เส้นทางจอมปราชญ์ (๒) พระโรหณเถระบิณฑบาตที่บ้านของพราหมณ์ทุกวัน เป็นเวลา ๗ ปี ๑๐ เดือน)

เส้นทางจอมปราชญ์ (๒) พระโรหณเถระบิณฑบาตที่บ้านของพราหมณ์ทุกวัน เป็นเวลา ๗ ปี ๑๐ เดือน

ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายที่ยังมีกิเลสอาสวะ ดวงจิตถูกห่อหุ้มด้วยอวิชชา บดบังดวงปัญญาไม่ให้รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิต เรื่องราวในสังสารวัฏจึงเป็นความลับที่มืดมนมายาวนาน ไม่มีใครรู้เบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย คนเราทุกคนเกิดมาแล้วมีหน้าที่ คือต้องแสวงหาความหลุดพ้นมุ่งไปอายตนนิพพานด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นการกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปจึงเป็นวัตถุประสงค์ของชีวิต จะกำจัดกิเลสอาสวะได้ ต้องเข้าถึงพระธรรมกาย แล้วใช้กายธรรมที่ละเอียดที่สุดกำจัดต้นเหตุหรือมูลรากของกิเลส แต่กว่าจะเข้าไปถึงจุดนั้น เราจะต้องทำใจของเราให้หยุดนิ่งบริสุทธิ์ผ่องใส หยุดในหยุดกันตลอดไปบนเส้นทางสายกลาง เส้นทางของพระอริยเจ้าทั้งหลาย

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ว่า

“สฺวากฺขาเต ภิกฺขเว ธมฺมวินเย โย จ สมาทเปติ ยญฺจ สมาทเปติ โย จ สมาทปิโต ตถตฺตาย ปฏิปชฺชติ สพฺเพ เต พหุ ํ ปุญฺญํ ปสวนฺติ ตํ กิสฺส เหตุ สฺวากฺขาตตฺตา ภิกฺขเว ธมฺมสฺส

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ชักชวนเข้าในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดีแล้ว ๑ ผู้ที่ถูกชักชวนแล้วปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ๑ คนทั้งหมดนั้น ย่อมประสบบุญเป็นอันมาก ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมนั้น ท่านกล่าวไว้ดีแล้ว”

ผู้มีบุญ นอกจากจะเป็นที่พึ่งให้กับตัวเองได้แล้ว ยังเป็นที่พึ่งให้กับผู้อื่นได้อีก เมื่อเกิดมาย่อมยังโลกนี้ให้สว่างไสว เหมือนพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญที่พ้นจากเมฆหมอกที่มาบดบัง จะย่างก้าวไปแห่งหนตำบลใดก็ตาม ย่อมเป็นที่ปรารถนาของมหาชน แต่การเกิดมาในโลกนี้ ชีวิตของทุกๆ คนล้วนต้องพบเจอกับปัญหาทั้งนั้น ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่า ตนเองเกิดมาทำไม มีหน้าที่อย่างไร ก็ยังต้องอาศัยกัลยาณมิตรผู้มีส่วนสำคัญในการประคับประคองชีวิตเรา ให้เดินทางไปถึงฝั่งแห่งความสำเร็จ เหมือนเส้นทางของจอมปราชญ์ในพระพุทธศาสนา คือพระนาคเสนเถระ ซึ่งกว่าจะก้าวมาถึงความเป็นพระอริยเจ้า จนกระทั่งเป็นหลักของพระศาสนาในยุคนั้น ก็ต้องอาศัยกัลยาณมิตรเช่นกัน

* ย้อนไปเมื่อคราวที่แล้ว ที่พระยามิลินท์ จอมราชาแห่งสาคลราชธานี ท่านเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ทางด้านภูมิปัญญา เที่ยวถามปัญหากับผู้รู้ทั้งในที่ใกล้และที่ไกล ในเมืองของพระองค์เอง ก็ไม่มีใครสามารถตอบโต้วาทะของพระองค์ได้ เป็นเหตุให้ในเมืองนั้นว่างจากสมณพราหมณ์ผู้รู้ถึง ๑๒ ปี จนกระทั่งพระอรหันต์องค์หนึ่งชื่อว่า อัสสคุตตเถระ ท่านเห็นเหตุที่จะทำให้พระศาสนาเสื่อมโทรม เพราะการกระทำของพระยามิลินท์ จึงให้ประชุมสงฆ์ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น จำนวนมากถึง ๑๐๐ โกฏิ แล้วเอ่ยถามท่ามกลางที่ประชุมว่า ใครสามารถตอบโต้วาทะกับพระยามิลินท์ได้บ้าง สามารถจะทำให้พระยามิลินท์เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา พระอัสสคุตเถระเอ่ยถามถึงสามครั้ง พระอรหันต์ทั้งหลายพากันนิ่ง ไม่มีองค์ใดรับวาจา จึงปรึกษากัน และลงความเห็นว่าให้ไปอัญเชิญ มหาเสนเทพบุตร ซึ่งมีบุญเก่าที่เคยร่วมสร้างกันมากับพระยามิลินท์ เทพบุตรองค์นั้นมีสติปัญญาสามารถแก้ปัญหาของพระยามิลินท์ กอบกู้พระศาสนาไว้ได้

เมื่อลงความเห็นกันแล้ว พระอรหันต์จำนวนถึง ๑๐๐ โกฏิจึงขึ้นไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะเห็นพระอรหันต์มากันจำนวนมาก จึงเข้าไปถามว่า “พระผู้เป็นเจ้าพากันมามากมายมหาศาลอย่างนี้มีจุดประสงค์อะไร บอกโยมหน่อยเถิด” ท่านจึงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระยามิลินท์ให้ท้าวสักกะฟัง และประสงค์จะกอบกู้พระศาสนา ท้าวสักกะจึงบอกว่า เห็นทีจะมีแต่มหาเสนเทพบุตรผู้เดียวเท่านั้น จึงอาราธนาคณะสงฆ์ไปหาเทพบุตรถึงวิมานบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง

ครั้งแรกที่ได้รับรู้ มหาเสนเทพบุตรปฏิเสธถึง ๓ ครั้ง เนื่องจากยังไม่รู้ถึงหน้าที่ของตัวเอง เมื่อมิอาจจะเลี่ยงได้จึงกล่าวขึ้นว่า หากลงไปเกิดแล้วขอให้มีปัญญาสามารถแก้ปัญหาทุกๆ อย่างได้ และให้พระยามิลินท์สิ้นความสงสัยได้ พระอรหันต์ท่านก็รับรองว่าจะเป็นอย่างนั้น เทพบุตรจึงรับปากพระอรหันต์ พอรู้ว่า เทพบุตรผู้มีบุญรับปากแล้ว จึงอันตรธานจากเทวโลกลงมาประชุมกันต่อ เพื่อคัดสรรผู้ที่จะรับหน้าที่ประคับประคอง เป็นกัลยาณมิตรให้เทพบุตรออกบวช จนบรรลุวัตถุประสงค์ของการลงมาเกิด

พระอัสสคุตตเถระผู้เป็นประธานสงฆ์จึงถามว่า เมื่อคณะสงฆ์ประชุมกันเพื่อกิจของพระศาสนา มีใครบ้างที่ขาดประชุม ตอนนั้นมีพระอรหันต์รูปหนึ่งชื่อว่า พระโรหณเถระ ท่านเข้านิโรธสมาบัติอยู่ที่หิมวันตบรรพตได้ ๗ วันแล้ว จึงขาดประชุมในวันนั้น พระเถระออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว รู้วาระจิตของพระอรหันต์ทั้งหลาย ว่าคณะสงฆ์ต้องการพบตัว จึงอันตรธานจากที่นั้นไปปรากฏในท่ามกลางพระอรหันต์ทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งหลายจึงถามพระโรหณะว่า พระศาสนาของสมเด็จพระทศพลทรุดโทรมลง ทำไมท่านไม่เอาใจใส่กิจของสงฆ์ จิตใจจะปล่อยให้ศาสนาทรุดโทรมลงอย่างนั้นหรือ

พระโรหณะบอกว่า “ข้อนั้นเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่ได้เอาใจใส่” เหล่าพระอรหันต์จึงได้ลงพรหมทัณฑ์ท่านว่า ตัวท่านเองไม่ได้ประพฤติผิดสังฆกรรมหรอก แต่ด้วยเหตุที่ไม่สนใจกิจการงานส่วนรวม เราทั้งหลายขอลงโทษท่าน ขอให้ท่านไปบิณฑบาตที่บ้านโสณุตตรพราหมณ์ในหมู่บ้านกชังคละทุกๆ วัน อย่าได้ขาด พราหมณ์นั้นจะมีลูกชายคนหนึ่งชื่อนาคเสนกุมาร ท่านจงไปบิณฑบาตทุกๆ วัน จนกว่าจะอายุได้ ๗ ปี ๑๐ เดือน แล้วคิดอ่านเอานาคเสนกุมารออกบวชให้ได้ เพราะนาคเสนกุมารนั้นจะเป็นทหารเอกของสมเด็จพระทศพลผู้จะกอบกู้พระศาสนา

พระโรหณเถระจึงรับคำของพระอรหันต์ทั้งหลาย ฝ่ายมหาเสนเทพบุตร เมื่อจุติลงจากเทวโลกลงมาเกิดเป็นลูกของพราหมณ์ นับต่วันนั้นมา พระโรหณเถระท่านเดินบิณฑบาตไปที่บ้านของพราหมณ์ทุกๆ วัน จนกระทั่งครบ ๗ ปี ๑๐ เดือนไม่ขาดแม้แต่วันเดียว และไม่เคยได้รับการไหว้ หรือการใส่บาตรจาำกพราหมณ์ เพราะพราหมณ์ไม่ได้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ด้วยหัวใจของยอดกัลยาณมิตร ท่านก็ทำหน้าที่ด้วยจิตใจที่เบิกบานผ่องใส จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านได้ฟังถ้อยคำของพราหมณีพูดว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า จงหลีกไปเถิด”

เมื่อพระเถระได้ฟังถ้อยคำเท่านี้ ก็สะพายบาตรเปล่าเดินจากสถานที่นั้น เดินสวนทางกับพราหมณ์ พราหมณ์ก็ถามท่านว่า “ท่านได้อะไรมาบ้าง” ก็ตอบว่า “ได้สิพราหมณ์ เราได้หน่อยเดียวเท่านั้น” พราหมณ์ไม่ศรัทธาอยู่แล้วจึงเกิดความฉุนเฉียว กลับไปถามคนในบ้านว่า มีใครให้ของไปหรือเปล่า ทุกๆ คนตอบเหมือนกันว่า ไม่มีใครให้ พ่อของนาคเสนกุมารยิ่งหมดศรัทธา หาว่าพระโกหก จึงคิดจะต่อว่าท่านในวันรุ่งขึ้น

ครั้นรุ่งขึ้นอีกวัน พระเถระเดินมาบิณฑบาตหน้าบ้านพราหมณ์เหมือนเดิม พราหมณ์รออยู่แล้ว จึงเดินเข้าไปต่อว่าทันทีว่า “ท่านทำไมโกหกอย่างนี้ เมื่อวานไม่มีใครสักคนใส่บาตรท่านเลย แล้วยังมีหน้าว่าได้หน่อยหนึ่ง” พระเถระท่านก็นิ่งๆ แล้วเอ่ยวาจาตอบพราหมณ์ว่า “ท่านพราหมณ์ อาตมามาบิณฑบาตที่นี่ถึง ๗ ปี กับ ๑๐ เดือน จังหันสักทัพพีหนึ่งก็ไม่เคยได้เลย คำพูดแม้สักคำก็ยังไม่เคยได้ ท่านเห็นเราเข้าก็ทำหน้าบึ้งตึง ด่าว่าเสียดสี แต่เมื่อวานนี้พราหมณีพูดกับเราว่า “จงหลีกไปเถิด” อาตมาได้ฟังถ้อยคำๆ นี้ของนาง จึงได้พูดกับท่านเมื่อวานนี้ว่า ได้หน่อยหนึ่ง อาตมาจะกล่าวมุสาได้อย่างไร”

พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นจึงเกิดความเลื่อมใสว่า สมณะรูปนี้ แม้ได้ฟังถ้อยคำเท่านี้ยังดีใจ หากได้มากกว่านี้ คงจะสรรเสริญมากกว่านี้ จึงร้องเรียกให้ภรรยาเอาของมาใส่บาตร ยิ่งพอใกล้ชิด เห็นความสงบสำรวมอินทรีย์ของพระเถระ ก็ยิ่งเพิ่มพูนความศรัทธามากขึ้น จึงอาราธนานิมนต์ให้ท่านมาฉันที่บ้านทุกๆ วัน กว่าที่จะเข้าสู่บ้านของพราหมณ์ได้ ต้องใช้หัวใจของยอดกัลยาณมิตร อดทนอย่างมาก

นี่เพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ได้เจอกับนาคเสนกุมาร นาคเสนกุมารเป็นเด็กที่มีปัญญามาก เพียงอายุ ๗ ขวบ ก็เล่าเรียนเขียนอ่านกับครูอาจารย์ของฝ่ายพราหมณ์ ฟังเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นาคเสนกุมารก็จำได้หมด จนหมดความรู้ของฝ่ายพราหมณ์ ถึงกับถามพราหมณ์ว่า “ความรู้ของพวกเรามีเท่านี้เองหรือ” พ่อของนาคเสนกุมารก็บอกว่า “หมดแล้วลูกเอ๋ย เดี๋ยวพ่อจะแสวงหาครูมาให้” นาคเสนกุมารเดินลงจากปราสาท นั่งรำพึงรำพันอยู่คนเดียวว่า ความรู้ที่เราเรียนมาว่างเปล่าเหมือนอากาศ หาสาระแก่นสารที่แท้จริงไม่ได้ ไม่สามารถทำให้พ้นจากโลกไปได้เลย

ฝ่ายพระโรหณเถระ ทราบความคิดของนาคเสนกุมาร จึงอันตรธานจากวิหารมาปรากฏตรงหน้า พร้อมกับบอกว่า ศิลปศาสตร์ในพุทธศาสนานั้น อุดมล้ำเลิศกว่าความรู้ใดๆ ในโลก นาคเสนเป็นคนใฝ่รู้ ก่อนจะบวชนั้น ก็ต้องซักถามข้อข้องใจกับพระเถระ แต่จะซักถามอย่างไรนั้น หลวงพ่อจะนำมาเล่าให้พวกเราได้ศึกษากันในโอกาสต่อไป

คนมีบุญมีปัญญา แม้แต่จอมปราชญ์อย่างพระนาคเสน ยังต้องมีกัลยาณมิตรผู้ยิ่งใหญ่อย่างพระโรหณเถระ ที่ท่านใช้ความอดทนเพียรพยายามถึง ๗ ปี กับ ๑๐ เดือน ถึงจะได้เพชรเม็ดงามของพระศาสนา หน้าที่ที่พวกเรากำลังทำอยู่นี้ เป็นหน้าที่ที่จะให้แสงสว่างแก่โลก ดังนั้นอย่าเพิ่งท้อ ให้ดูอย่างพระเถระท่าน ท่านอดทนแบบไม่ต้องอดทน เพราะรู้ว่าเป็นหน้าที่ เป็นบุญเป็นบารมี ทำงานไปใจก็หยุดนิ่งอยู่ในกลางตลอดเวลา ดูท่านเป็นตัวอย่างแล้ว ให้เอาอย่างท่าน เราจะได้เป็นยอดนักสร้างบารมีที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง

* มิลินทปัญหา (ฉบับแปลโดย ปุ้ย แสงฉาย)

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/14363
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๑

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *