เส้นทางจอมปราชญ์ (๑๐) ปุจฉา-วิสัชนา การสวดพระปริตร

เส้นทางจอมปราชญ์ (๑๐)

การประพฤติปฏิบัติธรรมแสวงหาหนทางพระนิพพาน มุ่งทำความบริสุทธิ์ให้บังเกิดขึ้นนั้น เป็นวัตถุประสงค์หลักของชีวิต ถ้าหากชีวิตมนุษย์ขาดการทำความดี ขาดการสั่งสมบุญบารมีเหมือนโลกที่ขาดแสงสว่างของดวงอาทิตย์ จิตใจไม่ได้รับสิ่งที่อุดมชุ่มชื่น เป็นแสงทองของดวงใจ ย่อมจะมีแต่ความสับสนมืดมนในการดำรงอยู่ เพราะฉะนั้น เราควรแสวงหาโอกาสทองเพื่อให้โอกาสแห่งธรรมได้เข้าไปสว่างไสวอยู่ในชีวิตของเรา จะทำให้ตัวของเราได้รับสิ่งที่ดีตลอดไป เพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยการหมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งเป็นหัวใจของการเกิดมาสร้างบารมี

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า

“น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ
น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวิสฺส
น วิชฺชเต โส ชคติปฺปเทโส
ยตฺรฏฺฐิตํ นปฺปสเหยฺย มจฺจุ

บุคคลจะนั่งในท่ามกลางอากาศ ในท่ามกลางมหาสมุทร เข้าไประหว่างซอกของภูเขาทั้งหลาย ก็ไม่พ้นประเทศคือแผ่นดิน ที่ความตายไม่พึงครอบงำผู้สถิตอยู่ ย่อมไม่มี”

ความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ปรารถนา แต่การจะหลบหลีกหนีมัจจุราชนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเรายังไปไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ขันธ์ ๕ คือสังขารร่างกายนี้ ยังตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ตัวของเราจริงๆ ต้องเป็นธรรมขันธ์ ขันธ์ที่เป็นธาตุล้วนๆ เป็นธรรมล้วน ๆ ไม่มีสิ่งใดเจือปนเลย ทำให้พ้นจากความแก่ ความเจ็บ และความตาย เส้นทางของพระนิพพานจึงเป็นเส้นทางที่เที่ยงแท้ถาวร เป็นอมตะ อันเป็นยอดปรารถนาของสรรพสัตว์ทั้งหลาย

แต่ในขณะที่เราดำรงชีวิตอยู่ในโลก ก็ต้องการที่จะปลอดจากภัยคือความตาย แม้เราหลีกหนีความตายไม่พ้น แล้วมีวิธีใดบ้างที่จะชลอมรณภัยเหล่านั้นให้ยืดเวลาออกไปอีกหน่อย ให้เรามีโอกาสสร้างความดีไปนานๆ ไม่ให้ความตายมาบังเกิดก่อนวัยอันสมควร ความสงสัยอย่างนี้ พระยามิลินท์ได้ตรัสถามกับพระนาคเสนว่า

* “ข้าแต่พระนาคเสน โยมมีความสงสัยในพระดำรัสของพระบรมศาสดาที่ตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายจะหลีกเร้นซ่อนตัว อยู่ในที่ต่างๆ ในโลก แม้ลึกลับสักเท่าใดก็ตาม ก็ไม่อาจพ้นจากเงื้อมมือพญามัจจุราชไปได้

แต่พระบรมศาสดาก็เคยมีพระดำรัสว่า หากบุคคลสวดพระปริตรจะพ้นจากบ่วงแห่งมัจจุราชได้ ถ้าโยมเชื่อพระดำรัสเดิมที่ว่า ไม่ว่าจะอยู่ในที่ใด ก็ไม่พ้นจากพญามัจจุราชก็ผิดน่ะซิ แม้จะเชื่อพระดำรัสที่ตรัสว่า บุคคลจะลบลี้หนีภัยไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถพ้นจากความตาย ส่วนพระดำรัสที่ว่า บุคคลสวดพระปริตรจะพ้นจากบ่วงมัจจุราชได้ก็ผิดน่ะซิ พระคุณเจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่า”

ท่านพระนาคเสนมีคำตอบในใจอยู่แล้ว เพราะท่านรู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และเป็นพระอรหันต์อีกด้วย พวกเราอาจจะสงสัยว่า พระปริตรที่ว่ามานั้นเป็นอย่างไร ก็เป็นบทสวดเวลาพระภิกษุไปเจริญพระพุทธมนต์ ในงานมงคลตามวาระต่างๆ ขันธปริตรก็ขึ้นต้นว่า วิรูปกฺเข หิ เม เมตฺตํ เมตฺตํ ที่เราเคยได้ยินกัน ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการแผ่เมตตาไปยังพญางูทั้ง ๔ ตระกูล เป็นบทสวดเพื่อให้พ้นภัยจากสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย

พระนาคเสนอรหันตเจ้า ได้วิสัชนาให้ฟังว่า “มหาบพิตร บาทพระคาถาที่พระพุทธองค์ตรัสไว้นั้นเป็นความจริง เพราะสามารถป้องกันความตายแก่ผู้ที่มีอายุพอจะสืบต่อไปได้ ส่วนพวกที่มีกรรมคอยกางกั้นอยู่ จะเจริญพระปริตรไม่ให้สิ้นอายุนั้นไม่ได้ แต่ก็อาจคอยกันพญามัจจุราชให้ช้าลง เพื่อให้อายุขัยยืนยาวขึ้นไปอีก ถ้าหากถึงคราวที่จะสิ้นอายุ จะห้ามมัจจุราชอย่างไรก็คงไม่ฟัง เปรียบเหมือนต้นไม้ที่ตายแล้ว ไส้ข้างในเป็นโพรงแห้งผาก แม้จะมีผู้ที่ต้องการจะให้ต้นไม้นั้นฟื้นคืนมา เอาน้ำมารดเป็นร้อยหม้อพันหม้อ ก็ไม่สามารถผลิดอกออกผลได้ฉันใด

บุคคลถึงคราวสิ้นอายุขัย ถึงจะมียาวิเศษ มีแพทย์ตั้งใจเยียวยารักษาเป็นอย่างดี ก็มิอาจมีอายุขัยยืนยาวสืบต่อไปได้ พระปริตรก็เหมือนกัน คนที่สิ้นอายุแล้วแม้จะสวดสรรเสริญพระปริตรมากมายสักปานใด ก็ไม่สามารถป้องกันชีวิตของคนที่มีอายุสั้น ให้มีชีวิตยืนยาวสืบต่อไป และพระปริตรทั้งหลายนี้มีไว้ป้องกันรักษาตอนที่ยังไม่ถึงแก่กรรม และบุคคลที่ยังไม่สิ้นอายุ

เปรียบเหมือนชาวนา เมื่อต้นข้าวแก่จนสุกแล้ว ถึงจะวิดน้ำในนาขังเอามากมาย ต้นข้าวก็ไม่เจริญเติบโตต่อไปได้อีก คงมีแต่จะร่วงโรยไป แต่ข้าวที่มีต้นอ่อนนั้น พอให้น้ำเลี้ยง ก็เจริญเติบโต สีสันเขียวชอุ่มงดงาม ข้อนี้เป็นฉันใด คนที่มีอายุสั้นแล้วจะให้กินยา และสวดพระปริตรเท่าใดก็ไม่สามารถจะมีอายุขัยสืบต่อไปได้ฉันนั้น แต่ผู้ที่มีอายุและวัยที่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้อีกนั้น หากเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าได้สวดพระปริตรหรือกินยารักษาเพียงเล็กน้อยก็จะหายป่วย และดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้”

พระยามิลินท์ได้ฟังคำวิสัชนาเช่นนั้น ก็ยังไม่คลายความสงสัย ได้โต้แย้งไปว่า “หากคนที่อายุขัยหมดสิ้นแล้ว จะเอายาให้กินก็ตาย สวดพระปริตรก็ไม่หาย ฉะนั้น ทั้งยาและพระปริตรก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยซิ พระคุณเจ้า ใครป่วยก็ป่วยไป ใครถึงคราวตายก็ต้องตาย ยาหรือพระปริตรหาช่วยชีวิตใครได้ไม่” พระนาคเสนท่านก็เลยถามทำนองชวนคุยว่า “แล้วมหาบพิตรเคยเห็นคนที่เป็นโรคแล้วหายด้วยการทานยาหรือเปล่า” พระราชาทรงตอบว่า “เคยเห็นมาหลายร้อยคน”

พระเถระจึงถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้น คำที่มหาบพิตรบอกว่า ยาไม่มีประโยชน์ ก็ผิดไปน่ะซิ ดูก่อนมหาบพิตร เคยได้ยินได้ฟังมาหรือไม่ว่า คนที่สวดพระปริตรแล้วด้วยอานุภาพนั้นโรคาพยาธิ และอันตรายทั้งหลายสงบหายไป เสื่อมคลายไปด้วยอานุภาพของพระปริตรที่สวดนั้น และเคยได้ยินหรือไม่ว่า คนถูกงูกัดแล้วหมองูมาช่วยขจัดพิษร้ายนั้นได้”

พระยามิลินท์ก็ตอบว่า “เรื่องที่พระคุณเจ้าเล่านั้น เป็นคำเก่าๆ ที่เล่ากันมาจนทุกวันนี้ ซึ่งก็ได้ยินอยู่บ้าง” พระนาคเสนจึงพูดว่า “นั่นแสดงว่า ทั้งยา และพระปริตรก็ต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน ดูกรมหาบพิตร พระปริตรนี้รักษาเป็นบางพวก ไม่รักษาเป็นบางพวก เหมือนยาสามารถรักษาคนไข้บางพวก บางพวกจะใช้ยาดีอย่างไรก็รักษาไม่หาย เหมือนอาหารที่ใช้บริโภค ไม่ได้รักษาชีวิตของสัตว์ไว้ทั้งหมด เพราะบางพวกกินอาหารเกินขนาด เตโชธาตุมิอาจเผาผลาญ ก็แน่นจุกเสียดถึงแก่ความตาย

โภชนาหารจะรักษาชีวิตสัตว์ไม่ได้ มีเหตุอยู่ ๒ ประการ คือบริโภคอาหารมากเกินขนาด และก็ธาตุไฟหย่อนไม่อาจย่อยได้ โภชนาหารเป็นของเลี้ยงชีวิตสัตว์ แต่เพราะสัตว์ไม่รู้จักบริโภคให้พอสมควร และไม่รู้จักผ่อนผันให้เหมาะสมแก่กำลังของตน จึงกลายเป็น เครื่องขจัดชีวิตของตัวเอง”

จากนั้นพระนาคเสนเถรเจ้า ก็สรุปว่า “มหาบพิตร พระปริตรก็เช่นเดียวกัน จะช่วยไม่ได้ด้วยเหตุ ๓ ประการด้วยกัน คือ ๑.เป็นกัมมาวรณ์ กรรมหนักมาปิดกั้นไว้ ๒.เป็นกิเลสาวรณ์ กิเลสเกิดขึ้นมาในใจ เหมือนพญานกยูง ใจมัวหมองเพราะกามราคะบังเกิดขึ้น ทำให้พระปริตรไม่เกิดอานุภาพ และ ๓.คนที่สวดพระปริตรเพียงแค่ท่องบ่นด้วยปาก แต่ไม่ได้มีจิตเลื่อมใสศรัทธา จิตไม่เป็นเอกัคคตา ไม่หยุดไม่นิ่งพอ

มหาบพิตร พระปริตรนี้เป็นเครื่องป้องกันรักษาบุคคลได้จริง แต่เพราะบุคคลมีความผิดติดตัวมาอยู่จึงไม่สามารถรักษาได้ เหมือนมารดาเลี้ยงดูบุตร ทนเหนื่อยยากลำบากกว่าจะเลี้ยงจนโตได้ แต่พอโตขึ้น ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไปทำความผิดใหญ่หลวง ถูกลงโทษตามกฎหมาย แม้มารดาจะรักลูกสักปานใด เฝ้าคอยดูแลห่วงใยรักษามาตลอด เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ไม่สามารถรักษาบุตรไว้ได้ ฉันใด พระปริตรก็เป็นฉันนั้น เป็นเครื่องป้องกันรักษาบุคคลได้ แต่ป้องกันไม่ได้ก็เพราะผู้นั้นมีความผิด”

คำวิสัชนาของพระเถระจอมปราชญ์ ทำให้เราได้เห็นอานุภาพของการสวดพระปริตร สวดมนต์สรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยมากยิ่งขึ้น ก็ให้รับรู้ไว้ ว่าอานุภาพของพระรัตนตรัยไม่มีประมาณ ถ้าเราหมั่นสวดสรรเสริญด้วยจิตเลื่อมใสกันจริงๆ สวดมนต์ไปใจหยุดนิ่งไปด้วย อานุภาพนั้นก็ยิ่งทับทวี ท่านจะช่วยปกปักรักษาเราได้จริงๆ อัคคีภัย โจรภัย อุทกภัย ภัยร้ายทุกชนิด เขี้ยวงา หมอเสน่ห์ เล่ห์กล มนต์คาถา เจ้าทรง ผีสิง มนต์ดำทั้งหลายไม่มากล้ำกรายเราเลย เพราะฉะนั้น ให้ทำบ้านของเราเป็นอริยสถาน ด้วยการเปิดเป็นบ้านกัลยาณมิตร ที่มีเสียงสวดมนต์สรรเสริญพระรัตนตรัย ให้มนุษย์ และเหล่าเทวาได้อนุโมทนากัน เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมสวดมนต์ทำวัตรกันทุกๆ วัน อย่าให้ขาด อานิสงส์นี้จะได้ปกป้องคุ้มครองทุกๆ คน

* มิลินทปัญหา (ฉบับแปลโดย ปุ้ย แสงฉาย)

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

ที่มา https://buddha.dmc.tv/dhamma/14387
ต้นฉบับ หนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๑

กลับสู่
สารบัญธรรมะเพื่อประชาชน สำหรับไฟล์เสียง, วีดีโอ และ Article
สารบัญ หนังสือธรรมะเพื่อประชาชน

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *