เส้นทางจอมปราชญ์ (๙)
การดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ นอกจากจะทำมาหากินแล้ว ต้องสั่งสมบุญบารมี ควบคู่กันไปด้วย บุญกุศลที่สั่งสมไว้มาก จะคอยหล่อเลี้ยงใจให้ชุ่มชื่นเบิกบานผ่องใส และกลั่นตัวกันเป็นดวงบุญที่สุกใสสว่าง ติดแน่นอยู่ศูนย์กลางกาย ถ้าหากเราสั่งสมสิ่งใดไว้มากๆ สิ่งนั้นก็จะมีผลต่อเราทั้งในปัจจุบัน และอนาคต เพราะว่าใจเป็นสภาวะที่มีอานุภาพ และทรงจำสิ่งที่เราทำไว้ติดอยู่ในใจของเราตลอดเวลา คำว่าติดใจนี่ลึกซึ้ง ผงเข้าตาใช้เวลาเขี่ยไม่นานก็ออก แต่ผงธุลีคือกิเลสที่ติดอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน ถึงจะชำระให้สะอาดบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสอาสวะเหล่านั้นได้ ดังนั้น เราต้องหมั่นฝึกฝนอบรมใจให้หยุดนิ่ง ให้สะอาดบริสุทธิ์เป็นประจำสม่ำเสมอ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน วัตถูปมสูตร ว่า
“จิตฺเต สงฺกิลิฎฺเฐ ทุคติ ปาฏิกงฺขา
เมื่อจิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส ทุคติเป็นอันหวังได้
จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา
แต่เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง มีความผ่องใส สุคติก็เป็นอันหวังได้ ”
อวิชชาคือความมืดมนของชีวิตที่ห่อหุ้มใจของเราไว้ ทำให้กำหนดเส้นทางที่จะดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางไม่ถูกต้อง เหมือนเดินเข้าไปในอุโมงค์มืดๆ ไม่เห็นแสงเดือน แสงตะวัน ทำให้กำหนดจุดหมายปลายทางไม่ได้ โดยเฉพาะในขณะกำลังจะหลับตาลาโลก หากชีวิตไม่พบแสงสว่างแห่งบุญกุศลเป็นเครื่องนำทาง ชีวิตก็ดำดิ่งไปสู่ความมืดมิด จมลงไปสู่อบายภูมิ ทุคติ วินิบาต นรก แต่ถ้าใครสั่งสมบุญเป็นประจำ ใจเกาะเกี่ยวอยู่กับพระรัตนตรัย อยู่กับสิ่งที่เป็นความบริสุทธิ์ และความดี ผลแห่งความดีและความเลื่อมใส จะเป็นเหตุให้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เสวยสุขอันเป็นทิพย์
ในความเป็นจริงของชีวิตหลายๆ คนเคยผิดพลาดเผลอไผลไปทำบาปอกุศล แม้จะเป็นเพียงความผิดพลาดแค่ครั้งเดียว ก็อาจจะทำให้เราพลัดตกลงไปสู่อบายภูมิได้ สิ่งนี้มีอะไรเป็นเหตุ ความสงสัยเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่กรรมชั่วแม้เพียงเล็กน้อยจะส่งผลให้เกิดในทุคติ ส่วนกรรมดีแม้เพียงเล็กน้อยจะส่งผลให้ไปเกิดในสุคติได้ อะไรมีกำลังมากกว่ากันระหว่างบาป และบุญ
* พระยามิสินท์ราชาเจ้าปัญญา ที่หลวงพ่อนำมาเล่าให้ฟังหลายคราวติดต่อกัน ได้ตั้งปัญหานี้กับพระนาคเสนเถระว่า “พระคุณเจ้าเคยกล่าวถ้อยคำให้โยมฟังว่า บุคคลใดทำแต่บาปอกุศลจนอายุได้ ๑๐๐ ปี ไม่ว่างเว้นเลยแม้แต่วันเดียว เมื่อตอนใกล้จะตาย มรณภัยมาเยือน แต่ขณะที่จะละจากโลกไปนั้น มีสติระลึกถึงพระพุทธคุณ ครั้นทำกาลกิริยาแล้ว ด้วยอานิสงส์แห่งการระลึกถึงพระพุทธคุณ ทำให้ไปเกิดในสุคติสวรรค์ คำที่พระคุณเจ้าเคยเล่าให้ฟังนี้ โยมไม่อยากจะเชื่อเลย ยังมีอีกข้อหนึ่ง ที่พระคุณเจ้าเล่าว่า ผู้ทำปาณาติบาตแม้เพียงครั้งเดียวก็ไปสู่นรกได้ คำนี้ก็รู้สึกว่าเป็นคำที่เชื่อยาก ขอจงแก้ไขปัญหาให้คลายสงสัยด้วยเถิด”
พระนาคเสนท่านได้อธิบายให้ฟังว่า “ขอถวายพระพร มหาบพิตร อปฺปมาโณ พุทฺโธ อานุภาพของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีประมาณ หากมีจิตเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศแล้ว ผลแห่งความเลื่อมใสนั้นจะเป็นเหตุให้เข้าถึงฐานะอันเลิศ จะบังเกิด ณ ทีใด ย่อมเข้าถึงฐานะอันประเสริฐ ก่อนตายเมื่อจิตเป็นโสมนัสสหคตจิต คือจิตประกอบด้วยความโสมนัส เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นเหตุให้ไปสู่สุคติ แต่กรรมใดที่ได้สั่งสมไว้ย่อมไม่เคยไร้ผล เมื่อผลของกรรมดีหมดไป สักวันหนึ่ง วิบากกรรมอันเผ็ดร้อน ย่อมตามส่งผลอย่างแน่นอน
ดูก่อนมหาบพิตร การที่บุคคลในโลกนี้ ทำความดีไว้มากมาย แต่ต้องไปบังเกิดในนรกเพราะทำปาณาติบาตครั้งเดียว เพราะก่อนตายใจยินดีในบาป ไม่น้อมไปในกุศลกรรมที่ได้สั่งสมไว้ พระบรมศาสดาจึงตรัสไว้ว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส ทุคติย่อมเป็นที่ไปอย่างเดียว ดูก่อนมหาบพิตร เปรียบเสมือนก้อนหิน คือผู้ประกอบอกุศลกรรม เรือเปรียบเสมือนกุศลกรรม ถ้าใจยังยินดีในกุศลก็เหมือนก้อนหินที่อยู่ในเรือ ย่อมไม่จมลงไปในน้ำ แต่หากวางก้อนหินลงในน้ำ หินแม้เป็นเพียงก้อนเล็กๆ ย่อมจมลงสู่ก้นทะเล คืออบายภูมิทั้งสี่
ดูก่อนมหาบพิตร บางคนในโลกนี้เป็นผู้ประมาทในชีวิต ทำแต่บาปอกุศล อย่างต่อเนื่อง บาปก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ได้ทำบุญกุศลเลย ดุจนาวาลำเล็กที่เต็มไปด้วยหินหลายร้อยเล่มเกวียน มีแต่จะจมลงในมหาสมุทร เพราะฉะนั้นนักปราชญ์บัณฑิตผู้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต จึงหมั่นสั่งสมบุญกุศลไว้มากๆ ทำตนให้ปราศจากอกุศลทั้งมวล เพื่อจะได้ไปถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน”
พระยามิลินท์ได้สดับรับเถรวาจาแล้ว ให้สาธุการว่า “พระคุณเจ้าแก้ปัญหาเช่นนี้ สมควรแล้ว แต่โยมยังมีความสงสัยอยู่หนักหนาว่า ระหว่างผู้สั่งสมบุญกุศลอยู่เป็นนิตย์กับทำความชั่วเป็นประจำ บุญจะมีกำลังมากกว่าบาป หรือว่าบาปจะมีกำลังมากกว่าบุญ ขอพระผู้เป็นเจ้าช่วยวิสัชนาแก้ไขปัญหาให้โยมได้รับฟังด้วยเถิด”
พระเถระได้ตอบไปว่า “มหาบพิตร บุญนี้แหละมีกำลังมากกว่า บาปมีกำลังน้อย พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า บุคคลที่ทำบาปอกุศล เมื่อทำไปและมีแต่เดือดร้อนใจว่า เราได้ทำบาป การทำบาปกรรมนั้น ไม่มีผลเป็นความชุ่มชื่นใจเลย มีแต่กินแหนงแคลงใจ ต่างกับคนที่ทำบุญกุศล มีแต่ความปลื้มปีติยินดีเลื่อมใส ยิ่งคิดถึงบุญที่ตัวเองทำก็ยิ่งมีความปราโมทย์ บังเกิดความปีติโสมนัส จิตใจสงบระงับลงด้วยปีติโสมนัสนั้น ครั้นกายระงับเป็นกายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ คือ ความสงบแห่งจิตก็บังเกิดขึ้น เข้าถึงความสุขอันเกิดจากจิตสงบ เมื่อสุขบังเกิดขึ้นก็จะเป็นสมาธิที่เป็นสุขละเอียดประณีต
อานิสงส์ก็เจริญด้วยเหตุนี้แหละ มหาบพิตร เหมือนเรื่องในอดีต บุรุษผู้หนึ่งมือขาด เท้าขาด เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ถวายดอกบัวเป็นพุทธบูชา ด้วยบุญกุศลนี้ ทำให้ท่านประสบความสุขความเจริญถึง ๙๑ มหากัป เพราะฉะนั้น อาตมาจึงกล่าวว่า บุญนี้มีกำลังมาก ขอถวายพระพร”
พระยามิลินท์ได้ฟังคำวิสัชนาของพระเถระ ก็ให้สาธุการ ว่ามีสติปัญญาเฉียบแหลม แต่ยังไม่หมด จึงถามต่อไปว่า “ในจำนวนคนที่รู้ว่าเป็นบาปกรรม แล้วทำบาปกรรมลงไป กับบุคคลที่ไม่รู้ว่าเป็นบาปกรรมแล้วมากระทำบาปกรรมเข้า บุคคลสองประเภทนี้ เวลาไปเสวยผลกรรมทนทุกขเวทนาในอบายภูมิ ฝ่ายไหนจะได้รับทุกขเวทนามากกว่ากัน”
พระนาคเสนเถระจึงแก้ปัญหาว่า “มหาบพิตร คนที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นบาปกรรม เมื่อได้ทำบาปอกุศลนั้นไปแล้ว จะได้รับวิบากอันเผ็ดร้อน มากกว่าผู้ที่ทำความชั่วทั้งๆ ที่รู้” คำตอบของพระเถระทำให้พระยามิลินท์เพิ่มความสงสัยว่า “ทำไมเป็นอย่างนั้น พระคุณเจ้า ตามปกติแล้ว พวกอำมาตย์ของโยม ใครที่รู้ว่าเป็นความชั่วแล้วยังฝืนไปทำ จะต้องลงโทษให้หนัก เพราะถือว่าทำผิดทั้งๆ รู้ แต่ทำไมพระคุณเจ้า จึงบอกว่า คนรู้จักบาปกรรมแต่ยังทำบาป ต้องเสวยทุกข์น้อยกว่า”
พระนาคเสนจึงอุปมาให้ฟังว่า “เหมือนชายผู้หนึ่งรู้ว่า ก้อนเหล็กแดงร้อน จึงจับก้อนเหล็กแดงนั้นด้วยความระมัดระวัง ส่วนอีกคนหนึ่งไม่รู้ว่าเหล็กร้อน เผลอไปจับเข้าเต็มที่ ระหว่างสองคนนี้ ใครจะรู้สึกร้อนมากกว่ากันมหาบพิตร” พระยามิลินท์ไม่ลังเล ตอบทันทีว่า “คนไม่รู้ จะได้รับความร้อนมากกว่า” พระเถระจึงสรุปว่า “ข้อนี้อุปมาเหมือนคนที่ทำบาปกรรมโดยไม่รู้ว่าเป็นบาปอกุศล จะได้บาปมากกว่า เหมือนกับบุคคลไม่รู้แล้วไปจับก้อนเหล็กร้อนเข้า” คำอุปมาอุปไมยของพระเถระในครั้งนั้น ทำให้พระยามิลินท์ทรงคลายความสงสัย แต่อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าความชั่ว บาปอกุศลแล้ว ไม่ทำเสียเลยจะดีที่สุด เพราะแม้จะได้บาปมากบาปน้อย ก็ไม่ควรทำเด็ดขาด
จากการสนทนาธรรมระหว่างนักปราชญ์ทั้งสองท่าน จะเห็นได้ว่า โลกใบนี้เป็นประดุจศูนย์กลางของการสั่งสมบุญและบาป เรามีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะวางชีวิตของตัวเองไว้ตรงจุดไหน ในฝ่ายบุญหรือฝ่ายบาป มนุษย์ผู้ไม่รู้ส่วนมากจะปล่อยชีวิตให้ประมาทมัวเมา ทำให้ตัวเองไปอยู่ในฝ่ายของบาปอกุศลอยู่ร่ำไป จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่จะต้องไปทำหน้าที่ชี้ทางสว่างให้กับเขาเหล่านั้น ได้รู้จักสั่งสมบุญบารมี และก็ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตร คอยชักชวนให้ชาวโลกหันมาทำหน้าที่ของตัวเอง คือสั่งสมบุญบารมี โดยมีพระนิพพานเป็นเป้าหมาย โลกกำลังรอคอยพวกเราทุกคน จงก้าวเดินต่อไปเพื่อทำหน้าที่ตรงนี้ให้สมบูรณ์ แล้วเราจะได้บุญมหาศาลติดตัวไปทุกภพทุกชาติ จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม
* มิลินทปัญหา (ฉบับแปลโดย ปุ้ย แสงฉาย)
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)
ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/14386
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๑
กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน