นจนแข็งตายกันไปหลายราย

มหันตภัยทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เป็นเพราะพฤติกรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม จะรู้หรือไม่ก็ตาม ภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นล้วนมีสาเหตุจากการกระทำของมนุษย์ทั้งสิ้น โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ไปประทุษร้ายผู้บริสุทธิ์เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ แสวงหาความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ทำให้ปัจจุบันนี้ กระแสบาปอกุศลได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ถ้ามีการทำบาปเพิ่มมากขึ้น เรื่องร้ายๆ ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว เมื่อมนุษย์ควบคุมใจตนเองไม่ได้ ก็จะส่งผลกระทบถึงบรรยากาศโลกไปด้วย เพราะใจมนุษย์เริ่มร้อนแรงขึ้น รุ่มร้อนไปด้วยไฟคือราคะ โทสะ และโมหะ

เมื่อไฟคือกิเลสเกิดขึ้นในใจ ย่อมเผาไหม้จิตใจให้เร่าร้อน บังคับให้คิดพูดทำในสิ่งที่เป็นบาปอกุศล กระแสบาปก็จะแผ่ขยายออกไปสู่คนรอบข้าง ไปกระทบใครก็ทำให้บุคคลนั้นได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจ แล้วกลายเป็นมลทิน ความไม่บริสุทธิ์รุกเงียบไปในบรรยากาศโลก ส่งผลให้โอกาสโลก ขันธโลก สัตวโลก ร้อนตามไปด้วย ธรรมชาติก็ผิดปกติ กระแสลมเปลี่ยนทิศ เกิดอัคคีภัย แผ่นดินไหว จนมีนักโหราศาสตร์พยากรณ์เป็นนัยเอาไว้ว่า ถ้าไม่รีบแก้ไข โลกอาจจะถึงกาลอวสานได้

เรื่องของโลกาพินาศ ได้มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกว่า โลกนี้จะถูกทำลายด้วยภัย ๓ อย่างคือ ถ้ายุคสมัยใดคนมีกิเลส คือโทสะมาก จะถูกเผาไหม้ด้วยไฟบรรลัยกัป หากผู้คนมีราคะมาก จะเกิดอุทกภัย และถ้าคนมีโมหะมาก โลกจะเกิดวาตภัย ถูกลมพายุทำลายล้าง

* สมัยที่กัปพินาศเพราะไฟ นั้น จะมีเทวดาชั้นกามาวจรที่เรียกว่า โลกพยูหะ จะมาให้สติมนุษย์ โดยแปลงร่างเป็นคนนุ่งผ้าแดง ปล่อยผมเผ้ารกรุงรัง ร้องไห้เช็ดน้ำตา เที่ยวเดินประกาศไปว่า “ผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ล่วงไปแสนปีจากนี้จะสิ้นกัป โลกจะพินาศ แม่น้ำมหาสมุทรจะเหือดแห้ง และมหาปฐพี ภูเขาสิเนรุจะถล่มทลายพังพินาศตลอดถึงพรหมโลก ท่านทั้งหลายจงเจริญเมตตาพรหมวิหารธรรมต่อกันเถิด จงบำรุงมารดาบิดา และเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้มีคุณธรรมเถิด”

พวกมนุษย์ และเทวดา เมือได้ฟังข่าวที่น่าสะพรึงกลัวอย่างนี้แล้ว เกิดความสลดสังเวชใจ กลับมีจิตเมตตา อ่อนน้อมต่อกัน ตั้งใจสั่งสมบุญกุศล แล้วไปบังเกิดในเทวโลก ส่วนทวยเทพในเทวโลกต่างไม่ประมาท บำเพ็ญภาวนาจนได้ฌาน แล้วก็ไปบังเกิดในพรหมโลก

เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง พระอาทิตย์ดวงที่สองก็ปรากฏขึ้น ทำให้กำหนดกลางวันกลางคืนไม่ได้ เพราะโลกสว่างตลอดทั้งวัน สัตว์โลกเริ่มล้มตายกัน น้ำในลำธารเริ่มแห้งขอด ต่อจากนั้น พระอาทิตย์ดวงที่ ๓ ปรากฏขึ้น ทำให้มหานทีแห้งไปหมด และเมื่อดวงที่ ๔ ปรากฏขึ้น สระใหญ่ทั้ง ๗ ในป่าหิมพานต์ ซึ่งเป็นต้นแหล่งของมหานที เหือดแห้งลงไปอีก ไม่ว่าจะเป็นสระอโนดาตก็แห้งหมด

วันเวลาผ่านไปอีก พระอาทิตย์ดวงที่ ๕ ได้ปรากฏเขึ้นมาอีก โลกเริ่มร้อนระอุมากขึ้น จนน้ำในมหาสมุทรไม่มีเหลืออยู่เลย ทันทีที่พระอาทิตย์ดวงที่ ๖ เกิดขึ้น ทั่วทั้งจักรวาลมีควันพวยพุ่งขึ้นมา บรรยากาศอัดแน่นไปด้วยควันมืดสนิท ครั้นดวงที่ ๗ ซึ่งเป็นดวงสุดท้ายบังเกิดขึ้น ทั่วทั้งจักรวาลมีเปลวไฟลุกโชติช่วง ภูเขาสิเนรุถูกไฟเผาไหม้ เปลวไฟลุกลามไปถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ไล่เรื่อยไปถึงสวรรค์ชั้นที่ ๖ ไหม้ต่อไปอีกจนถึงพรหมโลก ไปจรดอาภัสสรพรหมกันเลยทีเดียว

สมัยใดที่น้ำทำลายกัปให้พินาศ ฝนจะตกไม่หยุดจนน้ำท่วมโลก แล้วฝนน้ำกรดจะตกไปทั่วตลอดจักรวาล เมื่อแผ่นดินหรือภูเขาถูกน้ำกรด จะถูกกัดกินละลาย น้ำท่วมนี่มีอานุภาพมากกว่าไฟไหม้ จะท่วมเรื่อยไปจนถึงพรหมโลก ชั้นปริตตาภา อัปปมาณาภา อาภัสสรา ปริตตสุภา อัปปมาณสุภา ถูกทำลายย่อยยับหมด

ถ้าโลกพินาศเพราะลม จะมีอานุภาพร้ายแรงที่สุด สามารถพลิกแผ่นดินแล้วพัดให้กระจายไปในอากาศได้ ผืนแผ่นดินกว้างถึง ๑๐๐ โยชน์พังพินาศหมด แหลกละเอียดในอากาศ ลมจะหอบเอาภูเขาจักรวาล ภูเขาพระสุเมรุขึ้นไป แล้วซัดให้กระทบกัน จนแหลกละเอียดเป็นผงธุลี แล้วยังพัดวิมานในสวรรค์ ทั้งจักรวาลให้พินาศหมด มหาวาตภัยนี้จะพัดตั้งแต่ในโลกมนุษย์ ไปจนถึงพรหมชั้นสุภกิณหา ไปหยุดอยู่ที่ชั้นเวหัปผลา

เมื่อโลกถูกทำลาย และได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์แล้ว ต้องใช้เวลาเป็นกัปๆ ถึงจะเริ่มก่อตัวกันใหม่ คือเริ่มมีโลก มีพรหมลงมาเกิด มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวขึ้นมา มีสิ่งมีชีวิต มีสัตว์ และสิ่งต่างๆ ตามมาอีกมามาย มีต้นไม้ ภูเขาบังเกิดขึ้นจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไปหลายยุคหลายสมัย จากประวัติศาสตร์ที่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงบนโลกใบนี้อยู่ทุกวัน

ที่เล่ามาคร่าวๆ นี้ มิใช่ว่าโลกเราจะถึงกาลอวสานในยุคนี้ แต่ชี้ให้เห็นว่า โลกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับใจของเรา ถ้าใจเราใส โลกนี้ก็ยังคงสดสวยเสมอ ตราบใดที่มนุษย์มีความเข้าใจกัน มีความรัก ความเมตตาปรารถนาดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ และจริงใจต่อกัน โลกก็ยังคงเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปเรื่อย โลกนี้จะเปลี่ยนแปรหรือเป็นไปอย่างไร อยู่ที่ใจของพวกเราทุกคน ขอให้ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์โลก ให้เป็นโลกในอุดมคติของมวลมนุษยชาติ ด้วยการหมั่นทำความดีในทุกรูปแบบ ทั้งทาน ศีล และภาวนา อย่าให้ขาด และช่วยกันทำหน้าที่กัลยาณมิตร แนะนำคนรอบข้างและหมู่ญาติ พวกพ้องบริวาร ให้อยู่ในศีลอยู่ในธรรม จะได้มีสุคติสวรรค์เป็นที่ไปกันทุกคน

* มก. เล่ม ๖๘ หน้า ๑๐๐๗

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/14341
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๑

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *